จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 409 ไล่ล่าสังหาร
หลี่มู่ลุกพรวดขึ้นมา สาวก้าวยาวเดินไปที่ประตูโถงใหญ่
เขาเปิดเนตรสวรรค์ มองเห็นแสงเงินเส้นหนึ่งพุ่งตรงมายังจวนปาเสียนอ๋อง แฝงไว้ด้วยพลังแห่งการขัดเกลาเต๋าอันยิ่งใหญ่ ราวกับจะตัดความว่างเปล่าผืนนี้ทั้งหมดออกไปจากโลก ด้านในมีจิตสังหารมากล้น
“ใครกัน?”
เนตรสวรรค์ของหลี่มู่เกิดกระแสวนอัสนี แสงอัสนีสีม่วงสายหนึ่งพุ่งปะทุตรงไปยังแสงเงินนั้น
กลางอากาศ พลังแห่งวิถีฟ้าหมุนวน
“หือ สหายคนใดกัน?” ลำแสงสีเงินขยับวิบวับ เสียงโหดเหี้ยมเย็นชาดังขึ้นมา ท่าทางตกใจเป็นอย่างมาก
หลี่มู่ไม่พูดอะไร
กระแสวนอัสนีเทพเมฆาม่วงในเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เสมือนเมฆดาราเคลื่อนไหว ก่อนที่อัสนีเทพอีกสายจะพุ่งออกไป
“เวทอัสนี? หรือว่าจะเป็นสหายจากวิหารอัสนี พวกเจ้าก็ลงมาเหมือนกันหรือ? ข้าน้อยเยวี่ยกั๋วเซียงจากวังประสานฟ้า เข้าใจผิดแล้วๆ” เสียงโหดเหี้ยมเย็นชานั้นถอยกลับอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
หลี่มู่แค่นเสียงหยัน กระแสวนอัสนีในเนตรสวรรค์บิดม้วนปั่นป่วน พลังสายฟ้าที่แข็งแกร่งเริ่มบิดอากาศและเส้นแสงรอบๆ ตัวเขา พวกปาเสียนอ๋องที่ยืนอยู่ข้างๆ ใจสั่นระรัวอย่างยากจะควบคุมได้ พากันถอยฉากไป
“ไม่ตอบแทนน้ำใจผู้อื่นนั้นเสียมารยาท”
ภายในเนตรสวรรค์ อัสนีม่วงสายหนึ่งพุ่งทะยานออกมาดุจมังกรเทพ มาทีหลังแต่ถึงก่อน ปะทะเข้ากับแสงเงินเส้นนั้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บนท้องฟ้า แสงสว่างสีเงินบาดตาระเบิดออก ประหนึ่งมีอาทิตย์เพิ่มมาอีกดวง
“อา ข้าจดจำไว้แล้ว วันหลังจะมาขอคำชี้แนะแน่นอน”
ท่ามกลางเสียงร้องเจ็บปวด เสียงเหี้ยมโหดเย็นชานั้นแว่วมาหาอย่างเคียดแค้น
จากนั้น รัศมีสีเงินแสบตาก็ค่อยๆ เลือนหาย
“ไม่ตายแฮะ”
เนตรสวรรค์กลางหน้าผากหลี่มู่ค่อยๆ ปิดลง พลังอัสนีสีม่วงหายไป
หลังจากเขาฝึกเนตรอัสนีม่วงสำเร็จ นี่เป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ต่อกรศัตรู พลังโจมตีครั้งที่สามเมื่อครู่ ต่อให้เป็นคนระดับ ‘ดาบจักรพรรดิ’ อิ้งซานเสวี่ยอิงก็อาจเจ็บหนักถึงตาย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิชาเซียนที่แท้จริง แต่ไม่คิดเลยว่าร่างสีเงินนั้นจะแค่บาดเจ็บ
หลี่มู่ยืนยันได้ว่า ร่างสีเงินนั้นคือผู้ลงมาเยือนอย่างแท้จริงคนหนึ่ง
ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งของโลกนี้ แต่มาจากห้วงดาราสมุทร
เยวี่ยกั๋วเซียงจากวังประสานฟ้า?
