จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 398 ดุจจันทราที่เคยรู้จักหวนกลับมา
ด้วยพลังจิตวิญญาณของหลี่มู่ในตอนนี้ การปกคลุมหาดหินรัศมีกว่าสองลี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นถิ่นของพรรคกระยาจก บนหาดหินมีผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือมากมาย หลี่มู่จึงยังใช้พลังจิตวิญญาณอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบทีละชุ่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบกลิ่นอายของขอทานเฒ่าจั่วลู่อี้กับหมิงเยวี่ย แม้แต่เจ้าสุนัขอ้วนที่พูดได้นั่นก็ยังไม่พบ
หากจั่วลู่อี้เป็นยอดผู้อาวุโสพรรคกระยาจกจริง เช่นนั้นก็ควรจะปรากฏตัวในงานประชุมใหญ่ของพรรค
ครั้งนี้หลี่มู่รอบคอบระมัดระวังมาก ต้องหาตัวหมิงเยวี่ยให้เจอให้ได้
ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงไม่ได้ถามหาเบาะแสของจั่วลู่อี้กับหลู่ฉางฟู่คนสัตย์ซื่อ เพราะกังวลเรื่องแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นกัน ใครจะรู้ว่าหลู่ฉางฟู่มีความสัมพันธ์อย่างไรกับจั่วลู่อี้
ในขณะที่หลี่มู่ใช้ความคิด เหล่ายอดฝีมือบนหาดหินก็เอะอะวุ่นวาย
มองออกได้ว่าบารมีของ ‘ฝ่ามือมังกร’ หลี่อวิ๋นเทานั้นสูงมากจริงๆ แม้ว่าประมุขพรรค ‘ยาจกเทพ’ จะบอกกับปากว่าเป็นคนทรยศหนอนบ่อนไส้ ทั้งยังมีหม่าซวินเป็นพยานปาก ทว่าผู้แข็งแกร่งพรรคกระยาจกจำนวนมากรวมถึงศิษย์ในพรรคอีกมากมายล้วนไม่เชื่อเรื่องนี้ คนทั้งหลายต่างถามเสียงดัง อยากให้หลี่อวิ๋นเทาพูดจากปากตัวเอง
เสียแต่ตัวหลี่อวิ๋นเทาถูกสะกดเอาไว้ ไม่สามารถพูดได้
ชายร่างสูงใหญ่กำยำคนนี้ยืนอยู่บนเวทีหิน ไม่มีความหวาดกลัวหรือเจตนาจะหลบหนีแต่อย่างใด แม้ไม่อาจเปิดปากได้ แต่จิตใจฮึกเหิม แววตาไร้กังวล
“ทำไมจึงไม่ให้พี่ใหญ่หลี่พูด?” หัวหน้าสาขาย่อยคนหนึ่งก้าวออกมา ซักถามเสียงดัง
‘ยาจกเทพ’ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ ไม่นึกว่าจะยังมีศิษย์พรรคกระยาจกมากขนาดนี้สนับสนุนหลี่อวิ๋นเทาอยู่ ยามเขาจะพูดอะไรขึ้นมา…
ตอนนี้เอง เหลียงจื้อคุณชายหน้าขาวที่หรี่ตายิ้มอยู่ตลอดพลันยกมือขึ้น พัดจีบในมือกลายเป็นสายฟ้าสีดำขาวสายหนึ่ง ความเร็วปานฟ้าแลบ ตัดผ่านความว่างเปล่า อากาศแยกออกราวกับมีดร้อนหั่นเนย หัวหน้าสาขาย่อยที่ตำหนิเมื่อครู่ยังไม่ทันตั้งตัว ศีรษะก็ถูกพัดตัดสะบั้น ก่อนที่พัดจะนำศีรษะนั้นลอยกลับมายังมือของเหลียงจื้อ
กลิ่นคาวเลือดฉุนจมูกคละคลุ้ง
ร่างไร้วิญญาณล้มลง
ใครก็ไม่ทันคาดคิดว่าเขาจะลงมือสังหารอย่างกะทันหัน
