จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 408 เรื่องประหลาด
สถานการณ์กระอักกระอ่วนขึ้นทันที
ศิษย์พรรคจันทราโลหิตรวมถึงคนสนิทอ้วนผอมตัวสั่นเบาๆ ต่างมองไปยังจอมมารจันทราโลหิต
จอมมารจันทราโลหิตตอบ “ตอบเทวะ ใต้เท้าทั้งสองถูกศัตรูแข็งแกร่งของที่นี่สังหารแล้ว ข้าใช้พลังมหาศาลให้ความร่วมมือกับใต้เท้าทั้งสอง แต่ก็ไร้ประโยชน์ ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป”
“หืม? ในโลกใบนี้มีคนที่สังหารเพลิงทมิฬกับเนตรโลหิตพร้อมกันได้?” ชายผมยาวสีเลือดตกใจเล็กน้อย
ผมของเขาขยับเลื้อยดุจงูโลหิต หากมองให้ละเอียดจะพบว่าผมทุกเส้นมีแสงอักขระส่องกะพริบ อีกทั้งใต้ผิวก็มีอักขระเลือดเป็นชั้นๆ หมุนวนอย่างเป็นธรรมชาติ
“มันชื่อหลี่มู่ ฝึกฝนเพียงสองปี จากคนธรรมดาก็ไปถึงขั้นมหาเทวะ ทั้งยังอายุน้อยมากด้วย แค่สิบห้าปีเท่านั้น” จอมมารจันทราโลหิตพูดพลางยื่นหยกเลือดชิ้นหนึ่งไป ในนั้นมีฉากการต่อสู้ที่เกาะขอทานวันนั้นอยู่ แล้วเอ่ยเสริม “วันนั้นข้าน้อยไม่ได้ลงมือช่วยเหลือเพราะไร้ประโยชน์ หากข้าน้อยพลาดพลั้งในเงื้อมมือหลี่มู่ ก็จะไม่มีคนจัดการค่ายกลทะเลเลือดที่นี่ การมาเยือนของเทวะก็จะเลื่อนออกไปอีกไกล”
“อืม เจ้าทำถูกแล้ว” เทวะเสียไห่พยักหน้า
เขาดูภาพในหยกเลือดจบก็เอ่ยคล้ายครุ่นคิด “ดาวดวงนี้ถึงจะอ่อนแอ แต่อย่างไรก็เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมยุทธ์ มีคนหลุดพ้นจากพันธนาการฟ้าดิน และยังเป็นดินแดนแห่งโชคชะตา บุตรแห่งโชคชะตาจะปรากฏ คนที่เจ้าว่าน่าจะเป็นบุตรแห่งโชคชะตาของดาวดวงนี้ บุคคลเช่นนี้ดวงแข็ง ชะตาสวรรค์ส่งเสริม เป็นคนที่สวรรค์เลือก อายุยังน้อยมีพลังฝึกเช่นนี้ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก”
จอมมารจันทราโลหิตเอ่ย “ท่านเทวะปราดเปรื่อง ชี้ถูกจุดสำคัญ”
เทวะเสียไห่ถามอีก “เรื่องที่ให้คนไปสืบก่อนหน้านี้ได้ความว่าอย่างไร? หาเบาะแสของสมบัติหายากนั่นเจอแล้วหรือยัง?”