ชื่อนี้ เขาจดจำไว้แล้ว
“เทวะหลี่ นี่คือ…” พวกปาเสียนอ๋องเข้ามาอย่างระแวดระวัง ในใจยังผวาอยู่ พลังที่ตรงมาหาจวนอ๋องเมื่อครู่มีอานุภาพบดขยี้ทำลายล้าง หากไม่มีหลี่มู่มาต้านเอาไว้ละก็ ทั้งจวนอ๋องสลายกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
“ข้าสงสัยว่า เรื่องประหลาดที่คนจำนวนมากหายตัวไปซึ่งท่านอ๋องบอกจะเกี่ยวข้องกับแสงสีเงินเมื่อครู่…” หลี่มู่เอ่ย
“เอ๋?” ปาเสียนอ๋องตกใจ “เช่นนั้นก็เป็นพวกปีศาจที่สร้างความวุ่นวายหรือ”
บนใบหน้าของปาเสียนอ๋อง หลี่มู่ไม่พบความเสแสร้งใดๆ
ความจริงแล้ว ด้วยพลังฝึกจิตวิญญาณขั้นที่สามในวิชาก่อนกำเนิดของหลี่มู่ยามนี้ ต่อให้เป็นขั้นเทวะ เพียงแค่ความคิดกระเพื่อมไหวขึ้นมาก็ยากจะปิดกั้นจากสัมผัสของเขาได้ ปาเสียนอ๋องไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยจริงๆ
“ข้าจะออกไปดูเสียหน่อย”
หลี่มู่คิดในใจ ก่อนกลายเป็นลำแสงสายหนึ่งไล่ตามไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ชัดเจนว่าร่างสีเงินนั้นเอาชีวิตทั้งหมดในพื้นที่รอบๆ จวนอ๋องไป ทำลายชีวิตทั้งหมดที่นี่ราวกับโม่แป้ง จิตสังหารเข้มข้น ไม่ได้มาดีอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามเป็นแขกจากนอกพิภพ เช่นนั้นก็ต้องไปเจอเสียหน่อย
เอาชีวิตขณะที่เจ้าบาดเจ็บเสียเลย
ชั่วอึดใจเขาก็ไปไกลหลายพันลี้
หลี่มู่สัมผัสได้ถึงร่องรอยของกลิ่นอายพลังนั้น เมื่อตามรอยจนถึง ไม่นานก็พบวังศิลาขาวแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้า
ร่างสีเงินนั้นหายเข้าไปในวังสีขาวขนาดพื้นที่หลายร้อยหมู่นี้ รอบๆ มีทหารรักษาวังแห่งจักรวรรดิตั้งมั่นอยู่ ภายในกำแพงวังสีขาว กลิ่นอายวิถีฟ้าวนเวียนอยู่อย่างไร้รูปร่าง บนกำแพงวังและกำแพงสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ห่างออกไปล้วนมีกลิ่นอายของค่ายกลวิถีฟ้า
‘มีทหารรักษาวังมาตั้งฐานที่มั่น หรือว่าร่างสีเงินนั้นจะเป็นสมาชิกราชวงศ์ซ่งเหนือ?’
หลี่มู่ยืนอยู่บนอากาศสูงกว่าสามสิบจั้ง จ้องมองลงมา ลวดลายเต๋าหมุนรอบตัว ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ด้านล่างไม่มีใครพบเห็นตัว
เอ๋?
วังประสานฟ้า?
