จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 403 เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงยิ่งนัก
“จางซานเฟิงอะไรเล่า เป็นหลี่มู่”
บนเขาลอยฟ้าเมืองมรกต เต้าหลิงฟังรายงานจากเสวียนเฉิงจื่อจบก็แค่นเสียงเย็นเอ่ย
“ศิษย์ก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เพียงแต่หลี่มู่เป็นสหายเก่ากับท่านหญิงหวนจู นี่ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ” เสวียนเฉิงจื่อทำหน้าฉงนสงสัย “ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าสองคนนี้รู้จักกัน”
ถึงแม้เขาเมืองมรกตจะเสียหายอย่างหนักและเกิดความวุ่นวายภายในเพราะการตายของเต้าฉง แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ข่าวสารข้อมูลยังคงฉับไวแม่นยำ ย่อมจับตามองบุคคลที่ชื่อเสียงก้องไปทั่วหล้าอย่างหลี่มู่ รวมถึงเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา วิชาพลังฝึก นิสัยใจคอ ล้วนรู้กระจ่างเป็นอย่างดี อีกทั้งหลี่มู่ยังไว้ผมสั้นโดยตลอด เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นอย่างมาก
คนในโลกนี้ก็ไม่ใช่คนโง่ หลี่มู่ไม่แม้แต่จะแปลงโฉม บอกชื่อไปมั่วๆ อาจจะปิดได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่จะปิดไปตลอดกาลได้อย่างไร
“พวกเขารู้จักกันได้อย่างไรนั้นไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือ เห็นได้ชัดว่าหลี่มู่ยืนอยู่ฝั่งท่านหญิงหวนจู ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้ว” เต้าหลิงดูจากภายนอกอายุประมาณสี่สิบกว่า หน้าตาผอมซูบ เครายาวสีดำ บุคลิกทรงภูมิเป็นอย่างมาก ฝึกฝนเต๋ามาเป็นเวลานาน ทำให้รัศมีของเขากลมกลืนกับธรรมชาติมาก เหมือนกับเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ลำพังแค่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก ก็ยากจะทำให้คนคิดเชื่อมโยงถึงคนใจทะเยอทะยานที่วางแผนให้เกิดความขัดแย้งภายในเขาเมืองมรกตทั้งยังยึดครองตำแหน่งเจ้าสำนักคนนั้น
เสวียนเฉิงจื่อเอ่ย “จิ้นอ๋องตายแล้ว แผนของพวกเราต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย น่าเสียดาย ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนแท้ๆ หากจิ้นอ๋องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของซ่งเหนือได้ เช่นนั้นของในวังประสานฟ้าก็เป็นของพวกเราแล้ว”
เต้าหลิงกล่าว “งานอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วแค่คิดทบทวนก็พอ ไม่จำเป็นต้องเสียใจภายหลัง”
เสวียนเฉิงจื่อเอ่ยตอบ “ศิษย์เข้าใจแล้ว แต่ว่าข้าได้ดำเนินแผนสำรองไปแล้วขอรับ คนฝ่ายจิ้นอ๋องบางคนต้อง ‘มนต์ดำประสานฟ้า’ สามารถใช้งานได้ทุกเวลา…ทว่า หลี่มู่มาปรากฏตัวที่ซ่งเหนือ ถึงอย่างไรก็เป็นจุดเปลี่ยน ตอนนี้เกรงว่าเขาคงถึงเมืองหลินอันแล้ว”