จอมมารจันทราโลหิตตอบ “สืบทราบแล้ว อยู่ในวังประสานฟ้า เมืองหลวงของซ่งเหนือ”
“วังประสานฟ้า? ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว” เทวะเสียไห่ขมวดคิ้วน้อยๆ “เกรงว่าคนของวังประสานฟ้าจะมาถึงในเร็วๆ นี้”
ทะเลโลหิต วังประสานฟ้า ล้วนแต่เป็นขั้วอำนาจในห้วงดาราสมุทรทั้งสิ้น
……
วังประสานฟ้า
ควันธูปลอยอ้อยอิ่ง เสียงระฆังดังขับขานไม่หยุด
กลุ่มสิ่งก่อสร้างศิลาขาวที่สถาปัตยกรรมต่างไปจากรูปแบบของซ่งเหนืออย่างสิ้นเชิงกินพื้นที่ร้อยกว่าหมู่ เรียบง่ายโบราณและน่าเกรงขาม เสียงระฆังดังขึ้นเอง ในหมู่สิ่งก่อสร้างมหึมาไม่มีเงาคนแม้แต่คนเดียว เวิ้งว้างราวเมืองร้าง
กำแพงเมืองสีขาวล้อมทั้งวังประสานฟ้าเอาไว้
นอกกำแพงวัง กองทหารของซ่งเหนือล้อมไว้อย่างแน่นหนา
พลังแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนปกคลุมวังประสานฟ้าขนาดร้อยหมู่นี้เอาไว้
เวลาผ่านมาเนิ่นนาน ประชาชนและขุนนางของซ่งเหนือต่างเคยชินกับสภาพลึกลับเช่นนี้ของวังประสานฟ้าแล้ว ทั้งสงบเงียบ เวิ้งว้างเหมือนเมืองผี
แต่วันนี้ต่างออกไปเล็กน้อย
กลิ่นอายบรรยากาศที่กดดันเป็นที่สุดแผ่ออกมาจากวังประสานฟ้าไม่หยุด ยอดฝีมือทหารรักษาวังที่ยืนอยู่นอกกำแพงต่างสัมผัสได้ ประหนึ่งมีฝ่ามือไร้รูปร่างบีบคอตัวเองไว้ รู้สึกคล้ายหายใจไม่ออก
ความรู้สึกประหลาดเช่นนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนสุดท้าย เหล่าทหารกองกำลังรักษาวังค่อนข้างยากจะทนไหว
ทันใดนั้น มีเสียงดังสนั่น เสาแสงสีเงินพุ่งจากฟ้าลงมายังวังประสานฟ้า พื้นดินสั่นไหว ทั้งเมืองหลินอันสั่นสะเทือนปานเกิดแผ่นดินไหว คลื่นโจมตีที่ไร้รูปร่างหอบม้วนฝุ่นธุลีขึ้นมา ก่อนแผ่รัศมีจากวังประสานฟ้าไปทั่วทุกทิศ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“นี่…เป็นพลังของค่ายกลรึ”
“คงไม่ใช่ว่ามีเทพเซียนมาเยือนหรอกกระมัง?”
ทหารรักษาวังตื่นตกใจ ถกเถียงกันต่างๆ นานา พันปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น
ไม่นานนักก็มีคำสั่งทหารจากระดับบนลงมา ให้ทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตนดังเดิม อย่าได้แพร่งพราย ปิดข่าวให้เงียบ เหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ กลางตำหนักใหญ่วังประสานฟ้า ชายหนุ่มหน้าตางดงามร่างกายเปล่าเปลือยคนหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ ในเสาแสงสีเงิน
“พันปีแล้ว ในที่สุดก็มาเยือนดาวดวงนี้ได้เสียที ตราสะกดที่นักโทษหลบหนีพวกนั้นทิ้งไว้ตอนนั้นค่อยๆ คลายลงแล้ว ของที่เป็นของวังประสานฟ้า ถึงเวลาเอากลับคืน”
ชายหนุ่มผมสีเงินดุจน้ำตกหิมะ ยาวสยายไปด้านหลัง รูปร่างแข็งแกร่งงดงาม กล้ามเนื้อทั่วร่างชัดเจน เต็มไปด้วยกำลังและความงาม เรือนร่างได้สัดส่วนทองคำ ทุกส่วนราวกับความรักอันสมบูรณ์แบบของเทพผู้สร้าง
ใบหน้าเขาประดับยิ้มเย็นชาทั้งยังเหี้ยมโหด
แสงเงินกะพริบวาบ
ร่างเปลือยเปล่าของเขามาปรากฏบนหลังคาวังประสานฟ้า ก้มมองเมืองหลินอันที่อยู่รอบๆ ดุจเทพผู้สูงส่งกำลังมองสัตว์เลี้ยงในทุ่งเลี้ยงสัตว์
“ฝืนทำลายตราสะกดลงมาเยือน ลดแก่นเลือดพลังปราณของข้าไปมากนัก ไม่สู้เสริมพลังสักหน่อย…อืม มาเถอะ” เขาปรายตามอง อักขระอภินิหารปรากฏ มิติแห่งหนึ่งเสมือนตัดลงมาจากความว่างเปล่า ดูดทหารรักษาวังที่เฝ้าอยู่ด้านนอกทั้งหมดเข้ามาทันที
“อ๊าก...ช่วยด้วย”
“ไม่…”
“นี่มันปีศาจมารอะไร?”
ท่ามกลางเสียงร้องน่าสังเวช ทหารรักษาวังเรือนหมื่นซึ่งมีผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ไม่น้อยถูกพลังแห่งเต๋าที่ไร้รูปร่างบีบรัด กลายเป็นกองเลือดเศษกระดูกกลางอากาศ สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นทางเลือดยาวเหยียดสายหนึ่งไหลเข้าไปในปากของเขา
บนร่างของชายผมเงิน อักขระเพียงกะพริบ อาภรณ์ก็ปรากฏขึ้นปกปิดร่างเปลือย มุมปากเขาเปรอะเลือด แลบลิ้นเลียก่อนจะเอ่ย “สิ่งมีชีวิตในโลกชั้นต่ำช่างเล็กจ้อยต้อยต่ำ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน พลังที่แฝงอยู่ในเลือดน้อยเหลือเกิน ยังต้องกินอีกเยอะนัก…ไหนดูสิ ยังมีสิ่งมีชีวิตที่เลือดแฝงพลังสูงที่ไหนอีกหรือไม่?”
