จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 389 ข้าชื่อหลี่มู่
ด้านนอกค่ายใหญ่กองกำลังสำแดงเดช เปลวไฟหลายกลุ่มเริงระบำกลางอากาศ
เปลวไฟสีแดงชาดเหมือนผีเสื้อเพลิงกำลังระบำ ราวกับกำลังเฉลิมฉลองให้กับงานเลี้ยงที่คนทั้งซ่งเหนือจับจ้องอยู่ แต่งแต้มความสวยงามให้กับฟ้าดินผืนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงไฟประหลาดนั่น แวววับจับตายิ่ง ร่ายระบำอยู่กลางอากาศ ทั้งยังไร้สุ้มเสียง เหมือนกับดอกไม้เทพที่ร้ายแรงถึงตายและโน้มนำจิตวิญญาณคนได้
“นั่นเป็น…ดอกไม้เพลิงที่งามจริงๆ” เจ้าสำนัก ‘สำนักหอกเหล็ก’ ตู้ลวี่จี่ฉายา ‘หอกทวนแม่น้ำ’ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง
ผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ ในยุทธจักรอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้มใหลหลง
แสงเพลิงสวยงามนัก หรือจะเป็นสิ่งที่จิ้นอ๋องตั้งใจเตรียมไว้สำหรับงานแต่ง?
มีเพียงพวกเสวียนเฉิงจื่อจากสำนักเขาเมืองมรกตกับหัวหน้า ‘ค่ายวารีเชื่อมฟ้า’ ไม่กี่คนที่ใบหน้าปรากฏแววหวาดกลัวตกตะลึง สัมผัสถึงอะไรได้เลาๆ
เพียงไม่นาน คนทั้งหมดก็เห็นอย่างตกตะลึงว่า กลุ่มเปลวไฟสีแดงพวกนั้นถูกลมพัดกระจายออกดั่งประกายไฟลุกไหม้ ประดุจจะเกิดภัยพิบัติขึ้น ก่อนเผาไหม้อย่างแปลกประหลาดมากบนอากาศ จากนั้นลุกลามตรงมาด้านในค่ายใหญ่กองกำลังสำแดงเดช
ฉากที่ทำให้คนสั่นสะท้านปรากฏขึ้นแล้ว
ตรงประตูค่าย ทหารชั้นยอดยุทโธปกรณ์ครบมือของกองกำลังสำแดงเดชกลุ่มหนึ่งถูกไฟประหลาดที่ม้วนเข้ามาแฉลบผ่าน กลายเป็นเพลิงสีแดงฉานในพริบตาเช่นกัน ชีวิตหลายสิบถูกเผาเหมือนลูกไฟหลายสิบดวง กระทั่งเสียงโหยหวนก็ไม่มี ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ ร่างพร้อมชุดเกราะรวมถึงอาวุธในมือกลายเป็นไฟสีแดงอันน่าลุ่มหลง เมื่อถูกลมพัดก็ปลิวสลายหายไปในอากาศ
“ศัตรูบุก!”
พริบตานี้เอง ผู้แข็งแกร่งจากสำนักบนยุทธจักรมากมายถึงได้สติ
ขุนพลใหญ่นำทัพนายหนึ่งตะโกนขึ้น “ระวัง….”
เสียงกลองศึกในค่ายทหารดังขึ้นมา
กองกำลังสำแดงเดชสมกับเป็นกองทัพชั้นเยี่ยมที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาแปดอ๋องแห่งซ่งเหนือ เหล่าทหารที่หนุนเข้ามามีปฏิกิริยาทันที
ภายใต้เสียงตะโกนของผู้บังคับบัญชาขั้นฟ้าประทานคนหนึ่ง ทหารสวมเกราะสีเหลืองดินพร้อมอาวุธขยับขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนกำลังภายในมาได้ เมื่อส่งพลังภายในลงในอุปกรณ์ กระตุ้นค่ายกล บนตัวของทหารทุกคนมีลวดลายดาวไหลเวียน ทหารที่ถือโล่ยักษ์ผืนฟ้าวารีสองแถวในนั้นขยับขึ้นหน้า เข้าสกัดทิศทางที่เพลิงสีแดงประหลาดลุกโหมเข้ามา และประกอบกันเป็นค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ทันใด
ลวดลายดาราบนโล่ยักษ์สว่างวูบวาบ คลื่นน้ำไหลวน ในอากาศมีเสียงพิลึกของคลื่นซัดโถม โล่ยักษ์ยี่สิบอันประสานรอยแยกรวมเข้าด้วยกัน ก่อนแผ่เกราะแสงคุ้มกันตั้งสกัดพื้นที่ที่เปลวไฟนั้นทะลักเข้ามา ดุจดั่งคลื่นยักษ์ลูกหนึ่งก็มิปาน
“เยี่ยม!”
