จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 383 ก็ข้าจะปกป้องเจ้าคนโง่คนนี้
ตอนแรกที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายที่เขาเมืองมรกต คนที่ปกป้องเต้าเจินอันที่จริงแล้วมีไม่น้อยเลย
อย่างไรเสียเต้าฉงหยาง อาจารย์ของเต้าเจินก็ได้รับการขนานนามว่าปรมาจารย์นักพรตแห่งใต้หล้า มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปกป้องและเคารพเขาจริงๆ แต่เต้าเจินไม่เอาไหนเอง จนถึงวันนี้ คนพวกนี้ที่ตายไปก็ตาย ที่สลายตัวก็แตกกระสานซ่านเซ็น สุดท้ายคนที่ยังคงอยู่ข้างกายเต้าเจินก็เป็นคนที่เคารพบูชาเต้าฉงหยางอย่างจริงใจหรือไม่ก็ผู้ภักดีของเขาเมืองมรกต เหลืออีกประมาณแล้วไม่ถึงสิบคน พลังล้วนไม่ธรรมดา ตัดสินใจตาย สู้เคียงข้างไปด้วยกันกับเต้าเจิน
เต้าเจินเป็นหนึ่งในคนที่พลังสูงที่สุดในกลุ่มคนพวกนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนแรกเขาถูกโจมตี ได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้พลังรบเหลือไม่เท่าไหร่
เหล่าสหายฝ่าโจมตีสังหารหลายต่อหลายครั้งเพื่อปกป้องเต้าเจิน พยายามลองทะลวงวงล้อมออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งยังมีคนได้รับบาดเจ็บหนัก สุดท้ายถูกบีบให้กลับไปยังหน้าประตูโรงเตี๊ยม
เต้าเจินตอนนี้ทั้งรู้สึกผิดทั้งโกรธแค้น
ทุกคนติดตามเขา แต่เขากลับโง่เขลา ใจปรารถนาแต่จะถอย กลับทำร้ายคนที่คอยติดตามข้างกายอย่างภักดีเหล่านี้
“อ๊าก…” เสี่ยวเอ้อส่งเสียงร้องน่าเวทนา เขามีพลังฝึกตนฟ้าประทานบริบูรณ์ แต่ภายใต้การไล่สังหารจากพวกเต้าฉง ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ถูกกระบี่แทงทะลุท้องบาดเจ็บสาหัสในทันที สูญเสียกำลังรบ
คนอื่นๆ ก็ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไร้ซึ่งพลังรบเช่นกัน
เต้าฉงหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันสร้างความดีความชอบ…ฆ่ามันให้หมด ไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว”
นักพรตข้างหลังเขาไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ต่างตาแดงแย่งกันสร้างความดีความชอบ คนที่ติดตามอยู่ข้างกายเต้าเจินตอนนี้ล้วนเป็นเสี้ยนหนามขวางหูขวางตาเจ้าสำนักเต้าหลิง หัวหนึ่งหัวส่งไปถึงมือก็เป็นคุณงามความชอบครั้งใหญ่ นี่เป็นโอกาสสุดท้าย
ทว่า ในตอนที่พวกเขาพุ่งไปเตรียมจะกวาดล้างพวกเต้าเจินให้เรียบร้อยในทีเดียว ก็มีเสียงไม่คุ้นหูดังลอยออกมาจากโรงเตี๊ยม…
“นี่ หยุดสู้ได้แล้ว หยุดมือ…แล้วฟังข้าตัดสินความ”
เด็กหนุ่มหน้าตาโดดเด่น ผมสั้นองอาจ คิ้วเข้มตาโต ตบมือเดินออกมาจากโถงใหญ่ของโรงเตี๊ยมมายืนอยู่หน้าประตู ท่าทางอย่าง ‘ทุกคนมีเรื่องอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน’
มันเป็นใครกัน?