“โจวสยงหัวหน้าสาขาย่อยไท่ผิงเป็นพรรคพวกเดียวกับหลี่อวิ๋นเทา เป็นหนึ่งในหนอนบ่อนไส้เช่นกัน กล้าออกหน้าพูดจายุแยงคน สมควรตาย” เหลียงจื้อชูศีรษะของโจวสยงหัวหน้าสาขาย่อยไท่ผิงขึ้นมาพลางยิ้มเย็น ภายใต้แสงจันทร์ ใบหน้าขาวซีดมีความน่ากลัวอย่างหนึ่งที่บรรยายไม่ถูก
หลี่อวิ๋นเทามองเหลียงจื้ออย่างเดือดดาล เส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นบนหลังมือและท่อนแขน แต่ไม่สามารถดิ้นหลุดจากพันธนาการ
ทว่าหลังจากความเงียบงันครู่หนึ่ง ก็มียอดฝีมือพรรคกระยาจกอีกส่วนกระโดดออกมาบนเวทีหิน ล้อมเหลียงจื้อเอาไว้ ท่าทางโมโหเดือดดาล และต้องการคำอธิบาย ด้วยพรรคก็มีกฎของพรรค การตราหน้าสังหารคนคนหนึ่งตามใจตน คนมากมายย่อมไม่อาจยอมรับได้
ตอนนี้เอง ประมุขพรรค ‘ยาจกเทพ’ ตะคอกว่า “ทำอะไรกัน หรือว่าพวกเจ้าจะก่อกบฏ อย่าลืมเสียล่ะ ตอนเข้าร่วมพรรคกระยาจก คำกล่าวสาบาน…” ขณะพูดร่างของเขาโงนเงน สีหน้าซีดขาว กระทั่งอ้าปากก็กระอักเลือดออกมา อากัปกิริยาตอนนี้อ่อนแอโรยแรงมาก
“ประมุขพรรค!”
“นี่…ประมุขพรรคท่านไม่เป็นไรใช่ไหม”
ทุกคนเห็นเช่นนี้ก็พากันตกใจ
‘ยาจกเทพ’ เอ่ยด้วยโทสะ “พวกเจ้าจะให้ข้าโมโหจนตายรึ หรือว่าจะถือโอกาสตอนที่ข้าถูกพรรคจันทราโลหิตลอบทำร้ายจนเจ็บหนักก่อกบฏ?”
ทุกคนล้วนไม่กล้า
หลายปีมานี้ อำนาจบารมีของ ‘ยาจกเทพ’ ในพรรคสูงยิ่ง ในอดีตเขาเคยพลิกสถานการณ์ร้ายกลับเป็นดีหลายต่อหลายครั้ง ได้ชื่อว่าเป็นยอดจอมยุทธ์ในซ่งเหนือ เป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงที่ทุกคนยอมรับ พอเขาระเบิดโทสะเช่นนี้ ยอดฝีมือพรรคกระยาจกจึงทำได้เพียงถอยไปก่อนชั่วคราว
“เหลียงจื้อบาดเจ็บหนักเพราะข้าและยังไม่ได้รักษาตัว จึงบันดาลโทสะลงมือไป พวกเจ้าจะร้อนรนอะไรกัน ถ้าข้าไม่มีหลักฐานและความมั่นใจมากพอ คิดว่าข้าจะเอาผิดหลี่อวิ๋นเทา เอาผิดโจวสยงเช่นนี้รึ? จงรู้เอาไว้ พวกเขาเป็นคนที่ข้าชุบเลี้ยงมากับมือ ไม่ต่างจากลูกชายแท้ๆ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใจของข้าเจ็บปวดกว่าพวกเจ้านัก” ยาจกเทพกล่าวเสียงดัง
เพราะความโกรธ มุมปากของเขามีเลือดไหลออกมาอีก ย้อมเคราขาวจนแดง
คุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อเดินเข้าไปประคอง ‘ยาจกเทพ’
ผู้แข็งแกร่งพรรคกระยาจกที่ลงมือก่อนหน้า ตอนนี้ล้วนมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่กล้ากล่าวอะไร ถอยลงมาจากเวทีหินแล้ว
หลี่มู่มองอยู่ ยามนี้ก็ยังวิเคราะห์อะไรไม่ได้
‘ยาจกเทพ’ คนนี้ลมหายใจรวยรินจริงๆ ก่อนหน้านั้นคือฝืนทนเอาไว้ ยามนี้อาการบาดเจ็บภายในกำเริบ พลังฝึกครึ่งขั้นเทวะลดลงฮวบฮาบ ดูท่าคงจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ชายชราพูดอย่างคั่งแค้นโศกเศร้าเช่นนี้ ทำเอาหลี่มู่ประหลาดใจ หรือว่าหลี่อวิ๋นเทาที่ดูฮึกเหิมเลือดร้อนผู้นี้จะเป็นหนอนบ่อนไส้จริง?
