จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 392 แกอ้วนขึ้น
หวางซืออวี่ตอบ “ทีแรกฉันก็คิดว่าเป็นเพราะฉันเป็นชาวโลก เข้ากับของบางอย่างบนดาวดวงนี้ไม่ได้ ก็เลยฝึกฝนออกมาไม่ได้ แต่ต่อมาฉันได้ยินชื่อของนาย ตอนแรกก็นึกว่าฟังผิด จนมาทีหลัง…ทำไมนายถึงฝึกได้ จนตอนนี้แทบจะเป็นเซียนอยู่แล้ว แต่ฉันกลับฝึกออกมาไม่ได้แม้แต่กำลังภายในล่ะ?”
เรื่องนี้ทำให้เธอกลัดกลุ้มนัก
หลี่มู่ก็ตอบไปอย่างไม่เข้าใจ “แปลกแฮะ…ให้ฉันดูเส้นลมปราณของเธอหน่อย”
หลี่มู่ยื่นมือจับฝ่ามือของหวางซืออวี่เอาไว้ ก่อนส่งพลังจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกเข้าไปอย่างระมัดระวัง
หวางซืออวี่ร้องเสียงต่ำ ใบหน้าฉายแววเจ็บปวด ที่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาทันที
หลี่มู่รีบดึงพลังธาตุไม้จักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกกลับทันที
เพราะเขาพบเรื่องที่ประหลาดอย่างมากเข้า…เส้นปราณทั้งหมดในร่างของหวางซืออวี่จับตัวแข็ง
หากเปรียบเทียบเส้นลมปราณในกายคนเหมือนกับร่องน้ำแล้วละก็ เช่นนั้นใน ‘ร่องน้ำ’ ของคนส่วนใหญ่ก็จะมีโคลนเลนบางส่วนอุดตัน นี่คือคุณสมบัติของคนส่วนมาก นับว่าเป็นเรื่องทั่วไป คุณสมบัติกายเช่นนี้จะมีความเร็วในการฝึกฝนธรรมดา อีกทั้งหลังจากฝึกฝนกำลังภายในได้แล้ว ยังต้องค่อยๆ กำจัดโคลนใน ‘ร่องน้ำ’ ออกไปด้วย ถึงจะยกระดับคุณสมบัติของตัวเองขึ้นได้ ขั้นตอนนี้เนิ่นนานและลำบาก และพวกที่แตกต่างจากคนประเภทนี้คืออัจฉริยะที่คนกล่าวกัน คนพวกนี้ ‘ร่องน้ำ’ จะสะอาด โคลนอุดตันน้อยมาก หาก ‘ร่องน้ำ’ ไม่มีโคลนทราย เช่นนั้นก็หมายความว่ามีคุณสมบัติกายอัจฉริยะยอดเยี่ยม กำลังภายในโคจรได้คล่องเป็นอย่างมาก เส้นทางการฝึกฝนก็จะราบรื่นเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะสายยุทธ์หรือคนทั่วไป ตามทฤษฎีแล้วไม่ควรเกิดสภาวะที่เส้นลมปราณจับตัวแข็งเช่นนี้
ทว่าเส้นลมปราณในกายของหวางซืออวี่ไม่อาจใช้คำว่า ‘ร่องน้ำมีโคลนอุดตัน’ มาบรรยายได้แล้ว พูดให้ชัดอีกหน่อยคือไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ร่องน้ำ’ เลยมากกว่า
คุณสมบัติกายเช่นนี้หายากมาก ไม่อาจโคจรกำลังภายในได้เลย
หากฝืนฝึกฝนละก็ กำลังภายในไม่มีที่โคจร ร่างจะฉีกขาดทันที มีอันตรายทำลายตัวเอง
เมื่อครู่หลี่มู่แค่ใช้พลังธาตุไม้จักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกสำรวจ ก็ทำให้หวางซืออวี่รู้สึกเจ็บปวดเหลือยิ่งแล้ว
“เป็นยังไงบ้าง?” ใบหน้าของหวางซืออวี่เผยความคาดหวัง
ทะลุมิติมาจากดาวโลกเหมือนกัน มาจากโรงเรียนเดียวกัน ในอดีตผลการเรียนของเธอยังดีกว่าหลี่มู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ เป็นเด็กเก่งของโรงเรียน แต่เมื่อมาโลกใบนี้ หลี่มู่ฝึกฝนเป็นเทวะแล้ว แต่เธอกลับฝึกฝนออกมาไม่ได้แม้แต่กำลังภายใน ความแตกต่างนี้ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ในใจจึงหงุดหงิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากไม่ได้เจอพวกผู้แข็งแกร่งที่เหินฟ้าดำดินพวกนั้นก็ช่างเถอะ แต่เมื่อได้เจอแล้วต่างเป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่เลือดร้อนฮึกเหิมกันทั้งนั้น แล้วจะไม่วาดหวังได้อย่างไร