“สมเป็นกองทหารชั้นเยี่ยมร้อยศึก”
“ทหารชั้นเยี่ยม!”
แขกเหรื่อมากมายที่รู้เรื่องการศึกบนที่นั่งแขกพิเศษ พริบตานี้ล้วนทอดถอนใจออกมาจากใจจริง
ทว่าคนที่ไม่เข้าใจเรื่องขบวนทหารเหล่านั้น ก็ยังมองออกกว่าเป็นกองกำลังทหารที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
แม้จะเคยได้ยินมานานแล้ว กองกำลังสำแดงเดชใต้บังคับบัญชาของจิ้นอ๋องจัดเป็นถึงทหารชั้นยอดของจักรวรรดิ แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น การได้มาเห็นเองชัดเจนเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ได้ยินมา ถ้าหากนายทหารอื่นๆ ของกองกำลังสำแดงเดชยอดเยี่ยมเหมือนกลุ่มนี้ กองทัพนี้ยังจะมีใครต่อกรได้อีก? ดินแดนซ่งเหนือแห่งนี้น่ากลัวว่าจะเป็นจิ้นอ๋องเสียแล้วที่ขึ้นมานั่งตำแหน่ง
บนใบหน้าของจิ้นอ๋องจ้าวเฉินปรากฏรอยยิ้มหยิ่งทะนง
ใช่แล้ว สิ่งนี้คือพลังอำนาจของเขาเลย
ทัพใหญ่อาจหาญอยู่ในกำมือเขา
ทว่า ขณะที่คำชื่นชมแซ่ซ้องยังไม่ทันหาย ก็เห็นว่าด้านนอกค่ายทหารห่างออกไปมีแสงดาบสีจางเกือบโปร่งใสสายหนึ่งปรากฏวับวับขึ้นกะทันหัน สว่างวาบเข้ามา จากนั้นจึงเห็นค่ายกลเปลี่ยนรูปยี่สิบโล่ยักษ์ลายดาราเป็นประดุจกระดาษ แยกออกเป็นสองจากกึ่งกลางอย่างเงียบงัน ทหารที่ถือโล่อยู่ก็เช่นกัน…
ภายใต้ลำแสงกึ่งโปร่งใสเส้นนี้ ค่ายกลเปลี่ยนรูปธาตุน้ำราวกับฟองสบู่มายา เสียงโพละดังขึ้นแล้วแตกสลายไป
เปลวเพลิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ยุทโธปกรณ์ ทหาร โล่ยักษ์ ค่ายกล…
ทั้งหมดถูกแผดเผาอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีแดงจนสลายหายไป
ค่ายกลคุ้มกันของกองทัพนับหมื่น ถูกดาบกึ่งโปร่งใสดาบเดียวฟันจนเป็นรอยแยกกว้างหกจั้ง
ผู้คนจึงค่อยตระหนักอย่างตื่นตะลึงยิ่ง นั่นใช่แสงเปลวเพลิงเฉลิมฉลองอันงดงามเสียที่ไหน นั่นมัน…แสงดาบคร่าชีวิตชัดๆ
ห่างออกไปไกลลิบจากรอยแยก คนหนุ่มผมสั้นชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัว
เขาค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา ร่างที่อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่องคล้ายบิดเบี้ยวเพราะเส้นแสง เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด แปลกประหลาดอย่างมาก ไม่มีใครมองใบหน้าของเขาชัดเจน
และทุกครั้งที่ร่างของเขาเลือนหายแล้วปรากฏ ระยะจะร่นเข้ามากว่าร้อยจั้ง
ในชั่วพริบตา ขณะที่ดวงตาของทุกคนยังมีความยินดีหลงเหลือ ไม่ทันรู้สึกตัวกลับมา หนุ่มผมสั้นชุดขาวคนนี้ก็เข้ามาทางช่องว่างที่ถูกฟันเปิดออกของค่ายใหญ่กองกำลังสำแดงเดชแล้ว ซ้ำยังคงเดินไม่หยุด ตรงเข้ามาด้านในต่อ
เคร้งๆๆๆ!