เขาเริ่มมีอารมณ์ร่วมแล้ว
ทว่า พลังจิตวิญญาณก็ยังคงตรวจสอบไม่หยุด คอยควานหาร่างของขอทานเฒ่าจั่วลู่อี้
หลู่ฉางฟู่คนซื่อที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้าสับสนซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
เขาเป็นศิษย์พี่น้องในยุคหนึ่งกับ ‘ยาจกเทพ’ จงรักภักดีต่อประมุขพรรคคนนี้ยิ่งนัก ทว่าหลี่อวิ๋นเทาเขาก็ยังเชื่อใจมาก ความเจ็บปวดในใจตอนนี้ คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
หลังจากผ่านฉากนี้ไป ‘ยาจกเทพ’ ควบคุมสถานการณ์ที่กลุ่มคนเดือดดาลเอาไว้
หลี่อวิ๋นเทายืนอยู่บนเวทีหิน ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของ ‘ยาจกเทพ’ ก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ใบหน้าเผยความเจ็บปวด เมื่อตกสู่สายตาคนบางส่วน ดูประหนึ่งว่าในที่สุดเขาก็สำนึกผิดชอบชั่วดีแล้ว
ถัดมา มีอีกหลายสิบคนถูกคุมตัวขึ้นมาบนเวทีหิน ทุกคนเป็นยอดฝีมือของพรรค หัวหน้าสาขาย่อยใหญ่ต่างๆ รวมถึงพวกผู้คุมกฎ ทั้งหมดถูกสังหารที่นี่ โทษคือสมคบคิดกับหลี่อวิ๋นเทา ทรยศพรรค เข่นฆ่าศิษย์พี่น้องในพรรค เลือดสดย้อมเวทีหินจนแดงฉาน ความโหดร้ายทารุณของพรรคเผยออกมาให้เห็นในเวลานี้อย่างเต็มที่
หวางซืออวี่มองจนหน้าซีดเผือด
หลี่มู่จับมือของเธอไว้เบาๆ
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นคนดาวโลก มาถึงโลกนี้แล้วก็เข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นการสังหารทารุณเช่นนี้ วันนั้นตอนที่หลี่มู่บุกค่ายทหารเข้าไปช่วยเหลือเธอ คนที่ถูกสังหารล้วนกลายเป็นแสงไฟงดงาม ไม่เหมือนการนองเลือดที่เห็นอยู่ตรงหน้า
หลู่ฉางฟู่ตัวสั่นเทิ้ม รับไม่ได้กับเรื่องทั้งหมด
คนที่ถูกสังหารเหล่านั้นเป็นศิษย์พี่น้องที่มีชื่อเสียงในพรรคและผู้โดดเด่นรุ่นใหม่ แต่ว่า…ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
เรื่องภายในของพรรคกระยาจก หลี่มู่รับชมถึงตอนนี้ก็ค่อยๆ หมดความสนใจ สิ่งที่ทำให้เขาร้อนใจคือทั่วทั้งหาดหินนี้ กวาดสำรวจจนครบแล้วก็ยังไม่พบจั่วลู่อี้หนึ่งในยอดผู้อาวุโสพรรคกระยาจกเลย และไม่มีแม้แต่เงาของหมิงเยวี่ยกับสุนัขอ้วนสีน้ำตาลตัวนั้นด้วย หลี่มู่เริ่มมีความคิดจะไปจากที่นี่แล้ว
เขาไม่สนใจจะสอดมือยุ่งเรื่องของพรรคกระยาจก