“หลี่มู่คนนี้ ทีแรกที่หุบผามรกตก็ช่วยเต้าเจินเอาไว้ ต่อมายังสังหารจิ้นอ๋องอีก เกรงว่าผู้มามีประสงค์ไม่ดี หรือว่าจะพุ่งเป้ามายังสำนักเมืองมรกตของเรา? เด็กคนนี้นับจากที่เข้ายุทธจักรมาก็ทำเรื่องเหนือความคาดหมายตลอด จำต้องป้องกันไว้” เต้าเจินคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ก่อนจะถาม “เขาหัวโคตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เสวียนเฉิงจื่อหมุนกายออกไป หลายอึดใจหลังจากนั้นจึงกลับมา กล่าวขึ้นด้วยใบหน้าตื่นตะลึง “รายงานท่านอาจารย์ วัดซ่อนมรรคาหายไปแล้ว ที่ที่วัดเคยตั้งอยู่ เขาเขียวทั้งลูก ตอนนี้เหลือเพียงแค่ระฆังสนิม ‘มรรควิถีธรรมชาติ’”
เมื่อครู่ที่เขาได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกตะลึงเป็นอย่างมาก
วัดเต๋าที่อยู่ดีๆ มีประวัติศาสตร์มากว่าพันปี บอกว่าหายไปแล้วก็จะหายไปเลยได้อย่างไร ไม่ใช่พังทลาย ไม่ใช่ย้ายที่ แต่เหมือนหายวับไปในอากาศ ร่องรอยแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่หลงเหลือเอาไว้ นี่ต่างหากคือสิ่งที่แปลก
ใครจะรู้ว่าเมื่อเต้าหลิงได้ยิน ใบหน้ากลับไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย “อืม นับเวลาดูก็ประมาณนี้ เพียงแต่หลักธรรมบนป้ายหินวัวดำเป็นศิษย์น้องเต้าฉินที่บรรลุ หรือว่าหลี่มู่เอาไปกัน?”
เขาเรียกเต้าฉินเจ้าอารามของวัดซ่อนมรรคาว่าศิษย์น้อง เพราะพวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันจริงๆ และเป็นถึงหนึ่งในลูกศิษย์ที่ติดตามปรมาจารย์นักพรตเต้าฉงหยาง
ความลับในอดีตพวกนี้ คนที่รู้มีไม่มากนัก
“น่าจะเป็นหลี่มู่ หลังจากที่เขาช่วยท่านหญิงหวนจูแล้วก็กลับไปเขาหัวโค” เสวียนเฉิงจื่อตอบ เขาไม่รู้จักป้ายหินวัวดำที่ว่านั่น แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ของเขา เหตุผลนั้นง่ายดายมาก หลี่มู่ปรากฏตัวที่เขาหัวโคก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ยากนักที่จะใช้คำว่าบังเอิญมาอธิบาย
เต้าหลิงพยักหน้า กล่าวว่า “วัดซ่อนมรรคาปิดผนึก เกรงว่าอีกไม่นานพวกศิษย์น้องเต้าฉินก็คงจะมาเขาถึงลอยฟ้าแล้ว เมื่อปีนั้นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มีไม่น้อยเลย แต่ละคนล้วนมีเรื่องที่เชี่ยวชาญ มีเพียงเต้าฉินเท่านั้นที่ธรรมดาไม่โดดเด่น ได้แต่อาศัยความขยัน และก็เพราะพรสวรรค์แต่เดิมของเขาไม่โดดเด่น แต่กลับมานะบากบั่น ท่านอาจารย์จึงเคยกล่าวเอาไว้ว่าความจริงคนแบบนี้ถึงจะน่ากลัวที่สุด ทุกวันล้วนขยันขันแข็ง ทุกชั่วขณะล้วนฝึกฝน” เต้าหลิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจหลายประโยค
จากนั้นเขาพูดขึ้นอีก “สามสี่วันนี้ข้าจะปิดด่านฝึกฝน ‘คัมภีร์ฝึกลมปราณผสานเป็นหนึ่ง’ ทะลวงขั้นที่สาม ทุกอย่างที่เขาลอยฟ้าเจ้าจงเป็นคนดูแล เตรียมรับการมาเยือนของท่านเซียน แต่หากข้ายังไม่ออกจากด่าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามรบกวนเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่?”
เสวียนเฉิงจื่อไม่ได้สนใจเรื่องกุมอำนาจเขาลอยฟ้าสักเท่าไหร่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วถาม “หากอาจารย์อาเต้าฉินมาต้องทำเช่นไร?”
