จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 406 เนตรอัสนีม่วง
เนื่องจากพรรคกระยาจกต้องการปิดข่าว ศึกบนเกาะขอทานจึงไม่แพร่ออกไปเป็นวงกว้างนัก เชื้อพระวงศ์ซ่งเหนือรู้เรื่องภายใน แต่ก็ให้ความร่วมมือกับพรรคกระยาจกในการปิดข่าวนี้
ซ่งเหนือในปัจจุบันอยู่ในยุคที่เหตุบ้านการเมืองผันผวน ไม่ว่าพรรคกระยาจกหรือราชวงศ์ล้วนไม่อยากให้เรื่องเช่นนี้แพร่งพรายออกไป รู้กันเพียงภายในก็พอแล้ว
จวนปาเสียนอ๋องมีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง ราวกับสวนป่าก็มิปาน มีหอศาลาพักผ่อน รั้วสลักหยก ศาลาริมน้ำระเบียงล้อมรอบ สายธารไหลเอื่อย หอแบบโบราณ สิ่งปลูกสร้างงดงามเรียงรายปานเกล็ดปลา กลางสวนปลูกไม้ดอกหายากนานาพันธุ์ไว้ โดยมีค่ายกลดาราสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของดอกไม้ใบหญ้าพันธุ์แปลกจากทั่วจักรวรรดิ กลิ่นหอมดอกไม้ฟุ้งทั่วสวน
ในฐานะอ๋องที่ว่างงาน ปาเสียนอ๋องในช่วงสิบกว่ามาปีนี้ว่างอยู่บ้านเสียครึ่งหนึ่ง คอยปลูกดอกไม้ต้นไม้ เล่นกับปลาและแมลง มีเพียงช่วงที่จักรวรรดิซ่งเหนือเกิดเรื่องใหญ่ จักรพรรดิจึงจะเรียกเข้าพบเพื่อปรึกษากลยุทธ์จัดการบ้านเมือง
เห็นได้ว่า เขายังได้รับความเชื่อมั่นอย่างมากจากจักรพรรดิ
เพียงแต่ซ่งเหนือยามนี้ลมฝนกระหน่ำ อ๋องกบฏลุกฮือติดๆ กัน จำนวนครั้งที่ปาเสียนอ๋องเข้าวังเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน และค่อยๆ มากขึ้นทุกที โดยเฉพาะหลังจากกลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขาเข้าวังพบจักรพรรดิหนึ่งวันหนึ่งคืนจึงจะกลับมาจวนอ๋อง
“เทวะหลี่ยังอยู่หรือไม่?” ปาเสียนอ๋องไม่แสดงสีหน้า กลับมาถึงก็ถามขึ้น
หวางซืออวี่เข้าไปนวดไหล่ทุบหลังให้พ่อบุญธรรม ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พี่มู่กำลังปิดด่านฝึกวิชาอยู่ที่เรือนหลังเจ้าค่ะ ศึกที่เกาะขอทานเขาได้รับอะไรมาด้วย จึงต้องการทำความเข้าใจเงียบๆ ระยะหนึ่ง น่าจะประมาณครึ่งเดือนจึงจะออกมา”
ปาเสียนอ๋องผ่อนลมหายใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ศึกที่เกาะขอทาน ตอนพ่ออยู่วังหลวงก็ได้ยินมา เทวะหลี่เป็นอัจฉริยะสวรรค์สร้างจริงๆ นับตั้งแต่แสดงตัวครั้งแรกก็ยังไม่เคยแพ้ใคร ไม่น่าเชื่อเลย ปีนี้เขาอายุสิบห้าจริงหรือ คงไม่ใช่ร่างอวตารของเทพเซียนองค์ใดหรอกนะ?”