บนเวทีหิน ยามนี้ร่างของ ‘ยาจกเทพ’ โงนเงนจะล้มลง กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ เอ่ยขึ้นว่า “พี่น้องทุกท่าน ข้าทนอีกไม่ไหวแล้ว ข้าเปิดประชุมครั้งนี้ นอกจากเรื่องกำจัดหนอนบ่อนไส้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง งูไร้หัวไม่อาจเลื้อยได้ฉันใด นกไร้หัวก็มิอาจบินได้ฉันนั้น ก่อนข้าตายจำเป็นต้องเลือกประมุขพรรคคนใหม่ขึ้นรับตำแหน่ง ข้าจึงจะตายตาหลับได้ เมื่อมีเรื่องเร่งด่วนต้องรู้จักพลิกแพลง ตอนนี้ไม่มีเวลามาทะเลาะหรือถกเถียงกันแล้ว ข้าขอกำหนดให้ศิษย์ปิดสำนักเหลียงจื้อเป็นประมุขพรรคคนต่อไป…”
รอบด้านมีเสียงดังเกรียวกราวอีกครั้ง
ชัดเจนว่าคนจำนวนมากไม่ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้
‘ยาจกเทพ’ กล่าว “ข้ารู้ว่าศิษย์พี่น้องมากมายไม่ยอมรับ แต่เหลียงจื้อเด็กคนนี้ภายนอกเย็นชาข้างในอบอุ่น ถึงแม้จะไม่ถนัดการเจรจา แต่พรสวรรค์ดีเยี่ยมนัก ทั้งยังจงรักภักดีต่อพรรคกระยาจกเรา พลังก็มีเพียงพอ มีเขามารับช่วงต่อ ข้าก็ตายตาหลับในยมโลกได้แล้ว…”
สุดท้าย ภายใต้คำพูดโน้มน้าวจากใจจริงของ ‘ยาจกเทพ’ และการอธิบาย สถานการณ์จึงค่อยๆ ควบคุมได้
ผลสุดท้ายถูกกำหนดเรียบร้อย
คุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อที่หน้ายิ้มเย็นชามีจิตสังหารคุกรุ่นแค่ต้องทำพิธีเล็กน้อยเท่านั้น ก็สามารถขึ้นเป็นประมุขพรรคกระยาจกคนใหม่ได้แล้ว
‘ยาจกเทพ’ ถอนใจโล่งอก
แต่ตอนนั้นเอง สีหน้าของหลี่มู่พลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จากนั้นยาจกเทพก็สัมผัสอะไรได้ ไม่สนใจอาการบาดเจ็บภายในร่าง ผลุนผลันลุกขึ้น มองไปทางทิศตะวันออก
ต่อมาจึงเป็นเหลียงจื้อ
ถัดมาเป็นยอดฝีมือพรรคกระยาจกจำนวนมาก
ทุกคนแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้า
และพบกับภาพประหลาดปรากฏภายใต้แสงจันทร์…จันทร์คู่ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้ามืดดำ ไม่รู้เมื่อไรมีเชือกสีดำสนิทสองเส้นห้อยลงมา ทั้งไม่รู้ว่าทำจากวัสดุอะไร จึงต่อติดอยู่กับพระจันทร์ ปลายเชือกเชื่อมกันด้วยไม้หยาบๆ แผ่นหนึ่งกลายเป็นชิงช้า
ชิงช้าแกว่งไปมา
เสียงหัวเราะน่ารักของเด็กสาวแว่วมา
“คิกๆๆ พวกเจ้าคนโง่เง่าทั้งสองแสดงได้ไม่เลวจริงๆ แต่ก็หลอกได้แค่พวกโง่เหล่านี้เท่านั้น จะตบตาคนระดับสูงได้อย่างไร” เสียงกังวานดุจนกจาบฝนร้องอยู่ท่ามกลางหุบเขาดังขึ้น
