จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 399 มาเป็นประมุขพรรค
หลี่มู่และเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงสองคนใจตรงกัน หลังจากรู้สึกไม่แน่ใจก็ไม่แสดงตน แต่ซ่อนตัวสังเกตอยู่ในที่ลับต่อไป อยากจะดูต่ออีกสักนิดให้แน่ใจเสียหน่อย
ยอดฝีมือพรรคกระยาจกทั้งหลายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ใครกันกล้ามาบุกพรรคกระยาจกของเรา?”
เหลียงจื้อหน้าตาเคร่งเครียด จิตสังหารน่าหวาดหวั่น พัด ‘มีข้าอยู่ไร้ศัตรู’ ลอยออกจากมืออีกครั้ง ก่อนจะแปลงเป็นแสงประหลาดสีดำขาวสายหนึ่ง ฟันไปยังเด็กสาวงดงามกลางฟ้าด้วยพลังคมกริบไร้เทียมทานราวกับดาบเทพ
“มาไม้นี้อีกแล้ว น่าเสียดายที่ใช้ไม่ได้ผลกับข้า” เด็กสาวดีดตัวกระโดดขึ้นกลางอากาศอย่างงดงาม นิ้วขาวเนียนดุจหยกขาวแตะลงบนพัดคมกริบนั้น พลิกตัวทีหนึ่งก็กลับมาบนชิงช้าใหม่ ท่าทางทั้งหมดดุจอาชาทะยานนางแอ่นถลาลม งามสง่าเป็นที่สุด ประหนึ่งนางสวรรค์เริงระบำกลางฟ้า
พัดจีบถูกเตะกลับไป
เหลียงจื้อยื่นมืออกไปรับ ใบหน้าแดงเรื่อ ถอยหลังไปสองก้าว
เพียงสัมผัสเล็กน้อยก็รู้ความต่างชั้นได้ทันที
เหลียงจื้อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กสาวผู้งดงามคนนี้
‘ยาจกเทพ’ ประมุขพรรคกระยาจกที่บาดเจ็บหนักหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“ใครก็ได้ จับตัวนางปีศาจนี่เสีย” เขาตะโกนเสียงแผ่ว
ทันใดนั้น ยอดฝีมือพรรคกระยาจกหลายร้อยคนทะยานขึ้นสูง ตรงไปยังชิงช้าแสงจันทร์แปลกพิลึกกลางท้องฟ้า
ถึงอย่างไรก็เป็นสาขาหลักของพรรคกระยาจก คืนนี้มีผู้แข็งแกร่งในพรรคเกินครึ่งรวมตัวอยู่ที่นี่
“เอาจำนวนเข้าสู้หรือ?” เด็กสาวผู้งดงามหัวเราะคิกคัก
โซ่ประหลาดสองเส้นที่ลอยอยู่กลางฟ้าพลันหดกลับมาพันรอบข้อมือนาง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำไลสีเงินที่มีลวดลายอาทิตย์จันทราและดวงดาราสลักเต็มทั้งวง ในขณะเดียวกัน กระดานชิงช้าที่ดูเหมือนธรรมดาเคลื่อนลงมาอยู่ใต้เท้า เรือนร่างนางขยับไหว ภาพประหลาดกะพริบวูบหนึ่งด้านหลัง ก่อนกลายเป็นแสงจันทร์พุ่งทะลวงวงล้อมของยอดฝีมือพรรคกระยาจกหลายร้อยคนไป นางไม่หนี แต่กลับมายังเวทีหิน ยืนยิ้มแย้มอยู่ตรงนั้น
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
เงาร่างกะพริบวาบ
ยอดฝีมือพรรคกระยาจกล้อมเด็กสาวเอาไว้