หวางซืออวี่หัวเราะคิกคักตอบกลับ “เรื่องนี้ ลูกรับรองได้ว่าไม่ใช่แน่นอน โอกาสวาสนาของเขาเหนือกว่าใคร บวกกับเป็นอัจฉริยบุคคลด้านยุทธ์ ดังนั้นจึงรุดหน้าก้าวทะยานเช่นนี้”
ปาเสียนอ๋องเอ่ย “ใช้คำว่าอัจฉริยบุคคลมาพรรณนาไม่ได้แล้ว บนโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขาดอัจฉริยบุคคลด้านยุทธ์ แต่คนที่เป็นเช่นเขาได้ อายุสิบห้าฝึกฝนจนถึงขั้นมหาเทวะ พูดได้เลยว่าแทบไม่มี”
หวางซืออวี่ตอบ “นี่ก็จริง”
เธออดทอดถอนใจไม่ได้ จากนั้นเล่าเรื่องที่ตัวอักษรบนป้ายหินหลังวัวดำในวัดซ่อนมรรคามีปฏิกิริยาตอบสนองกับหลี่มู่ให้ฟัง “ป้ายหินแผ่นนั้น หลายปีที่ผ่านมามีคนเคยเห็นตั้งมากมาย แต่มีเพียงแค่พี่มู่ถึงกระตุ้นความหมายที่แท้จริงในนั้นได้”
แต่ว่าเธอปิดบังเรื่องที่เต้าเต๋อจิงถูกประพันธ์โดยปรัชญาเมธีดาวโลกเอาไว้ เพราะหลี่มู่เคยบอกไว้แล้ว ตัวตนของคนจากดาวโลก อยู่บนโลกนี้อาจเป็นตัวแทนของอันตรายก็เป็นได้
“โอ้? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ปาเสียนอ๋องตาเป็นประกาย
เรื่องป้ายหินหลังวัวดำและวัดซ่อนมรรคา เขารู้เยอะกว่าที่หวางซืออวี่รู้มาก เรื่องนี้เกี่ยวกับความลับบางอย่างของราชวงศ์ซ่งเหนือ ในนั้นมีตำนานบางส่วนกล่าวไว้ เมื่อความลับบนป้ายหินหลังวัวดำถูกไขจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
ราชวงศ์ซ่งเหนือเคยให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
แต่ต่อมา พันปีผ่านไป ไม่มีใครไขแก่นแท้ของมันได้ คนบางส่วนในราชวงศ์รู้สึกว่าอาจเป็นเพียงข่าวลือ จึงค่อยๆ ลดการให้ความสำคัญกับมันลง ไม่คิดว่า…คำทำนายจากตำนานนี้จะประทับลงบนตัวของหลี่มู่แล้ว
“จริงด้วย พ่อเพิ่งนึกเรื่องบางเรื่องออก ต้องเข้าวังอีกครั้งแล้ว”
เขาลุกขึ้น ไม่สนใจใคร ออกไปสั่งคนให้จัดเตรียมรถม้าและเดินทางไปที่วังหลวงอีกครั้ง
สีหน้าหวางซืออวี่ฉงนฉงาย
พ่อบุญธรรมเพิ่งออกมาจากในวังเอง
“โฮ่ง พี่สาวคนสวย พวกเรามาเล่นเก็บบอลอีกเถอะ” เจ้าฮัสกี้คาบศีรษะของเหลียงจื้อร่างมารเข้ามาอีกครั้ง
ช่วงนี้มันสนอกสนใจศีรษะนี้มาก การละเล่นเก็บศีรษะ อ๊ะ ไม่สิ การเก็บลูกขนนี้สนุกจนไม่เหนื่อยเลย
เหลียงจื้อร่างมารถูกทรมานจนสติแตกไปแล้ว เมื่อเห็นเจ้าฮัสกี้ ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มสอพลอ ไม่เหลือความโอหังของศิษย์สำนักทะเลโลหิตแห่งห้วงดาราสมุทรที่ฝึกฝน ‘เนตรโลหิต’ จนสำเร็จเลย
“ได้สิ” หวางซืออวี่ก็ยินดียิ่ง
ในฐานะเพื่อนเก่าสมัยอยู่ดาวโลก หนึ่งคนหนึ่งสุนัขรู้ใจกันมาก หวางซืออวี่สั่งให้คนในจวนอ๋องทำคันธนูขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งคันเพื่อเอาไว้ดีดศีรษะ…อ้อ ไม่สิ ดีดลูกขน
องครักษ์ขั้นปรมาจารย์สิบกว่าคนง้างคันธนู หวางซืออวี่วางศีรษะของเหลียงจื้อลงไป จากนั้นเลือกทิศทางแล้วเริ่มยิง
ในเรือนแยกหลังหนึ่งของจวนอ๋อง
หมิงเยวี่ยเท้าเปล่า นั่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่ายอยู่คนเดียวบนหลังคา เท้าเล็กๆ ของเด็กสาวขาวเนียนนุ่ม แกว่งเตะไปมาอยู่กลางอากาศ
นางเป็นคนนิสัยชอบขยับตัว ชอบวิ่งไปแล่นมาเป็นที่สุด โดยเฉพาะในเมืองหลินอันของจักรวรรดิซ่งเหนือ ดอกไม้เบ่งบานละลานตา นางอยากออกไปโลดแล่นในเมืองแทบอดใจไม่อยู่….
