จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 420 ยืมดาบฆ่าคน
ชื่อของหลี่มู่ทำให้คนนับไม่ถ้วนหนาวสะท้าน
ขั้วอำนาจ บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ และผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายมองหลี่มู่คนผู้นี้ไม่ค่อยออกแล้ว
นับจากเด็กหนุ่มคนนี้ผงาดขึ้นที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ ศึกเล็กศึกใหญ่แทบจะไม่พ่ายแพ้ ทุกครั้งที่สู้กับคนมีชื่อเสียง ตำแหน่งอยู่เหนือเขา คนนอกต่างคิดว่าเขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ทว่าผลสุดท้ายล้วนเกิดปาฏิหาริย์…
ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับหลี่มู่ ทั้งหมดตายสิ้น
เขาคือตำนานไร้พ่าย
ชั่วขณะที่ไม่รู้ตัว หลายคนเหมือนมองเห็นตำนานใหม่แห่งยุคกำลังก่อร่างขึ้นช้าๆ ประหนึ่งดวงอาทิตย์ในทิศตะวันออกเริ่มเปล่งแสงประกายร้อนแรงของตัวเอง สว่างพร่างพรายจนคนอื่นไม่อาจลืมตาได้
ในสายลมเคล้ากลิ่นคาวเลือด
ภายในเมืองร้างที่คนตายหมดสิ้นเมืองหนึ่ง เลือดไหลนอง เยวี่ยกั๋วเซียงเลียคราบเลือดตรงมุมปาก หลังจากได้รับข่าวหนึ่งมา เมื่ออ่านจบเหงื่อเย็นก็ผุดซึมทั้งร่าง
“หลี่มู่คนนี้ แข็งแกร่งถึงระดับนี้เชียวรึ จักรพรรดิฉินหมิงสืบทอดวิชาจากสำนักมารฟ้า แม้แต่วังประสานฟ้ายังต้องหลีกให้ เขากลับสังหารจักรพรรดิฉินหมิงที่ได้รับกลยุทธ์มารฟ้ามาโดยตรงได้…แผนของข้าในวันนั้นนับว่าหลักแหลม ออกจากเมืองหลินอันมาเลย หากสู้กับเขาจริงๆ เกรงว่าตอนนี้คงถูกฆ่าตายไปแล้ว”
เมื่อนึกถึงวันนั้นที่โดนหลี่มู่ไล่สังหารจนจำต้องใช้ ‘ธงเหลืองประตูสวรรค์’ หลบหนี ในใจของเยวี่ยกั๋วเซียงก็พลันไม่พะว้าพะวงอีกต่อไป
อย่างไรเสียจักรพรรดิฉินหมิงที่สำเร็จกลยุทธ์มารฟ้าขั้นที่หนึ่งสมบูรณ์ยังตาย เทียบกันแล้ว ตัวเองหนีรอดมาได้นับว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ
“ต้องรีบฟื้นฟูพลังแล้ว”
เขายืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองร้างนองเลือด ในใจคิดวางแผน
“เมืองเล็กๆ แบบนี้มีคนแค่หลายแสน กลืนกินหมดแล้วยังชดเชยเลือดลมได้ไม่เท่าไร ต้องไปเมืองที่ใหญ่ขึ้นอีกหน่อย อืม ข้าจำได้ บนแผนที่บอกว่าห่างจากที่นี่ไปพันลี้มีสำนักยุทธ์ระดับสามชื่อ ‘หอกระบี่คลื่นมรกต’ อยู่ เลือดของจอมยุทธ์มีพลังงานมากกว่านี่ ฮี่ๆๆ…ถึงอย่างไรสิ่งมีชีวิตในโลกชั้นต่ำแบบนี้ก็ไร้ค่าเหมือนมดปลวก ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร”