ชิงเฟิงเริ่มร้อนใจแล้ว เขากลัวว่าเด็กสาวที่เหมือนหมิงเยวี่ยจะตกอยู่ในอันตราย ร่างขยับคิดจะออกไป แต่หลี่มู่กดไหล่เขาเอาไว้เบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า ส่งสัญญาณให้เขาอย่าวู่วาม หากมีอันตรายจริงๆ เขาค่อยลงมือก็ยังทัน
“นางปีศาจจากที่ใดกัน? กล้าบุกการประชุมใหญ่พรรคกระยาจก หรือจะเป็นพวกชั่วพรรคจันทราโลหิต?” ‘ยาจกเทพ’ ถามด้วยสีหน้ากรุ่นโกรธและระแวดระวัง
“คิกๆๆ ข้าก็เป็นคนของพรรคกระยาจกเหมือนกัน ทำไมจะร่วมประชุมใหญ่ด้วยไม่ได้” เด็กสาวงามเฉิดฉายฉีกยิ้มกล่าว ใบหน้าเจ้าเล่ห์
“อะไรนะ เจ้าเป็นคนของพรรคกระยาจก?” ‘ยาจกเทพ’ อึ้งไปเล็กน้อย
ยอดฝีมือของพรรคกระยาจกคนอื่นๆ ก็แปลกใจเช่นกัน
พรรคกระยาจกไม่ใช่ไม่รับลูกศิษย์หญิง แต่เด็กสาวงามผุดผาดมีพละกำลังสูงเพียงนี้ กิริยาวาจาก็ประหลาด แต่ทุกคนกลับจำไม่ได้ หากเป็นศิษย์พรรคกระยาจกจริง ไม่มีทางที่คนมากมายที่นี่จะไม่รู้จักเลย
“โกหกมดเท็จ หากเจ้าเป็นศิษย์พรรคกระยาจก ไยข้าประมุขพรรคจึงไม่รู้จัก?” ‘ยาจกเทพ’ มีสีหน้าเคร่งขรึม ยกมือขึ้นสะบัด “อย่าฟังนางปีศาจนี่พูดไร้สาระ จับนางก่อนค่อยว่ากัน”
ผู้แข็งแกร่งและยอดฝีมือพรรคกระยาจกที่อยู่รอบๆ บนหาดหินต่างกรูกันเข้ามา
เด็กสาวผู้งดงามสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่ตื่นเต้นแม้แต่น้อย มืองามยกขึ้น หยิบป้ายประกาศิตป้ายหนึ่งออกมา หัวเราะเอ่ยว่า “ไม่เชื่อ? ดูให้ดี นี่คืออะไร”
“เอ๋? นั่นมัน…ป้ายประกาศิตผู้อาวุโส”
“เป็นป้ายประกาศิตของยอดผู้อาวุโส”
“เหตุใดนางมีป้ายประกาศิตของยอดผู้อาวุโสได้ หรือจะเป็นศิษย์พรรคเราจริงๆ?”
เมื่อเห็นป้ายนี้ ผู้แข็งแกร่งพรรคกระยาจกรอบด้านหยุดชะงักทันที
พรรคกระยาจกมียอดผู้อาวุโสทั้งหมดหกคน ตำแหน่งสูงส่ง เป็นรองเพียงประมุขพรรค โดยพื้นฐานแล้วเป็นผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสของพรรคที่สร้างผลงานมามากมาย ทั้งยังมีคุณธรรมและบารมีสูง เทียบได้กับผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักอื่นๆ ในมือของยอดผู้อาวุโสทุกคนจะมีป้ายประกาศิตผู้อาวุโส สามารถเคลื่อนกำลังของพรรคกระยาจกฝั่งใดในซ่งเหนือก็ได้ ผู้ถือครองป้ายนี้เปรียบดั่งยอดผู้อาวุโสมาเอง จะต้องเป็นลูกศิษย์ของพรรคแน่นอน
“ป้ายนี้ของแม่นางได้มาจากที่ใด?” หลู่ฉางฟู่ก้าวขึ้นมาหน้าเวทีหิน ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
เด็กสาวผู้งดงามทำหน้าทะเล้นอย่างเริงรื่น ตอบว่า “ข้าขโมยมาแย่งมา พวกเจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่?”
