จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 380 คำขอความช่วยเหลือจากซ่งเหนือ
หลี่มู่สังหรณ์ใจอย่างหนึ่ง ว่าเมืองขาวพิสุทธิ์จะกลายเป็นสมาคมจับฉ่ายที่รวมคนหลากหลายประเภทเอาไว้
ตอนนี้ก็มีแนวโน้มนี้เกิดขึ้นแล้วด้วย
เลสเบี้ยนหมื่นปี ปีศาจน้อยที่ไม่รู้ประวัติภูมิหลัง ปีศาจจิ้งจอก สาวงาม…อืม ยังมีชิวอิ่นที่สำนักถูกทำลายแล้วปณิธานลุกโชนเพิ่มมาอีกคน…สรุปคือมีสภาพหลากหลายเช่นร้อยบุปผาเบ่งบาน
หลี่มู่เรียกเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงมายังห้องหนังสือของตน
หลายวันมานี้ หลี่มู่ยิ่งสะบัดตูดไม่สนใจอะไรหนักขึ้น การปกครองในเมืองขาวพิสุทธิ์โดยพื้นฐานแล้วมอบให้พวกเฝิงหยวนซิง เจินเหมิ่ง และหม่าจวินอู่ดูแล ส่วนเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงที่ได้รับความไว้วางใจจากหลี่มู่มากที่สุดก็ถือว่าเป็นคนคอยดูแลควบคุมพวกเฝิงหยวนซิงหม่าจวินอู่อีกทีหนึ่ง
เมืองขาวพิสุทธิ์ตอนนี้อยู่ใต้อำนาจสิทธิ์ขาดของหลี่มู่ในขั้นต้นแล้ว
คราวก่อน ยามที่ ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้มาเยือนและข่าวที่ว่าเขาสังหารองค์ชายสองมาถึง ชาวบ้านและขุนนางระดับบนล่างในเมืองต่างหวาดวิตก แต่ครั้งนี้แม้มีพระราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิง สั่งให้หลี่มู่ไปรับโทษที่เมืองหลวง แต่ภายใต้ภูมิหลังเช่นนี้ ขุนนางระดับต่างๆ และประชาชนต่างไม่ทุกข์ร้อนกัน
ด้านหนึ่งเป็นความดีความชอบจากการประกาศของชิงเฟิงและพวกเฝิงหยวนซิง ซึ่งจงใจลดทอนอำนาจของพวกเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตก ตอนนี้มีใครบ้างไม่รู้ว่าฉินตะวันตกตกต่ำแล้ว ส่วนจักรพรรดิฉินหมิงที่พลังเพิ่มพุ่งพรวดก็ถูกลดบทบาทในประกาศเช่นกัน ดังนั้นในใจของประชาชนทั่วไป ใต้เท้าไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่จึงไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น
สรุปง่ายๆ ด้วยประโยคเดียวคือ จิตใจของชาวประชามั่นคง
มีหลายครั้งที่หลี่มู่แค่พูดประโยคเดียว เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงก็เข้าใจได้โดยเร็ว อีกทั้งเมื่อปรึกษาหารือกับพวกเฝิงหยวนซิงหม่าจวินอู่แล้วก็รีบลงมือทำทันที เมืองขาวพิสุทธิ์มีสภาพเหมือนในอุดมคติของหลี่มู่มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเขาแค่ขยับปากไม่ต้องลงมือเลย ในบรรดานั้น คุณงามความดีของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยมากที่สุด บางครั้งหลี่มู่กระทั่งรู้สึกว่าความคิดที่เปิดกว้างยืดหยุ่นของชิงเฟิงเหมือนคนบนโลกเลยทีเดียว เทียบกับพวกเฝิงหยวนซิงที่ถึงแม้จะซื่อสัตย์ภักดีกับตน ทว่าความคิดห่างชั้นกับชิงเฟิงอีกไกล
