จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 412 รอมาพันปี
หลี่มู่ดูจบ ก็รู้ทันทีว่าลางสังหรณ์ไม่ดีหลายวันนี้มาจากไหน
ดาราจักรเทพวีรชน สำนักใหญ่!
ขั้วอำนาจใหญ่ในห้วงดาราสมุทรพวกนี้ต่างแย่งกันมาที่ดาวนี้เพื่อช่วงชิงสมบัติล้ำค่าในสุสานเทพ จินตนาการได้เลยว่า ถึงตอนนั้นจะมีผู้แข็งแกร่งนอกพิภพมาเยือนโดยไม่เสียดายสิ่งใดมากน้อยเพียงไหน
นี่คือความวิบัติ
ดูปีศาจเพลิงทมิฬ เหลียงจื้อที่กลายเป็นมาร และเยวี่ยกั๋วเซียง ก็รู้แล้วว่าพวกผู้แข็งแกร่งนอกพิภพมีท่าทีต่อสรรพชีวิตของโลกใบนี้อย่างไร…มองเหมือนหมูเหมือนหมา ฆ่าแกงได้ตามสบาย ทั้งยังกลืนกินสรรพชีวิตของโลกนี้เป็นเครื่องสังเวย ใช้ฟื้นฟูพลังฝึกของตัวเองที่เสียไปตอนมาถึง
ใช้สรรพชีวิตเป็นเครื่องสังเวย นับเป็นวิชามาร
เกรงว่าแม้แต่ดาราจักรเทพวีรชน ก็ไม่ใช่ที่ที่มีความเที่ยงธรรมอะไร
สิ่งที่ทำให้หลี่มู่แปลกใจก็คือ ทำไมสมบัติวิเศษที่หากครอบครองแล้วจะได้ครองดาราจักรเทพวีรชนมาอยู่บนดาว ‘ห่างไกลกันดาร’ ดวงนี้ได้ เกรงว่าสุสานเทพจะมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
เพียงแต่เจ้าเพลิงทมิฬนี่เป็นแค่ลูกศิษย์ระดับล่างของทะเลโลหิต สิ่งที่รู้ไม่ชัดเจนเท่าไร ในความทรงจำของมันไม่มีเบาะแสใดๆ แล้ว
แต่ว่าหลี่มู่ได้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งจากความทรงจำของมัน
บุตรเทวะเสียไห่กำลังมา อีกทั้งเป็นไปได้มากว่าอาจจะมาถึงสำเร็จแล้ว
ต่อจากเยวี่ยกั๋วเซียง นี่คือผู้แข็งแกร่งนอกพิภพคนที่สองที่แน่ใจแล้วว่าร่างจริงลงมาเยือน ปีศาจที่ควบคุมหวงเซิ่งอี้ หลอกล่อองค์ชายสอง เป็นแค่ความคิดจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ร่างแท้จริง
ความคิดจิตวิญญาณแค่หลอกล่อผู้แข็งแกร่งของโลกนี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นคนชั่วร้าย
แต่หากร่างจริงมาเยือน นั่นหมายถึงการฆ่าล้างสังหาร
หลี่มู่ประมาณการในใจเงียบๆ หากผู้แข็งแกร่งนอกพิภพเกินร้อยคนมาเยือน เช่นนั้นน่ากลัวว่ารวมสรรพชีวิตทั้งหมดบนดาวดวงนี้เข้าด้วยกันก็คงไม่พอสังเวยให้คนพวกนี้
ผู้แข็งแกร่งนอกพิภพมาเยือน ฟ้าเกิดจิตสังหารแล้ว
เยวี่ยกั๋วเซียงเป็นแค่ลูกศิษย์รุ่นห้ารุ่นหกของวังประสานฟ้าเท่านั้น มาถึงดาวนี้ก็กำเริบเสิบสานไปแล้วฝั่งหนึ่ง หากมีผู้แข็งแกร่งนอกพิภพที่แกร่งกว่ามา…หลี่มู่รู้สึกว่าตัวเองยังต้องทะลวงขั้นอีก ถึงจะมีไพ่ไม้ตายปกป้องตัวเองเพิ่ม
ไม่รู้ว่าในความทรงจำของเหลียงจื้อร่างมารจะมีข้อมูลอีกหรือไม่?