คนทั้งหลายอับจนคำพูด
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้
ยอดผู้อาวุโสพรรคกระยาจกล้วนเป็นคนที่พลังแข็งแกร่ง เด็กสาวคนนี้จะชิงมาได้อย่างไร
ประเด็นที่สำคัญคือ ป้ายประกาศิตและความเป็นความตายของยอดผู้อาวุโสเป็นเรื่องเดียวกัน หากไม่เต็มใจมอบให้ ผู้อื่นไม่มีทางชิงไปได้
“เรื่องนี้สำคัญนัก แม่นางโปรดแถลงไขด้วย” หลู่ฉางฟู่เอ่ยอย่างจริงใจยิ่ง
เด็กสาวผู้งดงามจ้องเขา ก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าถามอย่างจริงใจ เช่นนั้นข้าก็จะเมตตากรุณา…เชิญคนคนหนึ่งมาบอกเจ้าก็แล้วกัน…นี่ ตาเฒ่าซุน ดูเรื่องสนุกพอได้แล้วกระมัง ยังไม่ออกมาพิสูจน์ตัวตนของข้าผู้นี้อีก”
ขณะนางยังพูดไม่จบ ‘ยาจกเทพ’ ประมุขพรรคมองไปทางทิศตะวันออก
เหลียงจื้อก็ตั้งสติกลับมาเช่นกัน
กลางท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ภายใต้แสงจันทรา ขอทานเฒ่าสองคนก้าวข้ามขุนเขาและสายน้ำมาพร้อมกัน เหยียบแสงจันทร์ข้ามผ่านระยะหลายร้อยจั้งในพริบตา เพียงกะพริบวาบก็มาถึงเวทีหินแล้วยืนอยู่ข้างกายเด็กสาวผู้งดงาม
“คารวะผู้อาวุโสซุน ผู้อาวุโสกัว”
“คารวะสองยอดผู้อาวุโส”
ยอดฝีมือพรรคกระยาจกที่อยู่รอบๆ พากันทำความเคารพทันที ไม่กล้าเพิกเฉยแม้สักนิด
เพราะขอทานชราสองคนนี้คือสองในหกยอดผู้อาวุโสของพรรค ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงและ ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์ เป็นผู้แข็งแกร่งที่บุกตะลุยใต้ฟ้ามาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน ก้าวสู่ขั้นเทวะนานแล้ว เมื่อร้อยปีก่อนก็ไปมาลึกลับ น้อยครั้งจะได้เห็นเงา ราวเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง น้อยครั้งนักที่จะสนใจเรื่องในพรรค กระทั่งว่าศิษย์หนุ่มสาวมากมายไม่รู้จักแล้ว แต่คืนนี้ผู้ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนระดับสูงของพรรค แน่นอนว่าแค่เห็นก็จำได้ทันที จึงต่างคารวะ แสดงความเคารพอย่างสุดซึ้ง
“ที่แท้เป็นสองยอดผู้อาวุโสนี่เอง” ‘ยาจกเทพ’ ก็คารวะอย่างคนรุ่นหลังเช่นกัน
หากพูดจากลำดับอาวุโส เขาเป็นคนรุ่นหลังของยอดผู้อาวุโสจริงๆ
‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงดูไปแล้วตัวสั่นงกเงิ่น ผมขาวบางตา ฟันแทบจะร่วงหมดปากแล้ว เขาไม่พูดอะไรมาก ชี้ไปยังหมิงเยวี่ยแล้วเอ่ยว่า “นังหนูนี่เป็นศิษย์สายตรงของจั่วลู่อี้ ชื่อหมิงเยวี่ย นับว่าเป็นลูกศิษย์ของพรรคกระยาจกเรา นางมาเพื่อรับสืบทอดตำแหน่งประมุขพรรค”
เพียงเอ่ยคำนี้ออกไป เสียงร้องแตกตื่นตกใจก็ระงมทันที
จากนั้นจึงเป็นเสียงซุบซิบต่างๆ ที่ดังปานภูเขาคำรามทะเลคลั่ง
พรรคกระยาจกมีคนมากมาย แต่ชาติกำเนิดล้วนเป็นคนตกอับ ดังนั้นความเป็นระเบียบจึงแย่มาก ไม่ทันไรก็ดังเซ็งแซ่ไปทั่วแล้ว
หลี่มู่กับชิงเฟิงสองคนใบหน้าฉายแววลิงโลด
ตอนนี้โดยพื้นฐานก็มั่นใจได้แล้ว เด็กสาวงามเฉิดฉายคนนี้คือเด็กรับใช้บัณฑิตหมิงเยวี่ยผู้ทึ่มทื่ออย่างไม่ต้องสงสัย อาจารย์คือจั่วลู่อี้ หน้าตาเหมือน ชื่อก็เหมือน จะพลาดไปได้อย่างไร? เพียงแต่ไม่รู้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้นางเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
หวางซืออวี่ที่อยู่ข้างๆ มองหลี่มู่และชิงเฟิงด้วยความรู้สึกฉับไว “พวกเจ้าสองคนรู้จักเด็กสาวคนนั้น?”