เต้าหลิงแย้มยิ้มบาง “ฆ่าเสีย”
เมื่อครู่เขายังคิดถึงมิตรภาพศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ตอนนี้กลับไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย
มิตรภาพก็ส่วนมิตรภาพ การตัดสินใจเลือกก็ส่วนการตัดสินใจเลือก
เดินคนละสายสังหารทิ้ง มีเพียงเดินทางเดียวกันกับข้าเท่านั้นถึงจะรอด
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” เสวียนเฉิงจื่อหันกายเดินออกไป
ประตูตำหนักหินหมุนดังครึกๆ ปิดลงอย่างช้าๆ
เต้าหลิงมองร่างของเสวียนเฉิงจื่อค่อยๆ หายลับไปจากช่องประตูที่ปิดลง ใบหน้าฉายแววพึงพอใจ ถึงแม้เป็นศิษย์ที่รับเข้าสำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่กลับเป็นคนที่เขาพอใจมากที่สุด ที่สำคัญคือเสวียนเฉิงจื่อไม่สนใจตำแหน่งอำนาจเรื่องทางโลกพวกนี้สักนิด ในใจมีเพียงความคิดเดียวนั่นคือวิถียุทธ์ ใจมุ่งแต่ฝึกยุทธ์ ทำให้เต้าหลิงมองเห็นตัวเองในอดีตอยู่รางๆ
ประตูใหญ่ปิดสนิท
เต้าหลิงหลับตาลง เริ่มขับเคลื่อนวิชา ปิดด่านฝึกฝน
รอบกายของเขามีกลิ่นอายเต๋าเป็นสายๆ หมุนวนทันที ระหว่างที่หายใจ ลวดลายเต๋าแปลกประหลาดส่องกะพริบ กฎแห่งเต๋าเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่วิชาลับสูงสุดของสำนักเขาเมืองมรกตแต่อย่างใด และก็ไม่ใช่วิชาของโลกนี้เช่นกัน
ทว่าเป็นวิชาที่มาจากนอกพิภพ
……
ไกลออกไปจากเขาเมืองมรกตหมื่นลี้
อารามเต๋าเก่าแก่แห่งหนึ่งในหุบเขาลึก ห่างไกลผู้คน
“ศิษย์น้องเต้าหล่าน เจ้าจะไม่ไปเขาลอยฟ้าเพื่อล้างมลทินสำนักให้ท่านอาจารย์กับพวกเราจริงหรือ? เรื่องนี้เป็นหน้าที่พึงกระทำของเจ้านะ” เจ้าอารามวัดซ่อนมรรคาเต้าฉินมองไปทางนักพรตวัยกลางคนท่าทางมอมแมม เอ่ยอย่างจริงใจ
นักพรตวัยกลางคนสวมชุดนักพรตเต๋าเก่าๆ ขาดๆ คราบสกปรกเกาะแน่น สวมรองเท้าฟาง ลมพัดเผยให้เห็นขาข้างใหญ่ที่มีขนยุบยับ มือทั้งสองถือไก่สับขาวที่ทั้งใหญ่และนุ่มพลางกินอย่างตะกละตะกลาม มันไหลเยิ้มอยู่ที่มุมปาก ไม่มีภาพลักษณ์ที่นักพรตควรจะมีแม้แต่น้อย
ได้ยินดังนั้น นักพรตมอมแมมผู้นี้ก็พูดด้วยใบหน้าไม่สนใจ “รบราฆ่าฟันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราเหล่านักบวชควรยุ่งนี่ ล้างมลทินสำนักอะไรพวกนี้โหดเหี้ยมรุนแรงมากเกินไป มิสู้พวกเรามานั่งอาบแดดสวดมนต์ด้วยกัน ผ่านไปอีกไม่กี่ร้อยปีเดี๋ยวเจ้าคนทะเยอทะยานเต้าหลิงก็แก่ตายไปเองแล้ว หรือไม่ก็ผ่านไปอีกไม่กี่พันปี พวกเราล่วงหน้าไปรอมันที่ปรโลกก่อนก็เหมือนกันนั่นแหละ ถึงอย่างไรคนเราล้วนต้องตาย…”
“ท่านอาจารย์ถูกทำร้ายจนสิ้น” เต้าเจินเอ่ย