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเต้าฉงทันที
จากนั้นประโยคที่สองที่ผุดขึ้นมาก็คือ “เป็นใครก็ช่างหัวมัน ฆ่าไปพร้อมกันเสียก็หมดเรื่อง”
ทว่าเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เสียงตบมือที่ดูเหมือนตบไปอย่างนั้นจากเด็กหนุ่มผมสั้นเหมือนมีพลังน่าอัศจรรย์อะไรบางอย่าง มันเป็นปกติแต่เมื่อดังในหูแล้วก็เหมือนกับเสียงอันทรงอำนาจ ทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความรู้สึกงงงันอย่างน่าประหลาด จากนั้นหัวใจก็เต้นตามจังหวะเสียงตบมือ ทั้งแปลกประหลาดทั้งทรมาน ปราณแท้ในกายหยุดชะงัก โคจรได้ไม่ราบรื่น
พวกเต้าฉงหยุดโดยไม่รู้ตัว
สายตาแปลกประหลาดแต่ละคู่มองมายังเด็กหนุ่มผมสั้น
เด็กหนุ่มคนนี้แน่นอนว่าคือหลี่มู่
“ฮ่าๆ นี่สิถึงจะถูก ว่าก็ว่าเถอะ พวกเจ้าจะสู้กันก็สู้กันสิ แต่จะให้มันถูกกาลเทศะหน่อยได้ไหม เลือกที่ที่เหมาะสมสิ ในโรงเตี๊ยมยังมีคนนั่งกินข้าวอยู่นะ รบกวนคนที่… ” หลี่มู่แค่อ้าปากก็พูดมั่วซั่ว
“เจ้าเป็นใคร? กล้าสอดเรื่องของเขาเมืองมรกต เจ้า…” นักพรตวัยกลางคนเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งข้างกายเต้าฉง หน้าตาเหี้ยมโหด อ้าปากก่นด่าทันที
แต่ว่ายังพูดไม่ทันจบ…
ฟิ้ว!
แสงดาบทางหนึ่งพุ่งมา
หัวของนักพรตหน้าตาเหี้ยมโหดขั้นหนึ่งคนนี้ก็กระเด็นลอยสูง
หลี่มู่เอ่ย “เวลาข้าพูดจาด้วยเหตุผลรำคาญคนสอดปากเป็นที่สุด”
พวกเต้าฉงสูดลมหายใจเย็น พวกเขาถอยหลังไปไม่รู้ตัวท่ามกลางเสียงตื่นตกใจ รู้สึกคอเย็นวาบ
แสงดาบเมื่อครู่นั่นพุ่งมาจากปลายนิ้วของเด็กหนุ่มนี่ชัดๆ แค่กะพริบก็แหวกอากาศมา ราวกับแสงอ่อนๆ ที่ฉายมาจากแสงอรุณยามเช้า เพียงฉายประกายก็มาถึง ไม่อาจสัมผัสได้ กระทั่งว่าแม้แต่คลื่นพลังปราณก็ยังรางเลือน แต่ภายใต้แสงดาบกลุ่มนี้ หัวของผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งก็ขาดกระเด็น
เหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งเชียวนะ ไม่ใช่หมาแมวที่ไหน ยิ่งไม่ใช่ผักกาดขาวข้างถนน บอกว่าฆ่าก็ฆ่า พลังฝึกตนเหนือมนุษย์อยู่ในโลกวิถียุทธ์แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกฝนขั้นสุดยอดแล้ว
สุดท้ายกลับถูกฆ่าเหมือนหมู
นี่มันคือพลังอะไรกัน?
บรรยากาศที่นั่นเปลี่ยนไปทันที
“ท่านเป็นใคร?” เต้าฉงเอ่ยอย่างปากกล้าขาสั่นพลางจ้องหลี่มู่
หลี่มู่คิดๆ แล้วก็ตอบ “อามิตตาพุทธ…เอ๊ย ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ ข้าจางซานเฟิง แห่งสำนักบู๊ตึ๊ง เขาบู๊ตึ๊ง ”
พวกเต้าฉงรู้สึกงงไปในทันที
ฟังคำพูดคำจาของเด็กหนุ่มนี่เหมือนจะเป็นนักพรต?