หลี่มู่พยักหน้าบอก “เป็นสหายเก่าที่ตามหามานาน…แต่ว่าตอนนี้ยังไม่สะดวกพูด ดูไปก่อน” พลังกฎเต๋าแผ่ระลอกรอบตัวเขา ปิดกั้นคำสนทนาครั้งนี้ไว้ ยอดฝีมือพรรคกระยาจกที่หลู่ฉางฟู่ทิ้งไว้ปกป้องพวกหลี่มู่ไม่ได้สังเกตพบเลย
หวางซืออวี่ได้ยินก็ร้องอ้อ พยักหน้าแล้วไม่ถามอะไรอีก ก่อนจะหันกลับไป สายตาหยุดอยู่ที่หมิงเยวี่ย สีหน้าเธอเรียบเฉย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ในตอนนี้ บนเวทีหินเกิดข้อพิพาทขึ้นแล้ว
ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือ คุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อที่ขาก้าวขึ้นไปบนบัลลังก์พรรคกระยาจกแล้วข้างหนึ่ง ตอนนี้กลับมาเผชิญการแข่งขัน ในเมื่อเด็กสาวงามเฉิดฉายคนนี้เป็นศิษย์สายตรงของยอดผู้อาวุโสคนหนึ่ง เช่นนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะชิงตำแหน่งประมุขเช่นกัน ในพรรคกระยาจก ตำแหน่งของยอดผู้อาวุโสเทียบเคียงได้กับผู้อาวุโสสูงสุด บางครั้งก็สามารถตั้งคำถามและแก้ไขการตัดสินใจของประมุขพรรคได้
ถึงแม้คนระดับสูงของพรรคหลายคนจะมีอคติกับชื่อจั่วลู่อี้นี้อยู่บ้างก็ตาม
เพราะในบรรดายอดผู้อาวุโสทั้งหก ยอดผู้อาวุโสนามจั่วลู่อี้คนนี้…ค่อนข้างพิเศษ พูดให้ถูกคือค่อนข้างบ้า
เพียงแต่ ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ ซุนฉางเฟิงและ ‘หมัดเทวะร้อยลี้’ กัวปู๋เอ้อร์สองยอดผู้อาวุโสไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมานาน ครั้งนี้กลับสนับสนุนเด็กสาวหมิงเยวี่ยอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้ ‘ยาจกเทพ’ ค่อนข้างกระอักกระอ่วนหาทางลงไม่ได้
และไม่ว่าเรื่องใดก็แล้วแต่ หากเกิดการถกเถียงกันแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีทางจบลงอย่างรวดเร็วและราบรื่น
นับประสาอะไรกับเรื่องใหญ่อย่างการเลือกประมุขพรรคซึ่งส่งผลไปถึงการแย่งชิงผลประโยชน์ต่างๆ เช่นนี้
สุดท้าย วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลดีที่สุดและใช้ได้ตลอดกาลของโลกวิถียุทธ์ก็ถูกเสนอขึ้นมา…
ประลองยุทธ์
โดยมีคุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อที่ ‘ยาจกเทพ’ เลือกมากับหมิงเยวี่ยศิษย์สายตรงของจั่วลู่อี้เป็นผู้เข้าประลอง ผู้ชนะจะได้เป็นประมุขพรรคในท้ายที่สุด
“สู้อีกแล้ว? เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า” ใบหน้ารูปไข่ที่งามสง่าของหมิงเยวี่ยเผยความไม่ยินยอม เบ้ปากถามอย่างโมโห “ตาแก่จั่วลู่อี้บอกแล้วไม่ใช่หรือ แค่ข้าแสดงป้ายประกาศิต ตำแหน่งประมุขพรรคก็มั่นคงแล้ว?”