หลี่มู่คิดจะดึงความทรงจำจากศีรษะของเหลียงจื้อ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าฮัสกี้นายพลที่พึ่งไม่ได้ตัวนั้นคาบศีรษะนั่นไปไหนแล้ว…ต่อให้กลายเป็นสุนัขข้ามดวงดาวที่ก้าวออกจากโลกได้เป็นตัวแรกในประวัติศาสตร์ แต่สันดานก็ยังเปลี่ยนยาก
เขาปิดด่านต่อ ฝึกฝนวิชามิติดาบสังหาร
มิติดาบของชิงเฟิงพูดได้ว่าเปิดแนวคิดวิชาดาบแบบใหม่อีกทางหนึ่งให้กับหลี่มู่
……
“ขอต้อนรับใต้เท้า”
ร่างหกร่างที่ใส่ชุดสีเหลืองสดสวมหมวกครอบมวยผมทรงเหลี่ยมโค้งกายคำนับในเงามืด บนร่างของพวกเขามีกลิ่นอายแข็งแกร่งทะลักล้น แม้แต่คนที่พลังต่ำสุดยังเป็นขั้นเทวะ
“อืม การฝึกฝน ‘คัมภีร์ผสานฟ้าใจกระจ่าง’ ของพวกเจ้าไม่เลวเลย ถึงขั้นที่หก ใกล้จะก้าวเข้าขั้นกลั่นปราณระดับสิบเอ็ดแบบสมบูรณ์แล้ว ก้าวไปอีกขั้นก็จะเป็นระดับสิบสองที่สูงสุด ไม่เลวๆ” เสียงของเยวี่ยกั๋วเซียงดังขึ้นในความมืด
“เป็นเพราะวังประสานฟ้าสนับสนุน”
ร่างเงาทั้งหกในชุดคลุมยาวสีเหลืองสดเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
บนร่างของพวกเขานอกจากจะมีวิชาที่ฝึกฝนแล้ว ยังไหลวนด้วยกลิ่นอายที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่อยู่บนตำแหน่งสูง มีความสูงส่งน่าเกรงขาม แต่กลับเก็บงำเอาไว้อย่างหลักแหลม
“ครั้งนี้วังเซียนมอบสมบัติหายากหกชิ้นชื่อ ‘ครองเวหา’ ลงมา เป็นสมบัติวิเศษที่สามารถชิงพลังในฟ้าดิน ช่วยพวกเจ้าฝึกฝน ภายในหนึ่งร้อยวันก็จะก้าวสู่ขั้นสิบสองได้” เยวี่ยกั๋วเซียงเอ่ย
ร่างเงาชุดสีเหลืองสดทั้งหกหายใจหอบถี่ขึ้นเล็กน้อย
พลังฝึกของพวกเขาเกรียงไกรมากพอแล้ว แต่สิ่งที่ได้ยินก็ช่างเย้ายวนใจนัก กลั่นปราณระดับสิบสองก็คือขั้นทะลวงสวรรค์สมบูรณ์ ก้าวออกไปจากดาวดวงนี้ได้ จะไม่ใจสั่นได้อย่างไร?