แน่นอนว่าหวางซืออวี่หวังว่าตนเองจะฝึกวรยุทธ์ได้ และได้รับพลังอันแข็งแกร่งมา เป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง ไม่เหมือนครั้งนี้ที่เมื่อจิ้นอ๋องปรากฏตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง แม้แต่พลังต้านทานเพียงเล็กน้อยตัวเองก็ยังไม่มี ได้แต่ฝากชีวิตไว้กับคนอื่น
หลี่มู่ขบคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ให้ฉันดูอีกทีหน่อย”
ครั้งนี้เขาเบิกเนตรสวรรค์สำรวจกายเนื้อของหวางซืออวี่
แน่นอนว่าไม่ได้ฉวยโอกาสดูร่างเปลือยของดาวโรงเรียนเพื่อนร่วมโต๊ะ การควบคุมเนตรสวรรค์ของหลี่มู่ในตอนนี้ถึงขั้นเป็นเลิศแล้ว มองทะลุเนื้อหนัง สำรวจคุณสมบัติกาย อวัยวะภายใน และตันเถียนได้ทันที
เมื่อมองดู คิ้วของหลี่มู่ก็ขมวดทันใด
ตันเถียนของหวางซืออวี่ก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป
หากใช้ทฤษฎีวิถียุทธ์ของโลกนี้อธิบาย ตันเถียนจะเหมือนทะเลสาบ เส้นลมปราณเหมือนแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำก็คือกำลังภายใน ปราณแท้ หรือพลังภายในอะไรอื่นๆ ทางน้ำที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวสุดท้ายจะไหลเข้าไปในจุดตันเถียน รวมกันเป็นทะเลสาบ ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ที่พลังลึกล้ำหรือพรสวรรค์สูงส่งน่าอัศจรรย์ ตันเถียนไม่ได้เป็นแค่ทะเลสาบอีก แต่เป็นมหาสมุทร
ตันเถียนของหวางซืออวี่ก็เหมือนกับเส้นปราณของเธอ แข็งทั้งหมดดั่งภูเขาหินลูกหนึ่ง ประหนึ่งทะเลหิน ไม่อาจบุกเบิกออกเป็นทะเลสาบได้เลย
นี่…
ประหลาดแล้ว
หลังจากหลี่มู่มาถึงโลกใบนี้ก็ศึกษาอ่านตำรายุทธ์มากมาย เพิ่มเติมความรู้ทฤษฎีวิถียุทธ์ทั้งหลายอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นระดับความชำนาญในทฤษฎีวิถียุทธ์ของเขาจึงพูดได้ว่าสูงมาก แต่ก็ไม่เคยเจอสถานการณ์อย่างหวางซืออวี่แบบนี้ นี่ไม่ใช่เส้นลมปราณอุดตันแล้ว แต่ตันเถียนแข็งราวศิลา
หรือจะเป็นเพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายของซินแสเฒ่า?
เจ้าฮัสกี้นายพลค่อนข้างโชคดี ค่ายกลมอบฤทธิ์เดชอันน่าอัศจรรย์บางอย่างให้ แต่หวางซืออวี่ค่อนข้างอับโชค กลับเปลี่ยนคุณสมบัติกายของเธอ ทำให้เส้นปราณและตันเถียนจับตัวแข็ง ไม่อาจฝึกฝนวรยุทธ์ต่อไปได้?
หรือจะบอกว่า…ซินแสเฒ่าจงใจ?
เห็นท่าทางของหลี่มู่ ใจหวางซืออวี่ก็ชาวาบไปครึ่งหนึ่ง “เป็นไงบ้าง ไม่มีวิธีแก้ใช่ไหม? ฮิๆ นายพูดมาเถอะ เพื่อนยาก เรื่องแค่นี้ฉันยังรับได้”
หลี่มู่ปลอบเธอ “บนโลกไม่มีเรื่องที่แน่นอน คุณสมบัติกายของเธอพิเศษมาก เส้นปราณแข็งค้าง ตันเถียนเหมือนหิน คงต้องเป็นวิชาพิเศษถึงจะฝึกฝนได้ วางใจเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ฉันจะหาวิธีเปิดเส้นทางฝึกให้เธอให้ได้”
หวางซืออวี่หัวเราะ “ฉันเชื่อนาย”
นี่คือคำสัญญาของหลี่มู่
หวางซืออวี่นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
…..
เมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่เพิ่งขึ้นมัธยมต้นใหม่ๆ ตอนนั้นทุกคนเพิ่งรู้จักกัน เพิ่งจะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ ยังไม่ค่อยสนิทกันนัก วันพุธของสัปดาห์ที่สองที่เปิดเรียน รุ่นพี่มัธยมปลายที่เพิ่งเริ่มเป็นนักเลงส่งจดหมายรักให้ตน หลังจากปฏิเสธไป อีกฝ่ายไม่ยอมเลิกรา ประกาศกับคนทั้งโรงเรียนว่าหวางซืออวี่เป็นผู้หญิงของตัวเอง และให้คนอื่นอยู่ห่างๆ กับเธอ มิฉะนั้นจะได้เห็นดีกัน
เมื่อข่าวลือออกไป เพื่อนคนอื่นๆ ต่างตีตัวออกห่างจากเธอ
เธอถูกโดดเดี่ยว ถูกก่อกวน แต่ก็ไม่กล้าบอกครูและผู้ปกครอง ทั้งเสียใจทั้งไร้หนทาง
วันหนึ่ง เธอแอบนอนฟุบร้องไห้ในคาบเรียน เพื่อนร่วมโต๊ะหลี่มู่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยพูดอะไร จู่ๆ ก็หันมามองเธอ พูดกับเธออย่างจริงจังว่ารุ่นพี่ทำแบบนั้นไม่ถูก เขาจะทำให้รุ่นพี่คนนั้นมาขอโทษ
ตอนนั้นหวางซืออวี่ไม่ได้ใส่ใจอะไร
เพราะหลี่มู่ในตอนนั้นตัวไม่สูง ใส่ชุดนักเรียนดูแล้วผอมๆ ดำๆ ไม่โดดเด่นอะไร เทียบกับรุ่นพี่มัธยมหกตัวโตสูงใหญ่คนนั้นแล้วเหมือนถั่วงอกก็ไม่ปาน
แต่ใครจะรู้ว่าวันต่อมา ตอนหลี่มู่ปรากฏตัวหน้าประตูห้องเรียนด้วยใบหน้าบวมช้ำ ข้างหลังมีรุ่นพี่มัธยมหกตามมาด้วยใบหน้าบวมช้ำเช่นกัน ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงทั้งหลาย รุ่นพี่คนนั้นโค้งคำนับขอโทษหวางซืออวี่ต่อหน้าคนที่นั่นทุกคน
ตอนนั้นหวางซืออวี่รู้แล้วว่า คำพูดของหลี่มู่เชื่อถือได้จริงแน่นอน
และก็เริ่มจากตอนนั้นเอง หวางซืออวี่มองหลี่มู่ในมุมใหม่
ช่วงมัธยมต้นสามปีหลังจากนั้น หลี่มู่ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง
ตอนนั้น หลายครั้งที่หมดคาบหรือเลิกเรียน หวางซืออวี่มักจะเท้าคางนั่งอยู่คนเดียวตรงโต๊ะข้างหน้าต่างที่แสงอาทิตย์สีทองส่องเข้ามา พลางมองเงาของหลี่มู่สะพายกระเป๋าเดินออกจากประตูโรงเรียนไป กระทั่งอดคิดไม่ได้ว่าหากอยู่ในยุคโบราณ ในโลกนิยายกำลังภายใน หลี่มู่จะต้องเป็นจอมยุทธ์ที่รักษาคำพูดแน่นอน
ดื่มสุราร้อนแรงสามจอกเปล่งวาจาสัญญามั่น คุณธรรมหนักแน่นดั่งขุนเขาทั้งห้า
หวางซืออวี่รู้สึกดีกับหลี่มู่ คนทั้งโรงเรียนรู้กันหมด
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าหลี่มู่จะเลิกเรียนต่อมัธยมปลาย เธอจึงมาที่วัดหรานเติงคนเดียว คิดจะโน้มน้าวให้หลี่มู่เรียนต่อ…
เมฆขาวบนท้องฟ้าแหวกผ่านไปสองข้างอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกยามขี่เมฆช่างน่าอัศจรรย์นัก
หวางซืออวี่แอบซบศีรษะบนไหล่ของหลี่มู่ คล้องแขนของเขาเอาไว้พลางหลับตาลงเล็กน้อย
ภาพที่เคยจินตนาการไว้เป็นจริงแล้วในวันนี้ มาอยู่ในโลกจอมยุทธ์ยุคโบราณจริงๆ และหลี่มู่ก็เป็นจอมยุทธ์น้อยที่เกรียงไกรในยุทธภพจริงๆ…เพียงแต่น่าเจ็บใจนัก ในโลกที่มีสีสันใบนี้เธอเป็นได้แค่ตัวละครที่ถูกหลี่มู่ปกป้องเท่านั้น