หลี่มู่พลันเห็นว่าอักษรใหญ่สามตัวบนป้ายตำหนักศิลาขาวตรงใจกลางสุดก็คือวังประสานฟ้า เขานึกถึงคำพูดของหวางซืออวี่ก่อนหน้านี้ วัตถุโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ของวิหารเต้าเต๋าในวัดซ่อนมรรคาบนเขาหัวโค ทั้งหมดถูกนำมาเก็บซ่อนไว้ที่วังประสานฟ้าแห่งเมืองหลินอัน และวังประสานฟ้าแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่บรรพชนแห่งใหม่ของราชวงศ์ซ่งเหนือในปัจจุบันด้วย
‘ข้าในตอนนี้ฝึกฝนวิชาหมัดเซียนสำเร็จ จิตดาบไร้ลักษณ์ฟ้าประทานก้าวหน้าไปอีกขั้น และยังมีเนตรอัสนีม่วงอีก ใต้ฟ้ากว้างใหญ่นี้ยังมีที่ไหนไปไม่ได้?’
หลี่มู่ยิ้มเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปยังวังศิลาขาว
เพียงก้าวเดียว เขาก็มาถึงหน้ากำแพงวังสีขาวแล้ว
พลังสกัดกั้นทำลายอันน่าพรั่นพรึงแผ่ออกมาจากอักขระวิถีฟ้าในกำแพงวัง เมื่อมองทะลุผิวนอกของกำแพงไป จะเห็นตราผนึกสีเงินที่แน่นขนัดพันรัดอยู่ระหว่างร่องกำแพงหินเหมือนเส้นด้าย ดูคลับคล้ายสัตว์เลื้อยคลานเดินอยู่ใต้ชั้นผิวนอก
หน้าผากหลี่มู่มีรอยแยกเส้นหนึ่งเปิดออก พอกวาดมองไป ไม่นานก็พบจุดศูนย์กลางของค่ายกลตราผนึก จากนั้นในใจเกิดความคิด แสงจิตดาบสายหนึ่งระยิบระยับ พุ่งออกไปฟันค่ายกลจนเป็นร่องยาวร่องหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเดินหน้าตายเข้าไปด้านใน
ทั้งหมดนี้ ทหารรักษาวังที่ประจำการอยู่รอบๆ ไม่รู้สึกตัวเลย
พริบตาที่ก้าวเข้าสู่ด้านในกำแพงวัง ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไป หมอกเมฆปรากฏขึ้นพร้อมกัน เมฆสีขาวพันล้อมสิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่รอบด้าน ทั้งเวิ้งว้างและกว้างขวาง เสมือนอยู่ในวังเมฆาชั้นเก้าก็มิปาน
กลางเมฆหมอกขาวราวหิมะแฝงไว้ด้วยจิตสังหารรุนแรง
หลี่มู่ส่งพลังจิตวิญญาณปกคลุมลงไปดุจกระแสน้ำ ในเวลาเดียวกันก็เปิดเนตรสวรรค์ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ เดินตรงเข้าไปยังตำหนักหลักกึ่งกลางสุด
ภายในตำหนักหลัก
ชายผมเงินตาสีเงิน ใบหน้าเผยความอำมหิต
“ฮึ ใจกล้าบ้าบิ่นเพียงนี้ ไม่นึกว่าจะกล้าเดินเข้ามาในพื้นที่พิกัดวังประสานฟ้าของข้าคนเดียว แค่ค่ายกลทำงานก็สังหารเจ้าไม่เหลือซากแล้ว ต่อให้เจ้าเป็นศิษย์วิหารอัสนีสำนักใหญ่อันดับสองของดาราจักรเทพวีรชนก็ตาม จะมาโทษว่าข้าใจร้ายไม่ได้”
ชายผมเงินเดือดดาล
วังประสานฟ้าในเมืองหลินอัน เป็นถึงพิกัดบนโลกนี้ที่วังประสานฟ้าสำนักใหญ่แห่งทางช้างเผือกสร้างไว้เมื่อพันปีก่อน นับได้ว่าเป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่ง ขณะครอบครองสิทธิประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน เมื่อค่ายกลสังหารหยกประสานฟ้าทำงาน พื้นที่รัศมีร้อยหมู่จะกลายเป็นดินแดนสังหารในพริบตา