เสียงชักดาบกระบี่ออกจากฝักดังขึ้น
ทหารเกราะของกองกำลังสำแดงเดชล้อมเข้ามาจากทั้งสองด้าน ราวกับป่าดาบหอกเดินได้
ห่างออกไป ได้ยินเสียงบัญชาการจากผู้บังคับบัญชา เสียงสายธนูสั่นไม่ต่างจากฟ้าร้อง
ด้านหลังกระบวนทัพ ลูกธนูของหน้าไม้ทลายดาวแบบทำพิเศษพุ่งโค้งเข้ามาหนาแน่นปานฝูงตั๊กแตน ปกคลุมไปทางเด็กหนุ่มชุดขาวผมสั้นอย่างรวดเร็วรุนแรงและแม่นยำ บนปลายธนูทรงสามเหลี่ยมมีแสงค่ายกลดาราเคลื่อนไหว เพียงพอที่จะทำลายสนามพลังปราณคุ้มกายของผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทานสมบูรณ์ได้ในพริบตา
ฉากนี้ทำเอาผู้แข็งแกร่งจากสำนักต่างๆ ในยุทธจักรอกสั่นขวัญแขวน
แต่ทว่า เด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวกลับไม่มีท่าทีอะไรเลย ยังเห็นว่าเขาเดินต่อ รอบกายมีแสงดาบกึ่งโปร่งใสส่องสว่างพันรอบ ลูกธนูทั้งหมดของหน้าไม้ทลายดาวพุ่งเข้าไปในระยะสามจั้งจากร่างเขา ก็ล้วนเปลี่ยนเป็นแสงไฟงดงาม ปลิวกระจายในอากาศ ลอยหายไปตามลม
“แค่ไก่กระเบื้องหมาดินเผา[1]พวกนี้ สกัดข้าไม่อยู่หรอก”
เด็กหนุ่มชุดขาวเปิดปาก ดวงตามีความมั่นใจในตนเองอย่างเด็ดขาด
นั่นเป็นใบหน้าที่องอาจกล้าหาญและได้สัดส่วน ดวงตาโตมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะลูกตาดำราวทะเลดวงดาวที่ไม่เหมือนใคร ทั้งยังเหมือนหุบเหวลึก มองไม่เห็นก้น ไม่เห็นขอบเขตอันไพศาล ส่องสว่างดุจดารา โชติช่วงดั่งเปลวไฟในสารทฤดู
กองกำลังสำแดงเดชสองแสนนายที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารชั้นยอดในชั้นยอดของทัพใหญ่ซ่งเหนือ ในคำพูดเขากลับเป็นไก่กระเบื้องหมาดินเผา
และรัศมีอำนาจของเขา แววตาเช่นนั้น น้ำเสียงเช่นนั้น สีหน้าท่าทีเช่นนั้น…กลิ่นอายพลังทั้งหมดบนตัว ทำให้คนรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง ไม่ใช่เพียงการเขียนเสือให้วัวกลัว ทั้งยังทำให้เชื่อว่ากองกำลังสำแดงเดชสองแสนนายนี้ช่างอ่อนแอสำหรับเด็กหนุ่มจริงๆ
เด็กหนุ่มคนนี้คือใคร?
‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงหัวหน้าใหญ่ค่ายวารีเชื่อมฟ้าลืมตาขึ้นทันที ลูกตาดำมีประกายคมกริบพรั่งพรู
เสวียนเฉิงจื่อลุกพรวดขึ้นแล้วขมวดคิ้ว
เจ้าสำนักใหญ่เช่น ‘สำนักหอกเหล็ก’ ‘พรรคภูผาแม่น้ำ’ ‘หอชั้นหนึ่ง’ ‘หอวายุอัสนี’ และ ‘เรือนจิตสวรรค์’ ล้วนพยายามข่มความตื่นตระหนกในใจ แต่ละคนทบทวนความทรงจำในสมองอย่างบ้าคลั่ง ในซ่งเหนือเหมือนจะไม่มีคนเช่นนี้อยู่ แล้วเด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวคนนี้เป็นใครมาจากที่ใดกัน?