ทว่า ชิงเฟิงยังเก็บตัวอยู่ในห้องข้างล่าง บอกว่าจะหลอมบางอย่าง
หมิงเยวี่ยจึงต้องอยู่ที่นี่เพื่อปกป้อง
“ข้าพูดไว้แล้ว จากนี้ไปจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ให้เจ้าได้รับบาดเจ็บใดๆ อีก ข้าหมิงเยวี่ยที่เป็นถึงประมุขพรรคอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือ พูดแล้วไม่คืนคำ”
นางนั่งเท้าคาง มองเมฆขาวบนฟ้า มุมปากอดยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้
นางจะปกป้องชิงเฟิง
เพราะก่อนที่คุณชายจะมียศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งสามคนร่อนเร่พเนจร มักอดมื้อกินมื้ออยู่บ่อยๆ มีแค่ชิงเฟิงคนเดียวที่ออกไปขอทาน ขายงานฝีมือ ช่วยคนเขียนหนังสือ รับใช้ซื้อของ กระทั่งไปแบกหามเพื่อหาเงินมาเลี้ยงนางกับคุณชาย
ในตอนนั้น เป็นชิงเฟิงที่ปกป้องคนโง่ทึ่มดื้อรั้นอย่างนางไว้
ตอนนี้ นางควรยืนหยัดบ้างได้แล้ว
‘ข้ารู้ความแล้ว’
หมิงเยวี่ยพูดกับตัวเองในใจเช่นนี้
……
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สิบวันต่อมา
ในห้องลับ รอบกายหลี่มู่มีพลังจักรพรรดิไฟแดนใต้และจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกหมุนวน หนึ่งเขียวหนึ่งแดง พันรัดกันอย่างงดงาม ส่องสะท้อนใบหน้าของเขาจนเห็นเหลี่ยมมุมชัดเจน
วิชาก่อนกำเนิดฝึกฝนปราณแท้ มีปัจจัยโดดเด่นเป็นพิเศษ เหนือกว่าวิชาลับกลเทพใดๆ บนโลกนี้
ผ่านไปสิบวัน หลี่มู่ทะลวงขั้นที่สามของวิชาก่อนกำเนิดอยู่ตลอด
ห่างจากตอนสำเร็จขั้นที่สองมาระยะหนึ่งแล้ว การฝึกฝนวิชาก่อนกำเนิด เขาฝึกอย่างยากลำบากไม่เคยหยุด แต่กลับข้ามขั้นได้ช้ากว่าที่คิดเอาไว้ ทว่าครั้งนี้ ในศึกใหญ่กับสองปีศาจร้ายนอกพิภพ หลี่มู่เปิดใช้เนตรสวรรค์ช่วยต่อสู้ สุดท้ายได้รับอะไรมามากมาย
ไม่กี่วันมานี้ เขามุ่งขัดเกลาพลังจิตวิญญาณตลอด ฝึกฝนทะเลความรู้สึกของตนเอง ในจุดหนีหวานกง พลังจิตวิญญาณในทะเลความรู้สึกโหมซัดสาด ราวกับเสียงเต๋าดังเลื่อนลั่น
ฉับพลันนั้น เนตรสวรรค์กลางหน้าผากของหลี่มู่เปิดออกเอง
เนตรสวรรค์เดิมทีเป็นเพียงรอยแยกหนึ่ง ด้านในไม่มีดวงตาอะไร แต่ในพริบตานี้ นัยน์ตาสีม่วงอ่อนดวงหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ ประดุจหลุมเมฆดารากำลังหมุนวน แสงสีม่วงอ่อนบิดม้วนจนเหมือนตาน้ำพุ ท้ายที่สุด ดวงตางามสีม่วงอ่อนดวงหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นมา