ร่างของเขาแปลงเป็นแสงสีเงิน บินมุ่งไปยังสำนักหอกระบี่คลื่นมรกต
ข้างหลังเขา ในอาณาบริเวณหลายแสนลี้รวมถึงเมืองร้างที่ถูกกัดกินเมื่อครู่ เมืองมนุษย์ขนาดเล็กทั้งหมดกลายเป็นนรกโลหิต แต่ละเมืองตายหมดสิ้น กลายเป็นทางอาบเลือดมรณะยาวเหยียดสายหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน
ในหุบเขาร้อยบุปผาสำนักระดับสองของซ่งเหนือ บุตรบุตรเทวะเสียไห่บีบคอของหญิงขั้นเหนือมนุษย์ที่ร่างยังคงกระตุกคนหนึ่ง พลางอ้าปากสูบเลือดนางไปจนสิ้น
หญิงขั้นเหนือมนุษย์ที่หน้าตางดงามคนนั้น ดวงตามีความเคียดแค้นและไม่ยอมจำนน ค่อยๆ กลายเป็นซากศพแห้งๆ ด้วยความเร็วระดับตาเปล่าเห็น
“อา เลือดของหญิงพรหมจรรย์ขั้นเหนือมนุษย์ยังเลิศรสเสมอเลย”
เขาโยนซากศพแห้งทิ้งไปด้านหนึ่ง
สายลมพัดมา กลิ่นคาวเลือดชวนขนลุก
สำนักจอมยุทธ์หญิงหุบเขาร้อยบุปผาตายไม่มีเหลือ
ลูกศิษย์สาวเกือบหมื่นคนกลายเป็นซากแห้งประดุจดอกไม้งามพลันแห้งเหี่ยว ไม่หลงเหลือน้ำหนักใดๆ เมื่อลมพัดต้อง แต่ละร่างกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นปานดอกไม้แห้ง เสื้อผ้าอาภรณ์งดงามที่หุ้มซากแห้งปลิวสะบัด ดูไปแล้ววิเวกวังเวงยิ่งนัก
“ฝ่าบาท เกรงว่าหลี่มู่จะร่วมชิงสมบัติในสุสานเทพด้วย อย่างไรเขาก็มีคนรู้จักในเมืองหลินอัน น่ากลัวว่าคงจะรู้ข่าวอะไรบ้างแล้ว” ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ยืนอยู่ข้างๆ
บุตรเทวะเสียไห่หัวเราะ พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าว่า เสือสองตัวสู้กัน ตัวหนึ่งตาย อีกตัวหนึ่งจะเป็นเช่นไร?”
ดวงตาของ ‘จอมมารจันทราโลหิต’ วาววับ “บาดเจ็บ?”
เสือสองตัวสู้กัน ต้องมีตัวหนึ่งบาดเจ็บแน่นอน
จักรพรรดิฉินหมิงตายแล้ว เช่นนั้นหลี่มู่จะไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อยหรือ?
ดังนั้น อย่ามองว่ายามนี้ชื่อเสียงและบารมีของหลี่มู่จะเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน ใกล้ระดับไร้พ่าย บางทีตอนนี้อาจเป็นช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุดก็เป็นได้
“ฝ่าบาท พวกเราควรไปหยั่งเชิงสักหน่อยหรือไม่?” ‘จอมมารจันทราโลหิต’ อยากลองดูเต็มที
บุตรเทวะเสียไห่มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ย “เรื่องที่ไม่มีประโยชน์ไม่ต้องทำ”
จอมมารจันทราโลหิตชะงัก “เช่นนั้นเล่า?”