ต่อจากนั้นคนทั้งหมดรู้สึกตาลาย ก่อนจะเห็นว่าบนชิงช้าที่แกว่งไปมาปรากฏร่างของเด็กสาวอายุราวสิบสองสิบสาม ถักเปียเขาแกะสองข้าง ดวงตาโต เครื่องหน้าสวยสดงดงาม ผิวขาวรูปร่างดี สวมชุดกระโปรงสีแดงเพลิง เท้าเปลือยเปล่า ข้อเท้าเล็ก นิ้วเท้าขาวเรียว เล็บเท้าทาสีแดง ประหนึ่งเพิ่งแตกเนื้อสาว ช่างล่อลวงจิตใจคน
เด็กสาวคนนี้ทรงตัวอยู่บนชิงช้าที่มีหลักเป็นจันทร์ทั้งสอง โยกเยกไปมา ลอยอยู่กลางอากาศ
เทพเซียน?
ปีศาจ?
ยอดฝีมือพรรคกระยาจกบนหาดหินมีอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
ภาพฉากดังกล่าวเป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการจริงๆ
ใบหน้าของหลี่มู่กลับเผยอาการตื่นเต้นดีใจ
รวมถึงเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิงที่อยู่บนหลังหยวนโห่วข้างๆ เขา ก็รู้สึกตื่นเต้นเกินจะเปรียบเช่นกัน
หมิงเยวี่ย?!
เด็กน้อยงามพริ้มเพราที่ปรากฏกายบนชิงช้าจันทร์คู่ คือเด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยที่หายตัวไปนาน
แต่เพียงครู่เดียว หลี่มู่สบตากับชิงเฟิงแวบหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเห็นแววสงสัยในดวงตากันและกัน เนื่องจากเด็กสาวคนนี้ ไม่ว่าจะหน้าตา อายุ หรือเสียงพูดล้วนเหมือนกับหมิงเยวี่ยไม่ผิดเพี้ยน ทว่าน้ำเสียงที่นางใช้พูด สำเนียง และสายตา กลับแตกต่างจากหมิงเยวี่ยอย่างสิ้นเชิง บุคลิกเปลี่ยนไปมาก
และที่ยิ่งประหลาดก็คือ หมิงเยวี่ยในตอนนี้ บนร่างมีกลิ่นอายของความแข็งแกร่งและลึกล้ำเกินหยั่งกระเพื่อมอยู่ เสมือนร่างจำแลงของดวงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น ทำเอาหลี่มู่สัมผัสได้ถึงพลังคุกคามส่วนหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องเป็นพลังฝึกขั้นเทวะ
หมิงเยวี่ยที่หายตัวไปเป็นเพียงแค่เด็กรับใช้บัณฑิตทึ่มๆ โดยธรรมชาติคนหนึ่ง กินเก่งเกียจคร้าน ไม่มีพลังอะไร แต่นี่เพิ่งผ่านไปนานไม่เท่าไร กลับเข้าสู่ขั้นเทวะแล้ว?
นี่ล้อกันเล่นใช่ไหม
หลี่มู่ไม่ค่อยแน่ใจนัก
หรือว่าเด็กสาวคนนี้จะไม่ใช่หมิงเยวี่ย แค่รูปร่างหน้าตาคล้ายกันเท่านั้น?
แต่ต่อให้เป็นฝาแฝดที่ผีแบกมาส่งถึงครรภ์มารดา ก็ไม่น่าจะเหมือนกันขนาดนี้กระมัง?
………………………………….……….