สีหน้าของจิ้นอ๋องจ้าวเฉินเย็นเยียบและถมึงทึง
เขาโบกมือ สั่งให้ทหารถอยไปเล็กน้อย และหยุดการโจมตี
เพราะเขามองออกแล้วว่าพลังของเด็กหนุ่มผมสั้นชุดชาวคนนี้น่ากลัวยิ่งนัก อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับสมบูรณ์ของขั้นเหนือมนุษย์ ผู้แข็งแกร่งที่แทบจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ หลุดพ้นจากการผูกมัดของโลกมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่กองทัพบนโลกจะต้านทานได้แล้ว…ต่อให้เป็นทหารที่ยอดเยี่ยมอีกสักเพียงไหนก็ต้านไม่อยู่
ทว่าเด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวไม่ได้มองที่เขาเลย
สายตาของฝ่ายตรงข้ามตกอยู่บนตัวท่านหญิงหวนจูหวางซืออวี่ที่สวมมงกุฎหงส์สายสะพายเจ้าสาว เย็นชาราวเทพธิดา มองอย่างละเอียดแล้วจึงหลุดหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ฮ่าๆๆ ไม่เจอกันหนึ่งปี เธอจะออกเรือนกับคนอื่นซะแล้ว ฮ่าๆ ใครมันอ่านจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอ ใครจับผมยาวๆ ของเธอรวบขึ้นแบบนี้ แล้วใครเย็บชุดเจ้าสาวให้…จิ๊ๆๆ เจ้าสาวบ้านไหนสวยได้ถึงขนาดนี้”
หวางซืออวี่ก็หัวเราะเช่นกัน
สาวงามอันดับหนึ่งของซ่งเหนือคนนี้ นับตั้งแต่ออกมายังลานพิธีจนขึ้นไปบนแท่นพิธีหลัก ใบหน้างามที่เย็นเยียบเพิ่งจะปรากฏรอยยิ้มเป็นครั้งแรกนี่เอง
รอยยิ้มเช่นนี้ ประดุจทำให้ร้อยบุปผาที่หนาวตายไปเบ่งบานโดยพลัน
ทุกคนรู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างไสว ฟ้าและดินเมื่ออยู่ต่อหน้ารอยยิ้มนี้ สีสันก็ยังหายไป
ในดวงตาของหวางซืออวี่ไม่มีใครอื่นอีก
มีเพียงใบหน้าหนึ่งเดียวที่คุ้นเคย
เธอฟังคำพูดของเด็กหนุ่ม ก็รู้ว่าเพื่อนร่วมโต๊ะเก่ากำลังทักทายและหยอกล้อกัน
เป็นเขาจริงๆ
เขามาแล้วจริงๆ
พริบตานี้ หวางซืออวี่ถอนหายใจยาวออกมา
นับตั้งแต่มาถึงดาวดวงนี้อย่างที่อธิบายไม่ได้ แรงกดดันทั้งหมด ทุกความสับสนที่กดทับในจิตใจ ทุกความหวาดกลัวที่หลบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใจ ชั่วขณะนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น ในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนหมด
ตอนแรก หลังจากที่มายังดาวดวงนี้ เธอก็เคยคิดหน้าคิดหลัง
ต่อมาเธอจึงพอเข้าใจ ห้องฝึกสมาธิในวัดหรานเติงนั่นประหลาด อาจจะเป็นค่ายกลในตำนาน แต่ทำไมตนเองจึงถูกส่งมาด้วยเธอก็ไม่เข้าใจ จนกระทั่งต่อมาได้ยินชื่อของหลี่มู่ ได้ยินบทกวีเหล่านั้น…เด็กสาวที่ฉลาดเป็นกรดก็เริ่มตระหนักได้ว่าหลี่มู่ไม่ใช่คนธรรมดา ตนเองมายังดาวดวงนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับหลี่มู่ก็ได้
“ยังจะมาร้องเพลง ‘เธอที่เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ’ อยู่อีกเหรอ นี่เพื่อน ถ้านายมาช้ากว่านี้อีกนิด ฉันได้แต่งไปเป็นภรรยาคนอื่นแล้วแน่” หวางซืออวี่สะบัดแขนเสื้อชุดคลุมตัวหลวมที่ใส่อยู่ ทำสีหน้าโกรธขึ้ง
และท่าทีกระเง้ากระงอดอย่างสาวน้อยเช่นนี้ เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยทำกับใครมาก่อน
ในพริบตานี้คนมากมายรู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างไสว อดใจเต้นรัวกันไม่ได้