แต่สำนักบู๊ตึ้งเขาบู๊ตึ๊งอยู่ที่ใดกัน ไยจึงไม่เคยได้ยินมาก่อน
ส่วนจ้าวจี้ หยวนโห่ว ชิงเฟิงก็อึ้งไปเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าท่าทางหลี่มู่ไม่คิดจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน…แต่ว่า นี่ก็ถูกแล้ว ไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่ห้าคำนี้หากพูดออกไปจะต้องสะเทือนไปทั้งใต้หล้าแน่นอน แต่ก็ดึงความสนใจจากฝั่งอื่นๆ ได้ง่ายเช่นกัน เรื่องยุ่งยากต่างๆ ก็จะตามมา อีกทั้งครั้งนี้ไปเขาหัวโคก็เพื่อช่วยคน ไม่จำเป็นต้องทำให้ครึกโครม ปลอมตัวก็เป็นเรื่องปกติ
มีเพียงเจ้าไซบี้ที่หน้าตาดูถูก เอียงหัวพูด “หน้าไม่อาย”
มันรู้ว่าจางซานเฟิงเป็นนักพรตที่มีชื่อมากบนโลก
เต้าฉงมองหลี่มู่อย่างสงสัย รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ที่มาที่ไปแปลกประหลาด ไม่เหมือนนักพรต แต่ก็ยังตอบกลับไป “ที่แท้เป็นสหายนักพรตจางซานเฟิงแห่งเขาบู๊ตึ๊งนี่เอง ในเมื่อต่างเป็นลัทธิเต๋าเช่นเดียวกัน เช่นนั้น สหายนักพรตจางก็คงจะรู้เรื่องเขาเมืองมรกตของข้า และก็คงจะเคยได้ยินว่าเต้าเจินคือผู้ทรยศลัทธิเต๋า พวกเราไล่จับผู้ทรยศ ไยท่านจึงสอดมือทั้งยังสังหารคนของเขาเมืองมรกต?”
หลี่มู่ตอบ “ขอจงมีแต่ความสุขความเจริญ เมื่อครู่ข้ากำลังพูดจาด้วยเหตุผล เขากลับสอดปาก ข้าจึงต้องทำให้เขาเงียบปากเสีย”
เต้าฉงเงียบงัน
เหตุผลนี้จะกำเริบเกินไปหน่อยกระมัง
นักพรตทั้งหลายต่างสีหน้าโกรธแค้นไม่พอใจ
จางซานเฟิงผู้นี้กำเริบยิ่งกว่าเขาเมืองมรกตเสียยอีก เพราะสอดปากก็เลยสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์?…เหตุผลนี้มันจะมักง่ายไปหน่อยกระมัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราต้องขอโทษท่านด้วย ขอท่านได้โปรดอภัย” เต้าฉงโค้งคำนับ “พวกเราจับผู้ทรยศ สหายจางได้โปรดอย่าขัดขวางได้หรือไม่?”
เขานับว่ากล้ำกลืนฝืนทนก้มหัวให้แล้ว
หนึ่งเพราะพรั่นพรึงในพลังที่หลี่มู่สำแดงออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งยังไม่มั่นใจประมือกับหลี่มู่ สองเพราะวันนี้เรื่องที่สำคัญคือสังหารเต้าเจิน ขุดรากถอนโคน เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากันภายหลัง สร้างความดีความชอบก่อน กลับไปจะได้รายงานได้
วันหน้าเมื่อรู้ภูมิหลังที่มาที่ไปที่แท้จริงของจางซานเฟิงนี่แล้วค่อยจัดการมัน
สำนักพรตในใต้หล้าล้วนอยู่ที่เขาเมืองมรกต จะกลัวจัดการนักพรตตัวเล็กๆ ไร้ชื่อคนหนึ่งอย่างนั้นรึ?
หลี่มู่ได้ยินเต้าฉงพูดเช่นนี้ก็ไม่ชอบใจแล้ว
ทำไมหงอซะแล้วล่ะ?
ข้าเชือดเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่งของพวกเจ้าไปแล้ว ทำไมถึงยอมรับผิดแบบนี้เล่า?