เยวี่ยกั๋วเซียงเพียงยกมือ
ลูกทรงกลมสีทองอ่อนหกลูกก็ลอยลิ่วไปเบื้องหน้าของคนทั้งหกนี้ พลังเซียนที่หลั่งไหลออกมาทำให้เมื่อมองไปแล้วเกิดความรู้สึกอยากลอยล่องทะลวงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ทั้งยังมีพลังชีวิตมหาศาลทะลักออกมาจากข้างใน
ร่างในชุดเหลืองสดทั้งหกต่างหยิบ ‘ครองเวหา’ มาคนละหนึ่งลูก
“กลืนมันลงไป หลอมมันเข้าไปในหนีหวานกงก็ได้แล้ว” เยวี่ยกั๋วเซียงเอ่ย
แต่ทั้งหกลังเลไปเล็กน้อย
ใบหน้าที่อยู่ในเงามืดของเยวี่ยกั๋วเซียงฉายแววเหี้ยมเกรียมแวบหนึ่ง
“เดิมทีไม่คิดจะยืมพลังของพวกเจ้า แต่เมื่อสามสี่วันก่อนข้าเจอเรื่องยุ่งยากเข้า บุตรแห่งโชคชะตาของดาวดวงนี้ปรากฏตัวแล้ว ชื่อว่าหลี่มู่ ตอนที่ข้ามาเสียพลังฝึกไปมากนัก ถูกเขาไล่สังหารเกือบเอาชีวิตไม่รอด พวกเจ้าไปสืบหาให้ข้าว่าหลี่มู่คนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ยิ่งละเอียดยิ่งดี…” เยวี่ยกั๋วเซียงบอกเล่าอย่างเปิดเผย
“เรื่องนี้ง่ายมาก ข้ายินดีแบ่งเบาภาระให้ท่านเซียน มิสู้พวกเราทั้งหกลงมือพร้อมกัน สังหารหลี่มู่เสีย ก็แค่คลื่นลูกใหม่เท่านั้น อย่างไรเสียพวกเราก็พลังฝึกถึงขั้นเทวะสูงสุดแล้ว” ร่างชุดเหลืองสดร่างหนึ่งเอ่ย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง มีความทะนงตนว่าจะครองทั้งโลกนี้
“บุตรแห่งโชคชะตาไม่ได้สังหารง่ายๆ อย่างนั้น พวกเจ้าหกคนร่วมมือกัน ถึงแม้จะสังหารเขาได้แต่ก็มีสูญเสีย เขามีพลังของดาวดวงนี้เสริมส่ง เป็นบุตรที่สวรรค์เลือก นี่เป็นเรื่องที่ข้าก็เพิ่งจะคิดได้เช่นกัน พวกเจ้าแค่ต้องส่งคนไปสืบข้อมูลของเขาให้กระจ่าง อย่างเช่นจุดอ่อนของเขา คนที่สนิทที่สุดคือใคร แล้วเอามาบอกข้าก็พอแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับพวกเจ้าที่เคยควบคุมจักรวรรดิ” เยวี่ยกั๋วเซียงเอ่ย “สำหรับตัวพวกเจ้า ใช้พลังของ ‘ครองเวหา’ รีบฝึกฝนเข้าเถิด อีกไม่นานสุสานเทพจะเปิดแล้ว ถึงตอนนั้นจะมีผู้แข็งแกร่งมาเยือนมากกว่านี้ พวกเจ้าต้องช่วยข้าชิงสมบัติในสุสานเทพมาให้ได้ ขอแค่สำเร็จ เช่นนั้นพวกเจ้าจะเข้าวังประสานฟ้าก็มีเงื่อนไขพร้อมสรรพแล้ว”
……
พรรคกระยาจกรักษาคำพูดอย่างที่คิดไว้
วันที่สองตอนบ่าย ข้อมูลก็ถูกส่งมา
ศึกสิบเมืองเก้าพื้นที่ชายแดนฉินตะวันตกใกล้ปิดฉากลงแล้วเต็มที จักรพรรดิฉินหมิงไปด่านชายแดนด้วยตัวเอง และทำร้ายรัชทายาทต้าเยวี่ยอวี๋ฮว่าหลงจนบาดเจ็บสาหัส เพิ่งจะสถาปนาขึ้นใหม่ได้ไม่ถึงปีก็แห้งเหี่ยวโรยรา ใกล้พินาศย่อยยับแล้ว
หลี่มู่ได้ยินข่าวนี้ก็ตกใจมาก
วันนั้นเขาทิ้งตราหยกให้อวี๋ฮว่าหลงไว้อันหนึ่ง เคยบอกเอาไว้ว่าหากเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆ ก็เรียกตนไปช่วยได้ ต้าเยวี่ยมีอันตรายมากถึงขนาดนี้ ทำไมอวี๋ฮว่าหลงกลับยังไม่ใช้ตราหยกอีก?
และเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้กระตุ้นตราหยก หลี่มู่จึงคิดว่าทางฝั่งอวี๋ฮว่าหลงเรียบร้อยดีทุกอย่าง
นี่เป็นข่าวเมื่อหนึ่งวันก่อน ตอนนี้ต้าเยวี่ยจะยังยืนหยัดได้หรือไม่ก็ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดอย่างจักรพรรดิฉินหมิงมาด้วยตัวเองแบบนี้ เกรงว่าคงถูกบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อจ้าววิหารเทพอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งในเก้ายอดคนใต้หล้า สุดท้ายก็ยังถูกจักรพรรดิฉินหมิงสังหารลง
ตอนนี้จักรพรรดิฉินหมิงแทบจะเป็นสรรพนามของคำว่าไร้พ่ายบนโลกใบนี้แล้ว
หลี่มู่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลังจากจัดเตรียมบางอย่างก็ไปจากเมืองหลินอันอย่างลับๆ เพียงลำพัง
เขาขี่กระเรียนมุ่งหน้าไปยังสิบเมืองเก้าพื้นที่ของชายแดนฉินตะวันตกทันที
……
เสียงตะโกนสังหารดังสะเทือนฟ้า
ควันดินปืนลอยตลบ ในอากาศมีกลิ่นเลือดลอยคลุ้ง
บนสนามรบทั่วรัศมีหลายสิบลี้ ทุกที่มีศพร่างไม่ครบสมบูรณ์นอนกอง เปลวไฟลุกไหม้ ผืนดินแตกแยกเป็นร่องๆ ภูเขาพังทลาย สิ่งมีชีวิตไม่เหลือรอด
กองทัพฉินตะวันตกมืดฟ้ามัวดิน ทะลักเข้ามาจากทุกทิศประหนึ่งคลื่น ล้อมด่านเมืองมังกรเอาไว้อย่างแน่นหนา
ธงสีดำลายวิหคทมิฬเก้าหัวเรียงรายแน่นขนัด สะบัดไปตามลม ส่งเสียงดังสนั่นท่ามกลางเปลวไฟและควันดินปืน คล้ายมังกรสีดำที่กางกรงเล็บดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ยิ่งเพิ่มจิตสังหารที่ชวนให้คนหวาดผวาขึ้นอีก
เรือวาฬทะยานฟ้าสิบลำล้อมน่านฟ้าด่านเมืองมังกรไว้จากสี่ทิศ ราวกับฉลามร้ายใต้ทะเลลึกที่เตรียมพร้อมจะโจมตีเหยื่อด้านล่างให้ถึงชีวิตในทีเดียวได้ทุกเมื่อ
ด่านเมืองมังกรเป็นดินแดนแห่งสุดท้ายของต้าเยวี่ยแล้ว
บนประตูเมือง อวี๋ฮว่าหลงรัชทายาทแห่งต้าเยวี่ยที่มีคนสนิทช่วยพยุงอยู่มองไปยังศัตรูจำนวนมหาศาลนอกด่านด้วยสีหน้าซับซ้อน ในใจทอดถอนใจเสียงแผ่ว
เขาวางแผนมาหลายปี ฟื้นฟูราชวงศ์เมื่อหนึ่งปีก่อน ทั้งยังตั้งธง ‘ต้าเยวี่ย’ ขึ้นโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น ใฝ่ฝันจะกอบกู้จักรวรรดิในอดีต กระทั่งในใจยังหวังลึกๆ ว่าอาจารย์ที่ก้าวสู่ท้องฟ้าดวงดาวไปแล้วจะถือกระบี่ขับลำนำกลับมา
ถึงอย่างไรก็ผ่านมาแล้วหนึ่งพันปี
พวกอาจารย์น่าจะหาทางกอบกู้เจอและเดินทางกลับแล้ว
หากเขาไม่ตั้งธงนี้ ไม่จุดไฟบนเส้นทางเซียน เช่นนั้นหากพวกอาจารย์เดินทางกลับจะหาทางไม่เจอกระมัง?