“ปล่อยข่าวออกไป ใต้ฟ้านี้มีคนมากมายอยากเคลื่อนไหว ถึงอย่างไรก็ยิ่งสูงยิ่งหนาว มีใครบ้างไม่อยากนั่งบัลลังก์ที่หนึ่งในแผ่นดินสักหน่อย? ต่อให้แตะๆ รองเท้าของที่หนึ่งนี้ได้ก็ยังดี” บุตรเทวะเสียไห่กล่าว
คราวนี้จอมมารจันทราโลหิตเข้าใจในทันที
ยืมดาบฆ่าคนนี่เอง
“เอาละ พวกเราต้องออกเดินทางแล้ว ไปสำนักต่อไป ตอนนี้ข้าเพิ่งฟื้นพลังไปได้ไม่ถึงครึ่ง ยังต้องใช้เลือดพิสุทธิ์ของขั้นเหนือมนุษย์อย่างน้อยพันคนจึงจะฟื้นฟูโดยสมบูรณ์ ตอนนั้นถึงค่อยมีคุณสมบัติเข้าชิงสมบัติในสุสานเซียน”
บุตรเทวะเสียไห่ลอยจากไป
ไม่เหมือนกับเยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้า
เขาเลือกอาหาร จะไม่มีทางกินคนธรรมดา
……
หลี่มู่แห่งขาวพิสุทธิ์บาดเจ็บสาหัสเกือบตาย
ข่าวที่เปรียบดั่งสายฟ้าฟาดนี้แพร่ไปในสามจักรวรรดิอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ต้องสงสัยเลย ด้วยกระแสของข่าวที่หลี่มู่สังหารจักรพรรดิฉินหมิงก้าวขึ้นบัลลังก์ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่ง ความร้อนแรงของข่าวนี้ถึงขั้นเล่าลือกันไปบ้าคลั่งกว่าข่าวก่อนหน้าเสียอีก
ถึงแม้ข้อเท็จจริงของข่าวนี้จะไม่มีหลักฐานใดพิสูจน์ได้ก็ตาม
แต่ว่าหลายคนก็เลือกที่จะเชื่อทันที
อย่างไรเสียเสือสองตัวสู้กัน ต้องมีตัวหนึ่งบาดเจ็บแน่
จักรพรรดิฉินหมิงเป็นถึงสุดยอดผู้แข็งแกร่งที่สังหารบุคคลในเก้ายอดคน เป็นข้อได้เปรียบของจักรวรรดิ ผู้แข็งแกร่งฝ่ายทหารรักษาวังใต้บังคับบัญชามีนับไม่ถ้วน หลี่มู่ต่อให้แข็งแกร่งทรงพลัง แต่หลังจากสังหารผู้แข็งแกร่งแบบนี้ไป คงไม่มีทางถอยหนีได้โดยสมบูรณ์และไม่บาดเจ็บเลย
อย่างไรเสียดูจากวีรกรรมต่างๆ ที่ผ่านมา ถึงหลี่มู่จะแข็งแกร่ง ทว่าไม่ได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นพลิกชะตาได้เช่นนี้
พูดตามตรรกะแล้ว ผู้แข็งแกร่งสองคนต่อสู้กัน ตายหนึ่งเจ็บหนึ่งจะสมเหตุสมผลกว่า
และหากพูดจากความรู้สึก ขั้วอำนาจและบุคคลยิ่งใหญ่หลายคนคาดหวังผลลัพธ์อย่างจักรพรรดิฉินหมิงตาย หลี่มู่บาดเจ็บสาหัสมากกว่า
มิฉะนั้น เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบหกคนหนึ่งร้ายกาจได้ขนาดนี้ อีกหลายพันปีข้างหน้า แผ่นดินใหญ่นี้ไม่แล้วแต่หลี่มู่จะบีบจะคลายหรือ ใต้ผืนฟ้านี้ใครจะกล้าขัดประสงค์ของเขา?
ที่ดีที่สุดคือตายไปทั้งสองคนเสียเลย
คนอื่นที่เหลือถึงจะมีโอกาส
ในช่วงกลียุค ใจใครไม่มีไฟแห่งความทะเยอทะยานลุกโชนบ้าง?
บุคคลแข็งแกร่งไร้พ่ายคนหนึ่งปรากฏกายไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาอยากเห็น
นี่คือความคิดของนักปกครองและคนใจทะเยอทะยาน
ทว่าสำหรับผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์มากมาย พวกเขามองเห็นความหวังที่จะท้าชิงที่หนึ่งในแผ่นดิน
ฉวยโอกาสยามเจ้าป่วย ปลิดชีพเจ้ามอดม้วยเสีย
ต่อให้ท้าประลองหลี่มู่แล้วพ่ายแพ้ แต่ขอแค่มีชีวิตรอดกลับมาได้ ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปทั่วแน่นอน วันหน้ายังสามารถตบอกพูดกับคนอื่นได้ว่า ตอนนั้นข้าประมือกับที่หนึ่งในแผ่นดินยืนหยัดได้กี่กระบวนท่า ยังรอดปลอดภัยกลับมาได้…
ถึงขนาดมีคนคิดอุบายว่าหากฉวยโอกาสสังหารหลี่มู่ได้ เช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าตัวเองก็นับว่าเป็นที่หนึ่งในแผ่นดินแล้วหรือ?