ทว่า หลี่มู่ก็ไม่หวังว่าเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยจะจมปลักอยู่กับการเมืองเรื่องจุกจิกพวกนี้ พวกเฝิงหยวนซิงอายุมาก แก่เกินเรียนไปแล้ว หนทางสายยุทธ์ไม่มีที่ให้พัฒนาอะไรมาก แต่ชิงเฟิงอายุยังน้อย พรสวรรค์เลิศล้ำ เขาหวังว่าเด็กน้อยจะพัฒนาในเส้นทางสายยุทธ์ได้มากกว่า ถึงอย่างไรวันหน้าหลี่มู่ต้องไปจากดาวดวงนี้ ก้าวไปสู่ทางช้างเผือก เขาจึงหวังว่าเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยจะสามารถติดตามอยู่ข้างกายตน
ในห้องหนังสือ หลี่มู่เปิดอกบอกความคิดของตนไป
“คุณชายให้ข้าทำอะไร ข้าก็ทำเรื่องนั้นขอรับ” เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยนั่งอยู่บนรถเข็น เอ่ยอย่างนอบน้อม
หลี่มู่พยักหน้า
อันที่จริง หลายวันมานี้เขาก็สังเกตชิงเฟิงเช่นกัน
การสังเกตนี้ไม่ใช่ดูความภักดีของเขา แต่เพื่อวิเคราะห์พรสวรรค์ของเขา
ยามนี้โดยพื้นฐานแล้วหลี่มู่แน่ใจได้ ในด้านการฝึกฝนวิชาต่อสู้รบราฆ่าฟัน ชิงเฟิงสู้พวกต๋าจี่ สวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนานไม่ได้ แต่ชิงเฟิงมีความคิดแบบมีตรรกะเป็นเหตุเป็นผล มีพรสวรรค์ด้านค่ายกล เครื่องยนตร์กลไก และการหลอมโลหะเป็นอย่างมาก หากอยู่บนโลกเป็นไอน์สไตน์อีกคนได้สบายๆ หลี่มู่จึงอยากให้ชิงเฟิงเดินในสายปรมาจารย์ค่ายกล ปรมาจารย์วิชาเต๋า ปรมาจารย์หลอมโลหะเช่นกัน ซินแสเฒ่าเคยบอกเอาไว้ว่า เส้นทางใดก็แล้วแต่ หากฝึกฝนจนถึงที่สุดก็ล้วนเป็นพลังที่น่ากลัวทั้งสิ้น สามารถบุกตะลุยในห้วงดาราสมุทร ไร้ผู้ใดต้านทาน
ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ได้มอบตำราลับเกี่ยวกับค่ายกลและการหลอมโลหะจากซิ่วไฉใจเหี้ยมเจิ้งฉุนเจี้ยนและส่วนที่ชิงมาจาก ‘พนักงานส่งพัสดุ’ คนอื่นๆ พร้อมทั้งทฤษฎีวิชาเต๋าซึ่งตนเรียบเรียงจากคำพูดบางส่วนของซินแสเฒ่าและประสบการณ์ของตนให้กับชิงเฟิงทั้งหมด
เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยตอนนี้กำลังภายในคงอยู่ยาวเพราะได้ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นต้น อยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างเมืองขาวพิสุทธิ์ยิ่งฝึกฝนได้ไว ยามนี้ขาก้าวสู่ขั้นฟ้าประทานข้างหนึ่งแล้ว ส่วนพลังจิตวิญญาณของเขาก็เกือบถึงขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์…แน่นอน นี่เป็นแค่ระดับของพลังฝึกกำลังภายในกับพลังจิตวิญญาณ ไม่ใช่กำลังรบที่แท้จริง กำลังรบแท้จริงน่าจะอยู่ประมาณยอดปรมาจารย์เท่านั้น เรื่องนี้เข้าใจไม่ยาก เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยนั่งอยู่บนรถเข็น ไม่ชอบต่อสู้ ไม่ได้ฝึกฝนวิชาต่อสู้สักเท่าใด ก็เหมือนยอดยุทธ์มีชื่อทั้งหลายบนโลกที่ฝึกจิต สมาธิโดดเด่นมาก แต่กลับถูกนักสู้อัดจนน่วม นี่ก็เป็นหลักการเดียวกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มีพลังฝึกกำลังภายในใกล้เคียงขั้นฟ้าประทาน ก็ประคับประคองให้เขาฝึกฝนค่ายกลวิชาเต๋าและการหลอมโลหะเบื้องต้นได้แล้ว
“นี่คือหินดาราส่วนหนึ่ง เอามาใช้เป็นวัสดุหลอมโลหะ หุ่นเชิดกลไก หรือค่ายกลวิชาเต๋าได้ ทรัพยากรอื่นๆ ไปหยิบเอาได้ที่คลังยุทธ์ในเรือนดาบเลย ไม่ต้องมารายงานข้า” หลี่มู่เอ่ย