เพียงแต่อาจารย์ไม่กลับมา
ทุกคืนวัน อวี๋ฮว่าหลงมองท้องฟ้ายามราตรี ท่ามกลางฟ้ามืดมิดอ้างว้างที่มีดวงดาวระยิบระยับ มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ทำไมจอมปราชญ์มากมายก้าวไปสู่ห้วงดาวดาวแล้วจึงไม่เคยกลับมา?
หนึ่งพันปีแล้ว
พลังฝึกของอาจารย์น่าครั่นคร้ามเพียงนั้น หรือว่าจะฝ่าฟันเส้นทางรอดของโลกกลางฟ้าดารานี้ออกมาไม่ได้?
หนึ่งพันปีแล้ว
พวกศิษย์พี่ก็หายไปหมด พวกอาจารย์ทำไมจึงยังไม่กลับมา?
สิบก้าวสังหารหนึ่งคน พันลี้ไม่หยุดฝีเท้า กิจเสร็จสิ้นสะบัดชายเสื้อจาก ซ่อนเร้นซึ่งตัวตนและฐานะ
ใต้ลำนำกระบี่บัวคราม ยังจะมีผู้ใดขัดขวางได้?
ทำไมจึงยังไม่กลับมา
ใบหน้าของอวี๋ฮว่าหลงฉายแววขมขื่นรางๆ
ล่วงเลยมาพันปี สุดท้ายธงของต้าเยวี่ยก็ยังจะล้มลงหรือ?
เจ็บใจยิ่งนัก
เหล่านักรบรอบด้านต่างใช้สายตาเคารพเลื่อมใสและฮึกเหิมมองเขา
กองกำลังโองการฟ้าหนึ่งแสนนายที่ลุกฮือเมื่อในอดีต และยังมีเหล่าผู้แข็งแกร่งจากสำนักเก่าแก่ของต้าเยวี่ย หลังผ่านการต่อสู้หนึ่งปีมานี้ก็ล้มหายตายจากไปมากมาย แต่ไม่มีใครถอย ไม่มีใครสิ้นหวัง
เพราะต่อให้พวกเขาไม่กบฏ ภายใต้การปกครองของฉินตะวันตก ก็ถูกมองเป็นนักโทษ เป็นคนชั้นต่ำ กระทั่งว่าถูกมองเป็นหมูเป็นหมา
ยกตัวอย่างกองกำลังโองการฟ้าหนึ่งแสนนายนั้น เมื่อก่อนภายใต้การบัญชาการของ ‘ทวนปราบอสูร’ หลี่หยวนป้า พวกเขาถือเป็นกองกำลังเดนตาย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือเป็นหน่วยส่งไปตาย เพียงแต่มียุทโธปกรณ์ดีกว่ากองกำลังทั่วไป มีคุณค่ามากกว่า กำลังรบแข็งแกร่งกว่าก็เท่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นคนชั้นต่ำ เป็นชั้นต่ำที่สุดของกองกำลังโองการฟ้า
ชาติกำเนิดพวกเขาส่วนใหญ่แล้วเป็นสายเลือดชนรุ่นหลังของเชื้อพระวงศ์ต้าเยวี่ยเมื่อพันปีก่อน จึงถูกกระทำเหมือนนักโทษ ทาส หรือสัตว์เลี้ยง
ความลำบากทุกข์เข็ญของพวกเขาคือมหากาพย์อันน่าเศร้าทว่าฮึกเหิม ซึ่งมีมากมายเกินจะบันทึกไว้
มีแค่ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เท่านั้น พวกเขาถึงได้สัมผัสความเป็นคนที่เสมอภาคกัน
ถึงแม้จะสั้นๆ แค่หนึ่งปี แต่ก็ควรค่าให้พวกเขาปกป้องด้วยชีวิต แม้ตายก็ไม่เสียดาย