แสงในดวงตาเขาหมุนวน เริ่มมองสำรวจ
“มีสัตว์ที่แข็งแกร่งอยู่บ้าง ล่าได้แล้ว”
เขายิ้มเอ่ย
……
หลังจากนั้นสิบวัน
“เอ๋?”
หลี่มู่เดินออกมาจากห้องลับ ก็สัมผัสได้ว่าพลังฟ้าดินในเมืองหลินอันปั่นป่วน ต่างไปจากก่อนที่ตนจะปิดด่านเล็กน้อย แต่ต่างออกไปตรงไหนก็บอกได้ยากนัก
เกิดอะไรขึ้น?
ก่อนนี้ยามเขาปิดด่านฝึกฝนจะใช้ค่ายกลปิดกั้นทุกสิ่งรอบๆ จมดิ่งลงไปทั้งกายใจ ดังนั้นจึงสัมผัสไม่ได้ ตอนนี้ถึงจะสัมผัสได้รางๆ
หรือจะเข้าช่วงแผ่นดินเกิดจิตสังหารแล้วจริงๆ?
เขาตกใจเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ไม่กลัวแล้ว
ฝึกฝนหมัดเซียน ‘พันคลื่นวารี’ สำเร็จ เขามั่นใจที่จะสู้ตัวต่อตัวกับใครก็ตามในโลกนี้
“เทวะหลี่ ในที่สุดก็ออกจากด่านแล้วหรือ?” ปาเสียนอ๋องได้ยินข่าวก็มาหา เอ่ยอย่างดีใจเป็นล้นพ้น
“ท่านอ๋อง” หลี่มู่ทักทาย “หรือท่านกำลังรอข้าออกมา? มีเรื่องด่วนอะไรหรือ”
ปาเสียนอ๋องตอบ “มีสองสามเรื่อง เชิญมาที่โถงหลักเพื่อพูดคุยเถิด”
หลังจากนั้นสักครู่
ในห้องโถงหลักจวนอ๋อง สาวใช้ยกชามามอบให้
“ท่านอ๋องมีธุระอันใดกันแน่” หลี่มู่ถาม
สีหน้าปาเสียนอ๋องฉายแววรู้สึกผิด “สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของเทวะหลี่หายไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน หาทั่วทั้งเมืองหลินอันก็หาไม่เจอ รวมทั้งศีรษะที่ยังมีชีวิตนั่นอีก...”
อ้อ?
หลี่มู่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนบอก “ไม่เป็นไร ช้าเร็วอย่างไรก็กลับมา”
เขาแขวนป้ายหยกไว้ที่คอของเจ้าฮัสกี้ ยังมีข่าวคราว ตอนนี้สัมผัสได้รางๆ ว่าสุนัขโง่ตัวนี้ยังอยู่ในเมืองหลินอัน อีกทั้งยังปกติดี ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล
ปาเสียนอ๋องโล่งอก เอ่ยขึ้นอีกว่า “ฝ่าบาทอยากพบท่าน ไม่ทราบว่าเทวะหลี่มีเวลาหรือไม่?”