ทางลัดรวดเร็วที่สุดที่จอมยุทธ์จะมีชื่อเสียงคืออะไร?
ไม่ใช่ทำดีผดุงคุณธรรม
แต่เป็นเหยียบย่ำศพของผู้แข็งแกร่งลือนามแล้วโด่งดังในรวดเดียว
แน่นอนว่ายังมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ปลีกวิเวกมากมายรักชื่อเสียง ไม่ยอมฉวยโอกาสซ้ำเติมคน แต่บนโลกใบนี้ จอมยุทธ์ที่บ้าคลั่งเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่ใช่แค่มีไม่น้อย กลับมากมายมหาศาลด้วยซ้ำไป
ดังนั้น ภายในแวดวงยุทธจักรในขอบเขตพลังระดับหนึ่ง จึงเริ่มเกิดทิศทางลมที่จะท้าชิงหลี่มู่ขึ้นมาอย่างเงียบงัน
ผู้ฝึกไร้สังกัดต่างมุ่งหน้าไปยังด่านเมืองมังกรของฉินตะวันตก
สำนักเก่าแก่ ตระกูล และเหล่าตัวประหลาดชราบางส่วนก็เริ่มแอบวางแผน คิดว่าจะเพิ่มอัตราเอาชนะหลี่มู่ให้สูงที่สุดอย่างไร เพื่อให้คนหนุ่มสาวที่โดดเด่นในตระกูลตนสังหารหลี่มู่และแย่งชิงชื่อเสียงมา นี่เป็นโอกาสสร้างชื่อซึ่งยากจะพานพบเลยทีเดียว
แผนชั่วร้ายที่น่ารังเกียจบางแผนก็เริ่มดำเนินการอย่างเงียบงันแล้วเช่นกัน
……
เมืองขาวพิสุทธิ์
“ข้าจะไปด่านเมืองมังกร” ซ่างกวนอวี่ถิงเอ่ยเน้นทีละคำ
จากนั้นนางเปลี่ยนสีหน้าเป็นอีกแบบอย่างรวดเร็ว หัวเราะเยาะก่อนกล่าว “ไปหาผู้ชายน่าชังคนนั้น? เพื่ออะไรกัน ปล่อยให้เขาตายๆ ไปเถอะ” วิญญาณไป๋ม่อโฉวเข้ามายึดร่างอีกแล้ว
“ข้าจะไป” เสียงของซ่างเกินอวี่ถิงเด็ดเดี่ยวและสงบนิ่ง ไม่ใช่ปรึกษา แต่ว่าตัดสินใจแล้ว
“ถิงเอ๋อร์ น้องสาวคนดีของข้า เจ้าอย่าได้วู่วามไป เจ้าหมอนั่นร้ายกาจจะตาย จะบาดเจ็บหนักได้อย่างไร?” ไป๋ม่อโฉวโน้มน้าวด้วยความอดทน “วิชาลับวิญญาณของเจ้ายังฝึกฝนได้ไม่ดีเลย ไม่ควรเดินทางไกลนะ”
“พี่ไป๋ คราวหน้าท่านอย่าได้ยั่วโมโหพี่มู่ และก็อย่าพูดถึงเขาแย่ๆ อีก” เสียงของซ่างกวนอวี่ถิงค่อนข้างโกรธเคือง น้ำเสียงเห็นชัดว่าแข็งกระด้าง
นางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ตลอดมาไม่แก่งแย่งชิงดีกับใคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะอดทนและไม่สนใจกับทุกเรื่อง
นางก็มีต่อมโมโหเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ไป๋ม่อโฉวไม่เคารพหลี่มู่ นางแค่ยิ้มๆ เพราะรู้ว่าหลี่มู่ไม่สนใจ อีกทั้งก็เข้าใจว่าพี่ไป๋คิดเพื่อตน
แต่ตอนนี้หลี่มู่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายขนาดนั้นแล้ว ไป๋ม่อโฉวยังหัวเราะคิกคัก ยุแยงให้นางไม่ต้องสนใจ จึงแตะขีดความอดทนของนางเข้าแล้ว