“ทราบแล้วขอรับคุณชาย” เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงทำความเคารพ
ชิงเฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกว่า “คุณชาย หมิงเยวี่ยนาง…”
หลี่มู่ตอบ “มีเบาะแสแล้ว ข้าไหว้วานคนสำนักขุนคีรีและซ่งเหนือบางคนเรียบร้อย ตอนนี้กำลังตรวจสอบ น่าจะอยู่ในเขตซ่งเหนือ รอเรื่องทุกอย่างตอนนี้เสร็จสิ้น ข้าจะไปตามหาที่ซ่งเหนือด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นเจ้าก็ไปกับข้าด้วยแล้วกัน”
หลี่มู่ไม่เคยลืมหมิงเยวี่ยเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยผู้ซื่อบื้อชอบความรุนแรงเลย และก็ไม่เคยล้มเลิกการค้นหาด้วย
ชิงเฟิงถอนหายใจโล่งอก หลังจากทำความเคารพแล้วก็เข็นรถเข็นจากไปช้าๆ
เห็นชิงเฟิงออกไปแล้ว หลี่มู่ถอนหายใจ
ถึงแม้จะได้การรักษาจากหมอยาสาวจ้าวอวี่ แต่ขาทั้งสองของชิงเฟิงก็ยังไม่ฟื้นฟู ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง ทำได้แค่พึ่งรถเข็น เรื่องนี้หลี่มู่รู้สึกผิดมาโดยตลอด ชิงเฟิงพิการก็เพราะเขา หลี่มู่หวังมาโดยตลอดว่าชิงเฟิงจะฝึกฝนถึงขั้นเหนือมนุษย์และสร้างขาออกมาใหม่ได้
เมื่อชิงเฟิงฝึกฝนของที่เขาให้ไปเมื่อครู่ทั้งหมดเสร็จแล้ว หลี่มู่ก็จะเตรียมทรัพยากรและวิชาอีกขั้นไว้ให้
พูดจากใจจริง กล่าวได้ว่าหลี่มู่มองชิงเฟิงเป็นผู้สืบทอด เป็นลูกศิษย์ของตัวเองเลย
จากนั้นหลี่มู่เรียกเฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งเข้ามาตามลำดับ เอ่ยชมเชยให้กำลังใจและมอบรางวัลให้ มีเคล็ดวิชากับตำราลับต่างๆ แต่ละคนซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่างแสดงความจงรักภักดี
ขณะนี้พลังฝึกของคนเหล่านี้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้วหลายเท่า ความคิดวิสัยทัศน์พัฒนา พลังแท้จริงยกระดับ ท่าทางดูมีอำนาจ มีกลิ่นอายอย่างผู้เหนือกว่า แต่เทียบกับหลี่มู่แล้วยังห่างกันอีกหลายขุม อย่างไรเสียก็ยังมีมุมมองแนวคิดอย่างคนธรรมดา เรื่องอย่างการก้าวสู่ห้วงดาราสมุทรพวกนี้ พวกเขาท่าทางจะไม่เคยคิดถึง และไม่ยินดีที่จะคิดด้วย
เอ่ยให้กำลังใจและชมเชยแล้ว คนทั้งหลายก็จากไป หลี่มู่ถ่ายทอดคำสั่งแล้วก็เริ่มปิดด่านฝึกตน
สู้กับ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิง หลี่มู่ได้รับความรู้มามหาศาล จำต้องค่อยๆ ย่อยและขบคิด
สิบวันต่อมา หลี่มู่อยู่ในสภาวะปิดด่านตลอด
ขั้นที่หนึ่งคือทำให้ระดับพลังของตัวเองเสถียร การพัฒนาแก่นแท้ต่างๆ จากพลังจักรพรรดิเพลิงแดนใต้และจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออก หลี่มู่ยังอยู่ในช่วงทบทวน เขาพบว่า ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ แฝงด้วยแก่นแท้และการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทุกครั้งที่เขาใช้พลังจิตวิญญาณเปิดม้วนบันทึกหยกในหนีหวานกง ท่วงทำนองแห่งเต๋าจะดังก้องในทะเลจิต หลี่มู่ก็จะได้รับผลประโยชน์ใหม่มา