หลี่มู่เดาได้คร่าวๆ ว่าจักรพรรดิซ่งเหนืออยากพบเขาตอนนี้เพื่ออะไร แต่ตัวเขามาจากนอกพิภพ แค่อาศัยเรื่องทางโลกของที่นี่ฝึกฝนกายใจ ฝึกฝนวิชาเท่านั้น ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับการชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์ เมื่อก่อนตอนอยู่ฉินตะวันตกนี้เป็นเช่นนี้ ยามนี้ซ่งเหนือก็เช่นกัน จักรพรรดิซ่งเหนือคิดจะอาศัยพลังของตนกวาดล้างกบฏ ล้อมสังหารคนทรยศ ทว่าคิดมากไปแล้ว
หลี่มู่ส่ายหน้า ตอบไปว่า “เกรงว่าจะไม่มีเวลา”
นี่เท่ากับปฏิเสธอ้อมๆ แล้ว
มีเพียงฐานะตำแหน่งเช่นเขาในตอนนี้เท่านั้น ถึงจะปฏิเสธการเรียกเข้าเฝ้าของจักรพรรดิองค์หนึ่งได้อย่างเฉยชาเช่นนี้
ปาเสียนอ๋องฟังแล้วค่อนข้างผิดหวัง
ทว่าเขาเป็นคนมีวุฒิภาวะทางอารมณ์และปัญญาสูงมาก และก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะคุยสำเร็จในทีเดียว ไม่อาจใจร้อนให้สำเร็จได้ จึงหัวเราะแล้วปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
“ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?” หลี่มู่เปลี่ยนหัวข้อ
ปาเสียนอ๋องตอบ “เรื่องประหลาด…” เขาขมวดคิ้วนึกดู “มีเรื่องประหลาดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ เมื่อครึ่งเดือนก่อนมีคนในเมืองหายตัวไป อีกทั้งจำนวนยังมากมายนัก เดี๋ยวๆ ก็หลายหมื่นหลายแสนคน หายไปจากถนนทั้งเส้นกะทันหัน มีชีวิตอยู่ไม่เจอ ตายไม่พบศพ หน่วยรักษาความสงบของเมืองตรวจสอบแล้ว ได้ข้อสรุปว่าเป็นฝีมือปีศาจแก่กล้าลงมือในเมือง พรรคกระยาจกก็ช่วยตรวจสอบด้วย…”
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดอะไร พยักหน้าก่อนกล่าว “ยังมีอีกหรือไม่?”
ปาเสียนอ๋องครุ่นคิด แล้วเอ่ย “ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งขั้นเหนือมนุษย์ในเมืองลดลงไปเยอะมาก เหมือนหายตัวไปอย่างไรอย่างนั้น ในนั้นรวมถึงขั้นเหนือมนุษย์กลุ่มก้งเฟิ่งของราชวงศ์ยี่ยิบกว่าคน แต่น่าจะจากไปเองมากกว่า” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าท่านอ๋องชราก็เผยยิ้มขื่น
ราชวงศ์ซ่งเหนือเกิดลมฝนกระหน่ำ กบฏล้มจักรพรรดิใกล้จะโจมตีเมืองหลินอันแล้ว เหล่าขั้นเหนือมนุษย์น่าจะตัดสินใจเลือกหนีไป ไม่ยินดีตายไปพร้อมกับเชื้อพระวงศ์
หลี่มู่พยักหน้า
เขาถามขึ้นอีก “ตอนนี้สถานการณ์ในฉินตะวันตกเป็นอย่างไร?”
ปาเสียนอ๋องตอบ “จากข้อมูลที่หน่วยเนตรสวรรค์ได้มา กองทัพฉินตะวันตกกำลังโจมตีต้าเยวี่ยสุดกำลัง กอบกู้ด่านชายแดนสิบเมืองเก้าพื้นที่มาได้แล้วกว่าครึ่ง รัชทายาทต้าเยวี่ยนำทัพต้าน ลำบากยิ่งนัก อีกไม่นานเท่าไหร่พวกต้าเยวี่ยที่หลงเหลือน่าจะจบสิ้นแล้ว”
หลี่มู่ได้ยินแล้ว ในใจก็ทอดถอนใจ
นี่เป็นเรื่องที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว
นับจากที่จักรพรรดิฉินหมิงปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ พัดกวาดหมอกอึมครึมของฉินตะวันตกไป สถานการณ์จักรวรรดิก็พลิกผัน เจิ้นซีอ๋องและรัชทายาทต้าเยวี่ยอยู่ไม่เป็นสุขอีก จักรพรรดิที่แข็งแกร่งปานนี้ จะต้องโจมตีไปทุกทิศ กบฏในฉินตะวันตกต้องพ่ายแพ้ล้มตาย และอีกไม่นาน เกรงว่าซ่งเหนือที่เกิดความวุ่นวายภายในติดต่อกันก็จะกลายเป็นผู้ศิโรราบภายใต้การรุกรานจากฉินตะวันตกเช่นกัน
คำสัญญาในอดีตของเขาที่ว่า หากรัชทายาทต้าเยวี่ยลำบากเขาจะลงมือช่วยแน่นอน
เกรงว่าวันนั้นคงอีกไม่ไกลแล้ว
ขณะที่กำลังขบคิด จู่ๆ หลี่มู่เปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายแห่งเต๋าที่ปั่นป่วนทรงพลังเป็นที่สุด ประดุจเทพมารชั้นยอด กำลังตรงมาที่จวนปาเสียนอ๋อง และคนที่เป็นเป้าหมายก็คือตนเอง
แข็งแกร่งกว่าปีศาจเพลิงดำอีก?
…………………………………………………