และชั่วเวลานี้เอง หลี่มู่ลืมตาของตัวเองขึ้นด้วย
“วิชาก่อนกำเนิดขั้นสาม…”
เข้าสู่วิชาก่อนกำเนิดขั้นที่สาม ความเร็วในการหลอมปราณแท้เพิ่มมากขึ้น เส้นทางการโคจรของปราณแท้ในร่างก็มากขึ้น ต่อจากนี้การฝึกทุกหนึ่งชั่วยามจะเท่ากับการฝึกสิบชั่วยามของเมื่อก่อน ทั้งยังสามารถหล่อเลี้ยงกายเนื้อได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น เนื่องจากเมื่อในร่างมีเส้นโคจรปราณแท้เพิ่มขึ้นในทุกๆ สาย การบำรุงกายเนื้อจะทำได้สมบูรณ์แบบกว่าเดิม
การหลอมฝึกปราณแท้และกายเนื้อล้วนมีส่วนช่วยเสริมกันและกัน
เรียกว่าหยางอย่างเดียวไม่เกิด หยินอย่างเดียวไม่ยืนยาว บนโลกใบนี้ วิชาลับกลเทพส่วนมากที่ฝึกฝนเพียงกายเนื้อหรือฝึกฝนปราณแท้อย่างเดียว ก็เป็นได้เพียงวิชาไม่ชอบธรรมในโลกวิถียุทธ์แห่งทางช้างเผือก
วิชาก่อนกำเนิดเป็นวิชาที่ใช้ช่วยฝึกภายใน สามารถเพิ่มพูนพลังจิตวิญญาณ
หลังจากเข้าสู่ขั้นที่สาม หลี่มู่รู้สึกแต่ว่าความรู้ซึ้งในหลักธรรรมที่ลึกลับยิ่งอย่างหนึ่ง เหมือนมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ได้ปรากฏขึ้นในความคิดของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นตอนบรรลุวิชาก่อนกำเนิดขั้นที่หนึ่งและสอง
“เนตรอัสนีม่วง!”
นี่คือแก่นแท้ที่แฝงอยู่ในวิชาก่อนกำเนิดขั้นที่สาม
ครั้นเนตรสวรรค์เปิดออก มีสายฟ้าสีม่วงเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาทันที ดวงตาดุจกระแสวน พลังในการมองทะลุและวินิจฉัยล่วงหน้าที่เคยมีก็ยังคงอยู่ เมื่อกระแสวนเนตรม่วงหมุนเร็วขึ้น เพียงครู่เดียวก็มีสายฟ้าเทพสีม่วงพุ่งปะทุออกมาจากเนตรสวรรค์
“แย่ละ…” หลี่มู่ตกใจ เงยหน้าขึ้นมอง หลังคาของห้องลับกับค่ายกลหลายชั้นถูกเจาะทะลุในพริบตา อัสนีสีม่วงพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
พลานุภาพน่ากลัวนัก
เมื่อครู่ถ้าหากมองไปตรงๆ น่ากลัวว่าเสาแสงอัสนีเทพสีม่วงต้นนี้คงทำจวนปาเสียนอ๋องละลายไปหมดได้แน่
เขารีบเก็บจิต ปิดเนตรสวรรค์ ค่อยๆ ทำความเข้าใจพลานุภาพของมัน และทำความคุ้นเคยกับการควบคุม
……
“อะไรนะ? ความลับบนป้ายศิลาหลังวัวดำ หลี่มู่ได้รับไปแล้วหรือ?”