ไป๋ม่อโฉวเปลี่ยนน้ำเสียงทันที
ด้วยใช้ร่างเดียวกัน นางจึงเข้าใจซ่างกวนอวี่ถิงดี นี่คือสตรีที่ข้างนอกอ่อนข้างในแข็ง ปกติดูแล้วอ่อนโยนดั่งสายน้ำ งามสง่าราวภาพวาด เรื่องอะไรล้วนได้หมด แต่หากนางตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ดูท่าคงต้องไปลูกเดียวแล้ว
“ได้ๆๆ เช่นนั้นก็ไป ไปดูหน่อยก็ดี อันที่จริงข้าก็เป็นห่วงเจ้านั่นเหมือนกันแหละ” ไป๋ม่อโฉวได้แต่ประนีประนอม
ซ่างกวนอวี่ถิงเก็บสัมภาระในเรือนดาบ ก่อนพาสตรีคนอื่นๆ เช่นสวีหว่านเอ๋อร์ ลู่เซิ่งหนาน และหลงเอ๋อร์ออกเดินทางไปด้วยกัน
ชิวอิ่นแต่เดิมจะตามไปด้วย แต่โดนไป๋ม่อโฉวที่ยึดครองร่างของซ่างกวนอวี่ถิงตะเพิดไป มีไป๋ม่อโฉวดูแลก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดปัญหาอะไร อีกทั้งเขาต้องอยู่ดูแลเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์
เมื่อสตรีทั้งหลายจะออกเดินทาง ก็พบองค์ชายน้อยฉินเจิ้งเดินทางมาขอคำชี้แนะเรื่องการฝึกฝนที่หน้าเรือนดาบพอดี
“อาจารย์จะเดินทางไกลหรือ?” ฉินเจิ้งถามอย่างตกใจ
หลายวันมานี้ไป๋ม่อโฉวให้ความสำคัญกับเขา ชี้แนะเขาสามสี่ประโยคโดยตลอด ไม่ใช่แค่ด้านฝึกฝน แต่ด้านวิชากษัตริย์และประชาชนทั้งหลายก็ถกประเด็นได้อย่างน่าตะลึง มีข้อมูลเชิงลึกจริงๆ ทำให้ฉินเจิ้งได้รับประโยชน์มากมาย
มีน้อยคนนักที่เคยเห็นบุคลิกท่าทางในเวลาจริงจังของไป๋ม่อโฉว
และฉินเจิ้งน่าจะเป็นเพียงสองคนที่ได้เห็น
อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงฉินเจิน
หลังจากได้ยินเรื่องบุคคลเช่นไป๋ม่อโฉวจากปากน้องชาย องค์หญิงฉินเจินก็มุ่งหน้ามาเรือนดาบด้วยตัวเองเพื่อพบกับนาง
สาวงามเช่นฉินเจินนี้ ยามพบไป๋ม่อโฉวย่อมว่าง่ายแสนง่าย
ทั้งสองอยู่ในห้อง คุยกันถึงสามชั่วยามเต็มๆ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ผลสุดท้ายคือหลังจากพบกันครั้งนั้น เมื่อประมาณครึ่งเดือนก่อน ฉินเจิ้งก็เข้าพิธีกราบอาจารย์ เข้าสำนักของไป๋ม่อโฉวอย่างเป็นทางการแล้ว
สำหรับไป๋ม่อโฉว องค์ชายน้อยฉินเจิ้งในตอนนี้เคารพนางในฐานะลูกศิษย์
“เอ๋ เจิ้งเอ๋อร์น้อย เจ้ามาได้พอดีเลย มิสู้เจ้าตามอาจารย์ออกไปด้วยดีกว่า บนผิวทะเลสาบราบเรียบฝึกฝนกะลาสีที่เยี่ยมยอดออกมาไม่ได้ จำต้องออกไปเห็นมหาสมุทรกว้างใหญ่” ไป๋ม่อโฉวตาลุกวาว คิดพาฉินเจิ้งออกเดินทางด้วย จะได้ไปสัมผัสบรรยากาศชายแดนสักหน่อย