ไฟจักรพรรดิจากการรวมพลังของสองจักรพรรดิ ก็เพิ่มระดับขึ้นจากการบรรลุไม่หยุดของหลี่มู่
จนสุดท้ายหลี่มู่เพียงแค่คิด ไฟจักรพรรดิจะลุกท่วมกาย ทั้งยังผสานไปในกระบวนท่าวิชาต่อสู้ได้อีกด้วย น่าเสียดายก็แต่ดาบวัฏจักรของหลี่มู่ทนการหล่อหลอมจากไฟจักรพรรดิไม่ไหว จึงไม่อาจใช้ไฟจักรพรรดิกระตุ้นได้
ความคิดที่จะหลอมดาบวัฏจักรขึ้นใหม่ผุดขึ้นในหัวของเขา
อีกอย่าง หินดาราธาตุไม้ก้อนมหึมาที่เขาได้มาจากมิติระนาบเล็กๆ แห่งนั้น นอกจากส่วนที่แบ่งให้ชิงเฟิงแล้วก็ยังเหลืออีกมาก หากนำมาหลอมเข้าไปในดาบวัฏจักได้ จะต้องยกระดับของดาบวัฏจักรให้ถึงขั้นอาวุธเต๋าได้แน่นอน
ถึงตอนนั้นดาบวัฏจักรก็ทนพลังไฟจักรพรรดิได้แล้ว พลังของวิชาดาบเหินหาวจะเพิ่มทบเท่าทวีเป็นแน่
อีกทั้งหลี่มู่คิดไปไกลกว่านั้น
ตอนนี้เขาฝึกฝน ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ หลังจากนี้ยังเหลืออีกสามขั้น วันหน้าไม่ว่าช้าเร็วอย่างไรก็ต้องฝึกสำเร็จ ถึงตอนนั้นปราณแท้ต้องเปลี่ยนแปลงอีกมาก ดาบวัฏจักรจะต้องหลอมและยกระดับให้ทันถึงจะเหมาะมือ…หลี่มู่ไม่อยากปวดหัวอย่างราชาวานรซุนหงอคงที่หลังจากสำเร็จวิชาก็ยังหาอาวุธเหมาะมือไม่ได้
หลังขบคิดประเด็นสำคัญในนี้แตกแล้ว หลี่มู่ก็เริ่มหลอมดาบวัฏจักรใหม่
เขาเอาหินดาราธาตุไม้สูงหลายจั้งออกมาจากมิติเก็บของ แล้วเริ่มหลอมดาบ
เวลาผ่านไป
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสิบวัน
หลี่มู่ไม่เห็นพระราชโองการของจักรพรรดิฉินหมิงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
และสำหรับฝ่ายต่างๆ ที่โลกภายนอก ไท่ไป๋อ๋องขัดราชโองการ กล่าวได้ว่าสุดท้ายแล้วเขาแตกหักกับทั้งฉินตะวันตกจริงๆ ซ้ำยังอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จักรพรรดิฉินหมิงแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ การคาดเดาต่างๆ ล้วนมีหมด แต่ก็ไม่พ้นสองข้อ หนึ่งคือหลี่มู่รู้ดีว่าสังหารองค์ชายติดๆ กันย่อมไม่มีทางเจรจากับจักรพรรดิฉินหมิงได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงทำได้แต่ดันทุรังสู้ ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือหลี่มู่มีที่พึ่ง ไม่เห็นจักรพรรดิฉินหมิงอยู่ในสายตา
ผ่านไปอีกสามวัน เชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกเคลื่อนไหว
จักรพรรดิฉินหมิงมีพระราชโองการให้เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังนำทหารไปล้อมเมืองขาวพิสุทธิ์ เพื่อจับตัวหลี่มู่
ส่วนจักรพรรดิฉินหมิงไม่ได้ออกโรงไล่จับสังหารหลี่มู่เองอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ แต่ส่งหนังสือท้ารบไปยังสำนักบัณฑิตถามเต๋าแห่งฉู่ใต้ ท้ารบเก้ายอดคนคนสุดท้ายแห่งสามจักรวรรดิ
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ทั่วแผ่นดินตื่นตะลึง
นี่หมายความว่าจักรพรรดิฉินหมิงจะลงมือกับจักรวรรดิฉู่ใต้แล้ว?