เสน่ห์ของสาวงามอันดับหนึ่งของซ่งเหนือ ก็คือหนึ่งรอยยิ้มทะลวงวิญญาณที่ไม่อาจต้านทานได้เช่นนี้นี่เอง
“เธอไม่ได้ชอบอะไรครึกครื้นเหรอ? นี่ครึกครื้นพอหรือยัง ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มชุดขาวหัวเราะ ทำหน้าล้อเลียน ลูบคางแล้วเอ่ยขึ้น “ฮิๆ จะว่าไป พอไว้ผมยาวแล้ว เพื่อนร่วมโต๊ะที่แต่งตัวแบบนี้ก็ดูเหมือนเซียนอยู่นะ”
“เซียนบ้านนายน่ะสิ ฉันถูกพวกผู้หญิงใจร้ายที่นี่จับแต่งตัว รีบช่วยฉันเร็ว หนุนหลังหน่อย ให้ฉันพักหายใจบ้าง” หยางซืออวี่หัวเราะคิกคัก แกว่งกำปั้นขาวน้อยๆ ของตนคล้ายประท้วง
ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็มองออก นี่เป็นการหยอกล้อกันของหนุ่มน้อยสาวน้อยคู่หนึ่งชัดๆ
พวกเขาเป็นคนรู้จักกัน
เหตุผลที่เด็กหนุ่มคนนี้ฝ่าทะลวงค่ายเข้ามากระจ่างชัดในทันที
สีหน้าของจิ้นอ๋องทะมึนจนน่ากลัว
เขาแอบทำสัญญาณมือลับๆ ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งจากสำนักใหญ่ที่เป็นแขกมาร่วมงานโดยรอบล้วนลุกขึ้น ค่อยๆ ปิดล้อมทั้งแท่นพิธีหลักจากทิศต่างๆ เวลาเดียวกันก็บีบเข้าล้อมหลี่มู่จากที่ไกลๆ ด้วย
วันนี้ไม่ว่าอย่างไร ก็ห้ามให้เด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้มีชีวิตรอดออกไปได้
มิเช่นนั้น ตัวเขาจ้าวเฉินจะไม่กลายเป็นตัวตลกหรือ?
หัวหน้าใหญ่ค่ายวารีเชื่อมฟ้าหวงโหย่วหลงปรากฏตัวขึ้นข้างกายจิ้นอ๋อง
เจ้าแห่งทางน้ำที่วางมาดเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของค่ายทหารจิ้นอ๋องคนนี้มีกลิ่นอายแผ่เล็กน้อย แรงกดดันน่าเกรงขามของครึ่งขั้นเทวะกระจายออกมา ความน่าเกรงขามและองอาจของขั้นเทวะ ทำให้ชาวยุทธ์รอบด้านนับถือและเกรงกลัว
เขาพยักหน้าให้จิ้นอ๋อง จากนั้นหมุนตัวมามองยังจุดที่ห่างออกไป เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หนุ่มน้อย นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา เข่นฆ่าสังหารทหารของกองกำลังสำแดงเดช ก่อเรื่องในงานแต่งของฝ่าบาทจิ้นอ๋อง บุกมาสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ต่อให้เป็นสำนักเจ้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้ บอกชื่อสำนักอาจารย์ของเจ้ามาซะ”
เด็กหนุ่มชุดขาวยิ้มเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันขาว “อยากจะรู้ที่มาของข้าหรือ? เหอะๆ บอกเจ้าเลยก็ได้ ข้าไม่มีสำนักอาจารย์อะไร แต่หากบอกชื่อของข้าไป เกรงว่าพวกเจ้าจะตกใจกันหมด”
หวงโหย่วหลงยิ้มอย่างทระนง พูดขึ้นอย่างถือดี “ในดินแดนซ่งเหนือนี้ คนที่จะทำให้ข้าตกใจได้ยังไม่เกิดเลย เจ้าพูดมาเถอะ”
เด็กหนุ่มชุดขาวตอบกลับ “ข้าชื่อหลี่มู่”
‘มังกรเทพพยับฟ้า’ หวงโหย่วหลงได้ยินแล้วหัวเราะออกมาก่อน จากนั้นเมื่อตั้งสติได้เล็กน้อยก็ผงะทันใด จ้องไปยังเด็กหนุ่มชุดขาว นึกอะไรบางอย่างออกในฉับพลัน และเข้าใจความหมายแฝงของชื่อสองพยางค์นี้ สีหน้าแปรเปลี่ยน มุมปากกระตุกเบาๆ หลายครั้ง ท่าทีเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ทันที
……………………………………….
[1] ไก่กระเบื้องหมาดินเผา เปรียบเปรยถึงว่ามีดีแต่ชื่อ แท้จริงอ่อนแอ ใช้ประโยชน์จริงไม่ได้