แต่ว่าเพียงไม่นาน เขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี
เพราะตกตะลึงเมื่อเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวผมสั้นคนนั้น ทั่วร่างอาบเปลวเพลิงสีส้ม ราวกับหงส์เทพอมตะอาบไฟอย่างไรอย่างนั้น ทุกที่ที่เดินผ่าน บนพื้นจะทิ้งรอยเท้าเพลิงไว้ จากนั้นพื้นดินจะลุกไหม้ เปลวเพลิงนั้นมีพลังที่ไร้สิ่งใดเทียม จิตสังหารของค่ายกลสังหารหยกประสานฟ้าไม่อาจทะลุผ่านเพลิงชั้นนั้นไปได้
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายผมเงินนัยน์ตาเงินไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มคนนี้ใช้เวทอัสนีของวิหารอัสนี แก่นแท้ลึกล้ำ ดุจได้รับวิชามาโดยตรงจากวิหารอัสนี แต่ยามนี้กลับมีเปลวเพลิงอาบร่าง เพลิงสีเหลืองส้มนั้น แม้อยู่ห่างออกไปก็ทำเอาเขาใจผวา ไม่ต่างจากเทพเพลิงอมตะของเผ่าหงส์เพลิงเลย…เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครจากที่ใดกันแน่ จึงมีความสามารถของวิหารอัสนีและเผ่าหงส์เพลิงสองอย่างอยู่ในตัว?
เขาเร่งอานุภาพทั้งหลายของค่ายกลสังหารหยกแต่ละอย่างติดต่อกัน หมอกขาวรอบๆ เปลี่ยนเป็นสัตว์เทพ สัตว์ร้าย สัตว์ภูต สัตว์อสูร รวมทั้งอสุรกายไม่หยุด ตรงเข้าไปล้อมโจมตีเด็กหนุ่มผมสั้น
ทว่าเด็กหนุ่มคนนั้นกลับเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยปานสายน้ำไหล
ระหว่างที่เดิน ปราณดาบไร้รูปร่างหลายสายฟันออกมา เพียงตวัดเบาๆ ก็แบ่งร่างอสุรกายและสัตว์เทพทั้งหมดออกเป็นสองท่อน พลังสังหารภายในจิตดาบทำให้สัตว์เทพและอสุรกายไม่อาจคงร่างเอาไว้ สลายกลับเป็นความว่างเปล่าอีกครั้ง
รอบกายเด็กหนุ่มในระยะสามจั้งมีเขตแดนดาบไร้รูปร่างอยู่ วัตถุหรือพลังจากภายนอกใดๆ เมื่อเข้าไปจะถูกจิตดาบทำลายทิ้งทันที
แทบจะไร้เทียมทานแล้ว
ชายผมเงินนัยน์ตาเงินมองจนบื้อใบ้
นี่มันอะไรกัน?
จิตดาบนี้แฝงพลังแห่งยุทธ์แท้ไว้ ประหนึ่งสิ่งที่สืบทอดกันมาของสำนักยุทธ์แท้สำนักเทพเซียน
ไร้สาระ คนคนเดียวจะมีสิ่งสืบทอดของวิหารอัสนี เผ่าหงส์เพลิง และสำนักยุทธ์แท้สามสำนักเซียนใหญ่พร้อมกันได้อย่างไร?
ชายผมเงินนัยน์ตาเงินรู้สึกเพียงว่ามุมมองต่อโลกของตัวเองพลังทลายลงแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ คนเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในดาราสมุทรก็ไม่ใช่พวกไร้ชื่อเสียงแน่…หรือว่าเขาเก็บตัวเงียบๆ อยู่บนดาวดวงนี้ คอยไล่สังหารผู้ที่ลงมาเยือนและเอาพลังฝึกกำลังภายในไป?”