สองยอดผู้อาวุโสก็ไร้คำพูดเช่นกัน
มีลูกศิษย์ที่ไหนพูดถึงอาจารย์แบบนี้บ้าง
ฝ่ายหลี่มู่กลับเฝ้ารอการประลองนี้มาก
ตอนนั้นขอทานเฒ่าจั่วลู่อี้บอกว่าในกายของหมิงเยวี่ยมีภูตปีศาจตนหนึ่ง หากไม่กำจัดเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วจะกลืนกินสามจิตเจ็ดวิญญาณของหมิงเยวี่ย ต่อมาใช้ข้ออ้างนี้ไม่ใช่แค่เอาเลือดเจียวจากหลี่มู่ไป แต่ยังลักพาตัวหมิงเยวี่ยไปด้วย ยามนี้ดูท่าทางภูตปีศาจในกายหมิงเยวี่ยคงไม่มีแล้ว การยกระดับขึ้นของพลังอาจจะเกี่ยวกับภูตปีศาจและเลือดเจียว ดังนั้นหลี่มู่อยากจะเห็นผ่านการประลองยุทธ์เสียหน่อยว่าหมิงเยวี่ยตอนนี้มีพลังอย่างไร
ไม่นานการประลองยุทธ์ก็เริ่มขึ้น
สำหรับหลี่มู่ นี่คือการประลองที่ไม่มีความกังวลใดๆ
เพราะยังไม่ทันเริ่ม เขาก็มองผลแพ้ชนะออกแล้ว กลิ่นอายพลังในกายของหมิงเยวี่ยเห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าคุณชายหน้าขาวเหลียงจื้อเล็กน้อย สองคนสู้กันได้ประมาณครึ่งชั่วยาม ตอนแรกเหลียงจื้อยังอาศัยข้อได้เปรียบด้านประสบการณ์ ใช้วิธีต่อสู้ที่ดุดันสู้กับหมิงเยวี่ยได้อย่างสูสี แต่สุดท้ายเมื่อหมิงเยวี่ยสำแดงวิชาลับ ด้านหลังมีภาพปรากฏการณ์ประหลาดดอกบัวขาวกลางฟ้าครามปรากฏขึ้น เหลียงจื้อก็พ่ายแพ้หมดท่าอย่างรวดเร็ว
เรื่องที่ทำให้หลี่มู่ตกใจคือ ภาพเหตุการณ์ประหลาดดอกบัวขาวดอกหนึ่งหยั่งรากกลางฟ้าครามนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของวิถีฟ้า น่าจะเป็นพลังที่ไม่ใช่ของโลกนี้แน่ แต่เกี่ยวกับพลังวิถีฟ้าสูงสุดในห้วงดาราสมุทรที่ซินแสเฒ่าพรรณนาถึง
ใบบัวเก้าใบเขียวขจี ดอกบัวขาวดอกหนึ่งใกล้เบ่งบาน หยั่งรากกลางฟ้าคราม ภาพเหตุการณ์ประหลาดลอยอยู่ข้างหลังหมิงเยวี่ย น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เมื่อใบบัวขยับ จิตสังหารมหาศาลทะลักล้น แค่เผยพลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็ทำลายพัดจีบอาวุธเต๋าของเหลียงจื้อจนย่อยยับกลายเป็นเศษผง เหลียงจื้อกระอักเลือดล่าถอยไป…
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
……………………………………………