ไม่นานนักก็มาถึงเขาหัวโค
คนทั้งสองร่อนลงหน้าประตูวัดซ่อนมรรคา
พวกปาเสียนอ๋องกับจ้าวจี้เดินมารับหน้าทันที
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ปาเสียนอ๋องกังวลมากจนจิตใจว้าวุ่น ก้าวขึ้นมาดึงหวางซืออวี่ ประเมินตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อไม่เห็นบาดแผลอะไรก็โล่งใจในที่สุด มองออกได้เลยว่าชายชราคนนี้ห่วงใยหวางซืออวี่จริงๆ
“ท่านพ่อ วางใจเถอะ ลูกก็ยังอยู่ดีนี่นา” บนร่างของหวางซืออวี่ยังสวมชุดแต่งงานสีแดง เธอหมุนตัวรอบหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ฮิๆ เทวะไท่ไป๋อ๋องหลี่มู่ผู้มีชื่อเสียงสะท้านภพลงมือเอง ลูกจะเป็นอะไรไปได้”
ปาเสียนอ๋องมองหลี่มู่ คำนับติดๆ กันหลายครั้ง เอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “บุญคุณของเทวะหลี่ ต่อให้ข้าร่างกายแหลกละเอียดก็ยากจะทดแทนได้”
หลี่มู่รีบตอบ “อย่าได้พูดเช่นนี้เลย ข้าก็ต้องขอบคุณท่านอ๋องด้วย ดูแลสหายผู้นี้ของข้ามานานขนาดนี้ ท่านอ๋องอย่าได้เกรงใจ ท่านคือบิดาบุญธรรมของซืออวี่ ก็นับเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้าด้วยเช่นกัน”
เขาพูดจากใจจริง
หากไม่ใช่เพราะชายชราคนนี้ หวางซืออวี่ที่มีคุณสมบัติกายพิเศษคงยิ่งได้รับความลำบากมากมายในโลกนี้ กระทั่งว่าอาจจะประสบเคราะห์ร้ายไปแล้ว สาวงามที่ไม่มีความสามารถปกป้องตัวเอง ไม่ว่าอยู่ในโลกใดก็ล้วนอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นแบบนั้นจริงๆ แล้วละก็ ในใจของหลี่มู่คงเสียใจและรู้สึกผิดไปตลอดกาล วันหน้าหากกลับไปยังดาวโลกและได้รู้ความจริง ก็ไม่มีหน้าไปเผชิญหน้าพ่อแม่ของหวางซืออวี่แน่
จ้าวจี้ก็เดินเข้ามา ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฮ่าๆ เป็นคนบ้านเดียวกันทั้งนั้น เข้าไปในวัดซ่อนมรรคาก่อนค่อยว่ากัน”
คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในส่วนลึกของวัดซ่อนมรรคาโดยการนำทางของนักพรตในอารามเต๋า
“โฮ่ง พี่สาว ได้เจอกันอีกแล้วดีใจจริงๆ ท่านสวยขึ้นนะเนี่ย ตกวิญญาณคนได้เลย” เจ้าฮัสกี้ตรงมาทำท่าแอ๊บแบ๊วเอ่ยชมเชย ที่จริงมันค่อนข้างจะสันหลังหวะ วันนั้นเป็นมันเองที่พาหวางซืออวี่เข้าไปในห้องฝึกสมาธิ พูดได้เลยว่าเป็นตัวต้นเหตุ
“เอ๋ นายพลแกพูดได้ด้วยเหรอ” หวางซืออวี่ตกใจมาก
เธอเห็นไซบีเรียนฮัสกี้ตัวนี้แล้วก็รู้สึกคุ้นเคยมาก
ตอนนั้นที่อยู่บนดาวโลก เธอมีความสัมพันธ์อันดีกับหลี่มู่ และหลายครั้งเขาก็ตัวติดกับเจ้านี่ เธอจะเอาของกินบางอย่างจากที่บ้านมาหยอกล้อกับเจ้าฮัสกี้ตัวนี้ ดังนั้นระหว่างทั้งสองก็นับว่าเป็น ‘คนคุ้นเคย’ แล้ว
“โฮ่ง โฮ่งเกิดมาแล้วข้าย่อมมีประโยชน์ เรื่องพูดได้ประเภทนี้ สำหรับโฮ่งแล้วง่ายเหมือนปอกกล้วย” เจ้าฮัสกี้ส่ายหัว วิ่งไปวิ่งมาอย่างอวดเก่งลืมตัว
หวางซืออวี่พยักหน้า เอ่ยคล้ายครุ่นคิดอะไร “อืม พูดได้ แล้วก็อ้วนขึ้นด้วย”
……………………………………………………