ชายคนนี้รู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวเป็นระลอกๆ
“หรือว่าคนคนนี้ จะเป็นนักล่าแห่งดาราสมุทร?”
เขานึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักล่าดาราสมุทรที่เล่าลือมาจากเหล่าอาจารย์ เห็นว่าน่ากลัวยิ่งนัก เป็นคนบ้ากลุ่มหนึ่ง มีทั้งฆาตกร ผู้ลอบสังหาร คอยล่าคน สัตว์ และสิ่งมีชีวิตที่มีมูลค่า เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการไล่ล่า เบ่งบานท่ามกลางการต่อสู้ พัฒนาตนเองจากสิ่งของ วัตถุดิบ และวิชาที่ชิงมาจากศัตรู ถึงแม้จะถูกสำนักเซียนใหญ่ต่างๆ ไล่สังหาร แต่ก็ยังเหมือนสุนัขป่าในห้วงดวงดาว สังหารเท่าไรก็ไม่สิ้น บ้าคลั่งจนผู้คนหวาดกลัว
บนตัวเด็กหนุ่มผมสั้นชุดขาวตรงหน้านี้ เขามองเห็นบุคลิกเฉพาะตัวของนักล่าแห่งดาราสมุทร ทำเอาเขารู้สึกยำเกรง
“แย่แล้ว ค่ายกลสังหารหยกนี้ผ่านคืนวันมานาน พลานุภาพเหลือไม่ถึงหนึ่งในพัน เอาเขาไม่อยู่แน่ แต่ตัวข้าเองก็เสียพลังไปมากจากการฝืนลงมายังดาวดวงนี้ หากเขาบุกเข้ามาในตำหนักใหญ่ ข้าได้ตายอย่างแน่นอน พลังของเขา…น่ากลัวเกินไป”
ในดวงตาของชายคนนี้มีความโหดเหี้ยมและไม่ยอมท่วมท้น
สมบัติลับเหล่านั้นอยู่ในฐานที่มั่นแห่งนี้ แต่เขากลับถูกคนอื่นไล่ล่าจนต้องหนี เขาอยู่ในเมืองหลินอัน ได้ดูดกลืนคนไปกว่าแสนคนแล้วเพื่อชดเชยแก่นเลือดที่สูญเสียไปตอนฝืนลงมาเยือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
“จำต้องเปิดฉากฆ่าล้าง ดูดกลืนสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้มาฟื้นฟูร่างกายเสียก่อน จากนั้นค่อยกลับมาแย่งสมบัติคืน อย่างไรเสียถ้ายังไม่ถึงเวลา นักล่าดาราสมุทรคนนี้ก็เอาสมบัติไปไม่ได้”
เขาตัดสินใจได้ จึงล้วงธงผืนเล็กที่มีประกายสีเงินไหลเวียนผืนหนึ่งออกจากถุงสมบัติ คลุมไว้บนร่าง ครั้นแสงสีเงินสว่างวาบ ทั้งร่างก็หายไปจากที่เดิม ถูกส่งออกไปแล้ว
ตอนหลี่มู่บุกเข้ามาก็ช้าไปก้าวหนึ่ง
“แปลก เป็นกลิ่นอายของค่ายกลเคลื่อนย้าย ถูกส่งออกไปแล้วหรือ”
ผู้แข็งแกร่งที่มาจากห้วงดาราสมุทร บนตัวมีสมบัติมากมายดังคาด ตามสังหารไม่ง่ายเลย
หลี่มู่เริ่มสำรวจทั้งวังประสานฟ้า
เดิมทีเขาบุกเข้ามาในวัง ก็เพราะคิดจะค้นหาสมบัติที่เหล่าจื่อทิ้งเอาไว้อยู่แล้ว
……………………………………….