ในฐานะลูกศิษย์ปิดสำนักที่เต้าฉงหยางรับไว้คนสุดท้าย เมื่อก่อนเต้าเจินไม่เคยพบศิษย์พี่เต้าหล่านผู้นี้เช่นกัน ยามเขาเข้าสำนัก ศิษย์พี่ทั้งหลายอย่างศิษย์พี่เต้าฉินเต้าหล่านล้วนลงเขาไปสร้างสำนักเองหมดแล้ว
หลังจากมารวมตัวกับศิษย์พี่เต้าฉิน เขาถึงได้รู้ว่าที่แท้ในสำนักยังมีคนประหลาดเช่นนี้ด้วย
“ตามทฤษฎีแล้วเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ ตาแก่นั่นฉลาดเป็นกรดแต่ถูกคนวางแผนสังหาร? แต่ดูจากสีหน้าของพวกเจ้า ไม่นึกเลยว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง…อืม เต้าหลิงไอ้เจ้าโง่นั่นวางแผนลวงตาแก่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” เต้าหล่านเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ใบหน้าของเต้าเจินก็ฉายแววโกรธเคืองอย่างอดไม่ได้ เรียกอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้วเช่นนี้ ได้ยินข่าวการตายของอาจารย์ก็ทำท่าทางไม่ใส่ใจ หากอีกฝ่ายไม่ใช่ศิษย์พี่ตน ลำดับอาวุโสสูงกว่า เขาคงเอ่ยปากด่าไปแล้ว
เต้าฉินรีบดึงเต้าเจินเอาไว้
เต้าเจินเป็นศิษย์ที่เข้าสำนักคนสุดท้าย มีบางเรื่องที่ไม่รู้ แต่เต้าฉินนั้นกลับรู้ดี ความสัมพันธ์ของศิษย์น้องเต้าหล่านกับอาจารย์ค่อนข้างพิเศษ
หากบอกว่าลูกศิษย์คนอื่นของอาจารย์เคารพเลื่อมใสเขาเป็นที่สุด มองอาจารย์เป็นแบบอย่างตลอดชีพแล้วละก็ เช่นนั้นมีเพียงศิษย์น้องเต้าหล่านเท่านั้นที่มีความสัมพันธ์แบบทั้งอาจารย์ทั้งสหาย ค่อนข้างเสมอภาคกัน
ในอดีต เดิมอาจารย์มีความคิดจะฝากฝังสำนักเขาเมืองมรกตไว้กับเต้าหล่าน ใครจะรู้ หลังจากเต้าหล่านรู้เข้าก็ตกใจจนหน้าถอดสี คิดว่าอาจารย์กำลังทำร้ายเขา ทำให้เขาไม่อาจใช้ชีวิตอิสระตามที่ตนปรารถนา และประกาศไว้ว่าเขาจะเป็นผู้ชนะที่ดื่มเหล้าที่ร้อนแรงที่สุด กินอาหารที่เลิศรสที่สุด ขี่ม้าที่เร็วที่สุด ใช้กระบี่ที่เยี่ยมยอดที่สุด นอนกับสตรีที่งามที่สุด ว่าแล้วก็สะบัดก้นจากสำนักไป ผ่านไปสิบปีจึงจะกลับมา เมื่อกลับมาอีกครั้งศิษย์น้องเต้าหล่านที่งามสง่าในกาลก่อนก็กลายเป็นคนเกียจคร้านโกโรโกโส ขี้เกียจกว่าแต่ก่อนขึ้นไปอีก ไม่มีใจคิดจะพัฒนา ประดุจกระเรียนป่ารักอิสระ ไม่สนใจฝึกฝนวรยุทธ์ อาจารย์จึงได้แต่ยอมแพ้แล้วหาผู้สืบทอดคนใหม่
สิบปีที่ศิษย์น้องเต้าหล่านหายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เต้าฉินมั่นใจว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างแน่ ถึงได้ทำให้เต้าหล่านที่แม้จะขี้เกียจแต่ก็กระฉับกระเฉงและสนใจรูปลักษณ์กลายเป็นคนขี้เกียจเนื้อตัวมอมแมมอย่างแท้จริงได้
“ศิษย์น้อง ได้ยินมาว่าพานเถา[1]หลังเขาลอยฟ้าใกล้จะสุกแล้ว” เต้าฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ตาของเต้าหล่านลุกวาวทันที “จริงหรือ?”