แต่ไหนแต่ไรมาคนชั่วต่างหน้าไม่อาย ไม่มีเกียรติศักดิ์ศรีไม่ใช่เรอะ?
หากคนชั่วเป็นเหมือนพวกเจ้าเมื่อผิดก็รู้จักแก้ ยอมรับผิด รับโทษ เช่นนั้นจอมยุทธ์อย่างพวกข้าจะใช้ข้ออ้างอะไรมาชักดาบผดุงความยุติธรรมสังหารให้สิ้นล่ะ?
หลี่มู่ตอบ “ไม่ได้ หากคำขอโทษมีประโยชน์แล้วจะมีตำรวจ…อ่า ไม่ ยังจะมีที่ว่าการไว้ทำไม?”
นี่เป็นการหาเรื่องชัดๆ
“เจ้า…” เต้าฉงโมโหจนเกือบขาดอากาศหายใจ แต่เขาก็ดูออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาหาเรื่อง สีหน้าจึงเคร่งเครียดไปในทันที ก่อนจะกัดฟันถามขึ้น “นักพรตจาง อย่าได้คืบเอาศอก นี่เจ้าคิดปกป้องเต้าเจินชัดๆ คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับเขาเมืองมรกตเรา”
หลี่มู่หัวเราะลั่น
หัวเราะเสร็จ ก็พูดอย่างจริงจัง “ถูกเจ้ามองออกซะแล้ว ใช่ ข้าจะปกป้องเจ้าคนโง่คนนี้นี่แหละ”
เขาชี้ไปที่เต้าเจิน
เต้าเจินและเหล่าสหายที่ได้รับบาดเจ็บข้างกายเขาแต่เดิมตกอยู่ในความสิ้นหวังแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ มีจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขึ้น พลังของหลี่มู่ทำให้พวกเขาต้องตะลึง เพียงแค่เสี้ยวความคิดก็สังหารเหนือมนุษย์ได้ นี่ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงแน่นอน สำหรับเรื่องที่หลี่มู่ยื่นมือเข้าช่วยผดุงความยุติธรรมนี้เขาทราบซึ้งนัก แต่เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มเรียกเขาว่าคนโง่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ทำไมถึงด่ามาด้วยเล่าเนี่ย
เต้าฉงโมโหกัดฟันกรอด ตัดสินใจก่อนจะเอ่ย “นี่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเมืองมรกต จางซานเฟิง เจ้าคิดให้ดี พลังสำนักเต๋าใต้หล้านี้ไม่ใช่ว่าใครก็ต้านทานได้ เจ้าสำนักเต้าหลิงพลังมหาศาล เป็นเจ้าลัทธิเต๋าคนใหม่ ข้าเตือนเจ้า อย่าได้รนหาที่ตาย”
หลี่มู่หัวเราะหึๆ ทันที “ครั้งนี้ข้าจะวัดพลังกับสำนักพรตใต้หล้าที่เจ้าว่ามาเสียหน่อย นับจากที่เต้าฉงหยางตาย เขาเมืองมรกตก็เป็นแค่เรื่องน่าหัวเราะเท่านั้น บุคคลสายตาแคบวิสัยทัศน์สั้นครอบครองเขาลอยฟ้า เต้าหลิงเป็นใครกัน ทำได้แค่นอนอยู่ในรัง ยังจะกล้าเรียกว่าผู้นำลัทธิเต๋าคนใหม่ นี่ช่างน่าหัวเราะให้ฟันร่วงเสียจริง”
“ฆ่ามันซะ” เต้าฉงสะบัดมือชักกระบี่
“ฆ่า!”