ยามนี้ ถึงแม้เรื่องยุ่งยากที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของฉินตะวันตกจะจบลงตามการแตกดับของประมุขวิหารเทพอาทิตย์ ทว่าภายใน สำนักขุนคีรีและสิบเมืองเก้าพื้นที่ชายแดนยังอยู่ในสภาพระส่ำระสาย เจิ้นซีอ๋องก็ยึดครองเมืองฝูเฟิง พูดได้ว่าความขัดแย้งยังไม่จบสิ้นดี จักรพรรดิฉินหมิงไม่จัดการเรื่องภายในจักรวรรดิ กลับลงมือกับฉู่ใต้…ความมั่นใจของเขาสูงถึงระดับนี้เชียวหรือ?
ในขณะเดียวกัน ข่าวลือก็สะพัดไปอย่างลับๆ
นอกจากหลี่พั่วเยวี่ยนายแห่งทุ่งปิดภูผา ปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยาง และประมุขวิหารเทพอาทิตย์ที่ดับดิ้นไปแล้ว เก้ายอดคนที่เหลืออยู่เริ่มติดต่อกันอย่างเงียบเชียบ หมายจะร่วมมือต่อกรกับจักรพรรดิฉินหมิง อย่างไรเสียก็ต่างพึ่งพาอาศัยกัน หากแต่ละคนถูกจักรพรรดิฉินหมิงสังหาร เช่นนั้นอีกไม่นานโลกใบนี้ก็จะตกอยู่ในกำมือของจักรพรรดิฉินหมิงแล้ว
สถานการณ์ใต้หล้าปั่นป่วนวุ่นวาย
หลี่มู่ยังคงปิดด่าน ฝึกฝน หลอมดาบอยู่ในเรือนดาบ
เจ้าเมืองฉางอันหลี่กังไม่กล้าขัดบัญชาจักรพรรดิ นำกำลังทหารสองแสนนายมาล้อมเทือกเขาขาวพิสุทธิ์เอาไว้ แต่ก็เป็นเพียงการสู้รบเล็กๆ น้อยๆ ล้อมเอาไว้แต่ไม่โจมตี ไม่กล้าทำให้หลี่มู่ไม่พอใจจริงๆ…ในใจ ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ เต็มไปด้วยความขมขื่น เขาเป็นบิดาของหลี่มู่ แต่เจ้าลูกเวรคนนี้ไม่ได้มองว่าเขาเป็นบิดาเลย
เวลาเดินผ่านไป
วันนี้ แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งมาเยือนเมืองขาวพิสุทธิ์ ขอเข้าพบหลี่มู่
เป็นทูตที่มาจากซ่งเหนือ
“ท่านอ๋อง ท่านหญิงตกที่นั่งลำบากถูกคนบีบบังคับ ปาเสียนอ๋องไม่อาจต้านทานไหว ท่านอ๋องได้โปรดลงมือด้วย” ทูตแห่งซ่งเหนือจ้าวจี้ร่างกายบาดเจ็บสาหัส แทบประหนึ่งตะเกียงไร้น้ำมัน
……………………………………………………