ในวังหลวงซ่งเหนือ จักรพรรดิซ่งเหนือเอ่ยขึ้นอย่างตกใจสุดขีด
ปาเสียนอ๋องรายงาน “กระหม่อมก็เพิ่งทราบ หลี่มู่มีพลังขั้นมหาเทวะ ไขความลับของป้ายหินวัวดำในตำนานได้น่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก ฝ่าบาท เรื่องนี้คงต้องค่อยๆ หารือกันเสียแล้ว”
จักรพรรดิซ่งเหนือพยักหน้า
เขาคือชายคนหนึ่งที่มีใบหน้างดงาม ขึ้นรับตำแหน่งจักรพรรดิได้ไม่ถึงสิบปีเท่านั้น ปีนี้เพิ่งจะอายุสามสิบ ว่ากันตามโลกนี้ก็ยังเป็นคนรุ่นหนุ่มอยู่ แต่ว่าหางตาเกิดริ้วรอย จอมผมเริ่มปรากฏสีเงิน มีแนวโน้มไปทางแก่ชราบ้างแล้ว สาเหตุที่แท้จริงคือช่วงหลายปีมานี้กำลังของจักรวรรดิซ่งเหนือถดถอย บรรดาเจ้าผู้ครองแคว้นหน้าไหว้หลังหลอก การปกครองภายในดูแลได้ไม่ทั่วถึง จักรพรรดิอย่างเขาต้องทุ่มแรงกายแรงใจอยู่ตลอด ใช้สมองความคิดเกินขีดจำกัด
“วาสนาบนป้ายหินวัวดำเกี่ยวข้องกับโบราณวัตถุยุคก่อนประวัติศาสตร์เหล่านั้น ในเมื่อหลี่มู่ได้รับหนึ่งในนั้นไปแล้ว ก้าวต่อไปเขาจะต้องมาสำรวจที่วังประสานฟ้าแน่” จักรพรรดิซ่งเหนือกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
ปาเสียนอ๋องพยักหน้า “ต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
จักรพรรดิซ่งเหนือเอ่ย “เจ้าเอาลัญจกรของข้าไปมอบให้หลี่มู่ ของด้านในวังประสานฟ้า เขานำไปได้เท่าไรก็นำไปเท่านั้น ข้าจะไม่ขัดขวางใดๆ”
“ฝะ…ฝ่าบาท โปรดคิดทบทวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรสิ่งของในนั้นก็…” ปาเสียนอ๋องเอ่ยขึ้นอย่างเกินคาด
จักรพรรดิซ่งเหนือบอก “ของข้างในวังประสานฟ้าทั้งหมดเป็นสิ่งของในนามราชวงศ์ข้า แต่แท้จริงแล้วพวกเราก็ครอบครองมันไม่ได้ หากหลี่มู่นำไปได้ก็ให้เขานำไป วัตถุโบราณที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่อันตรายส่วนหนึ่ง หากแลกกับความซาบซึ้งจากมหาเทวะคนหนึ่ง มันก็คุ้มนัก”
ปาเสียนอ๋องคิดๆ ดูแล้ว ก็เห็นด้วยเช่นกัน
จักรพรรดิซ่งเหนือเอ่ยอีก “หลี่มู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ชั้นเยี่ยม เป็นมหาเทวะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตอนนี้เป็นราวไฟปะทะน้ำกับฉินตะวันตก แต่สำหรับซ่งเหนือเรา กลับเหมือนได้จุดธูปสาบานรักเพราะท่านหญิงหวนจู ท่านอาแปด รบกวนท่านแล้ว ถ้าดึงเขาให้อยู่คุ้มครองซ่งเหนือเราได้ ก็จะเป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของซ่งเหนือทีเดียว”
“กระหม่อมก็นึกขึ้นได้ หลายวันนี้หลี่มู่ยังพำนักอยู่ในจวนกระหม่อม กระหม่อมจะพยายามให้ถึงที่สุด” ปาเสียนอ๋องเอ่ยตอบ
จักรพรรดิซ่งเหนือกล่าว “หากมีจังหวะเหมาะ ข้าก็อยากจะไปพบเขาบ้าง”
……………………………………….