เหล่านักพรตคำรามอย่างโกรธแค้นพุ่งออกไป
หลี่มู่ยืนอยู่ที่หน้าประตู ความคิดเพียงขยับ
ปราณดาบไร้รูปร่างแหวกอากาศออกไป ประหนึ่งแสงอาทิตย์สีเงินส่องสะท้อนประกายยิบยับในทะเลสาบ เป็นเส้นๆ กลุ่มๆ ทุกที่ที่พาดผ่าน ศาสตราในมือของเหล่านักพรตก็ขาดกระจุยเหมือนกระดาษ และที่ขาดตามไปในเวลาเดียวกันยังมีร่างของพวกเขาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตปรมาจาย์ ยอดปรมาจารย์ หรือเป็นฟ้าประทาน กระทั่งเหนือมนุษย์ เมื่ออยู่ต่อหน้าปราณดาบไร้รูปร่างเช่นนี้ ก็ขาดเป็นสองท่อนอย่างไร้ซุ่มเสียงเหมือนกับไชเท้าอยู่ใต้มีดอันคมกริบ แผลเรียบ จากนั้นไอเพลิงเพียงไหววูบ ก็กลายเป็นเศษเถ้าหายไป ณ ที่ตรงนั้น ไม่มีกลิ่นคาวเลือดแม้แต่น้อย กลับทำให้รู้สึกงดงามเหมือนดอกไม้ไฟเสียด้วยซ้ำ
“แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย?” เต้าฉงประหวั่นพรั่นพรึง
เขาไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย สะบัดหน้าหนีทันที
หลี่มู่แสดงออกมาอย่างแข็งแกร่งเหลือประมาณ เกินขอบเขตที่เขาจะเข้าใจได้โดยสิ้นเชิง
“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก”
หลี่มู่ลงมือโดยไม่ปราณีแม้แต่น้อย
แสงดาบส่องกะพริบ มาถึงอย่างรวดเร็ว ทะลุร่างของเต้าฉง ภายใต้ไอเพลิงที่ลอยอวล เต้าฉงรู้สึกแค่พลังชีวิตในกายหลั่งไหลออกไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ จากนั้นร่างก็เริ่มหายไปทีละเล็กทีละน้อย พลังใดๆ ล้วนไม่อาจหลอมรวมได้ รู้สึกแค่การมาเยือนของความตาย
“เจ้า…จะต้อง…เสียใจ” เต้าฉงเอ่ยอย่างยากเย็นจบ ร่างก็สลายเป็นเถ้าถ่านไป
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น ไม่พูดอะไร กระตุ้นปราณดาบไร้รูปร่างพุ่งวนออกไปทันที ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือของเขาเมืองมรกตแหลกเละ กลายเป็นเศษฝุ่น ตายเรียบไม่เหลือสักคน นักพรตพวกนี้โหดเหี้ยมอำมหิตเหลือจะทน จะสังหารคนทั้งตำบล ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่ใจอ่อน ลงมือสังหารล้างบาง
“หยวนโห่ว เจ้าไปกำจัดกองทัพที่ล้อมรอบตำบลพวกนั้นให้หมดไม่ต้องเหลือแม้แต่คนเดียว” หลี่มู่สั่ง
กองทัพซ่งเหนือพวกนี้สมคบคิดกับนักพรตเขาเมืองมรกต จะฆ่าสังหารข่มขืนลักพาตัว เหี้ยมอำมหิตกว่าโจรภูเขาเสียอีก ล้วนไม่ใช่คนดีอะไร
หยวนโห่วพยักหน้าโค้งคำนับ จากนั้นก็แปลงเป็นแสงทองพุ่งสังหารไป
พวกเต้าเจินร่างกายมีบาดแผลยืนอยู่ข้างๆ ต่างมองกันอย่างตะลึง
แข็งแกร่งเหลือเกิน
ต่อให้เป็นเทวะก็ไม่ถึงขั้นนี้กระมัง
เพียงแค่เสี้ยวความคิดก็สังหารผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์อย่างพวกเต้าฉงไปได้เจ็ดคน ทั้งยังมีฟ้าประทานบริบูรณ์หลายสิบคน ผู้แข็งแกร่งฟ้าประทานสามสิบกว่าคน กลายเป็นฝุ่นเถ้าปลิวลอย เด็กหนุ่มที่ชื่อจางซานเฟิงคนนี้มาจากที่ไหนกันแน่ ผู้แข็งแกร่งที่มีพลังฝึกตนเช่นนี้ ไม่ควรที่จะเงียบๆ ไร้ชื่อเสียงนี่นา
……………………………………………………