เต้าฉินพยักหน้าอย่างจริงจังยิ่ง
เต้าหล่านเอ่ย “ท่านเป็นคนซื่อตรง ไม่มีทางหลอกข้าหรอก ท่านว่าสุกแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องสุกแล้วจริงๆ วะฮะฮ่า ยังรีรออะไรอีกเล่า พวกเราออกเดินทางไปเขาลอยฟ้า เชือดเจ้าชั่วเต้าหลิงนั่น ล้างแค้นให้อาจารย์กัน…จริงสิ พานเถาออกลูกมากี่ลูก ศิษย์พี่ท่านทราบหรือไม่?”
เต้าเจินจนคำพูด
เขาพลันรู้สึกว่าการมาหาศิษย์พี่เต้าหล่านผู้นี้ บางทีอาจจะเป็นข้อผิดพลาดก็ได้
เมื่อนึกถึงว่าอารามเต๋าในหุบเขาลึกแห่งนี้ นอกจากเต้าหล่านแล้วก็ไม่มีใครอีก กระท่อมพุพัง หญ้าขึ้นรกชัฏ อารามมีชื่อว่า ‘แค่อยากนอนหลับกินอิ่มอยู่คนเดียวอย่าได้กวนข้า ฟ้าถล่มดินทลายแล้วจะทำไม’ ที่ทั้งยาวและแปลก เต้าเจินก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาหาผิดคนแล้ว
ส่วนที่ว่าพานเถาที่หลังเขานั้นคืออะไร
เขาเหมือนจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่มีสิ่งหนึ่งสามารถยืนยันได้ นั่นก็คือเต้าหล่านเปลี่ยนสีหน้าทันควัน ท่าทางกระตือรือร้นอดใจรอไม่ไหว เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาโดยสมบูรณ์…พวกตนไปที่นั่นเพื่อล้างมลทินสำนักแทนอาจารย์ นั่นเขาจะไปชิงลูกท้อกระมัง?
แม้แต่อาจารย์ยังสู้ลูกท้อไม่ได้?
……
“หลี่มู่?”
“ไท่ไป๋อ๋องแห่งฉินตะวันตก!”
“เทวะรุ่นเยาว์”
เสียงแตกตื่นราวคลื่นน้ำดังไปทั่วเกาะขอทาน
เหล่ายอดฝีมือพรรคกระยาจกมองไปยังเด็กหนุ่มผมสั้นในชุดขอทานบนฟ้าคนนั้น สีหน้าฉายแววตื่นตกใจอย่างอดไม่ได้ บุคคลยอดเยี่ยมชื่อเสียงสะเทือนแผ่นดินมาปรากฏตัวในพรรคกระยาจกอย่างนั้นรึ?
‘หมัดเทวะร้อยลี้’ และ ‘เคลื่อนกายไร้เงา’ สองยอดผู้อาวุโสต่างมองหลี่มู่อย่างเหลือเชื่อ
ชื่อของไท่ไป๋อ๋อง ในเหล่าจอมยุทธ์ตอนนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้จัก?
ส่วนคนซื่อตรงอย่างหลู่ฉางฟู่ใบหน้ายิ่งอึ้งเข้าไปใหญ่…เขาพาไท่ไป๋อ๋องมายังเกาะขอทาน? นี่…ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจยิ่งนัก
……………………………………………………
[1] พานเถา คือลูกท้อชนิดหนึ่ง มีลักษณะแบน พีชโดนัทก็เรียก