จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 427 อ่อนด้อยสิ้นดี
“ทุกคนอย่าหนี สู้ตายกับเขา มาช่วยข้า” เว่ยอู๋ปิ้งตะโกนลั่น
เขาลอยอยู่กลางอากาศ สีหน้าโหดเหี้ยม ไม่เหลือท่าทีสุภาพอ่อนโยนอย่างก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ตรงมุมปากมีเลือดไหลรินอยู่ ร่างกายกลับมารวมกันอีกครั้ง ก่อนตะคอกว่า “คนที่คิดอยากมีชีวิตรอดก็ช่วยคุ้มกันข้า รอข้าสำแดงวิชาลับสังหารเจ้าสารเลวนี่”
เขารีบเปิดหนังสือสวรรค์ถามเต๋า อักษรแต่ละแถวๆ ข้างในบินออกมาเหมือนโซ่อักขระ ทั้งหมดทะลุเข้าไปในร่างเขา ทำให้ทั้งร่างโปร่งแสงทันใด
พลังที่ยากจะบรรยายพรั่งพรูออกมาจากหนังสือสวรรค์ จากนั้นตรงเข้าไปในร่างของเว่ยอู๋ปิ้ง
สุดท้าย หนังสือสวรรค์ก็ผสานเข้าไปในร่างกายเขาทั้งเล่ม
ผู้แข็งแกร่งของสำนักโบราณและตระกูลสูงศักดิ์ทั้งหลายเห็นว่าหนีไม่รอด กลายเป็นนกในกรงไปแล้ว ไม่มีหวังที่จะหนีไปได้ ก็เหมือนถูกกระตุ้นความกล้า ตาแดงก่ำหันกายพุ่งตรงเข้ามา ปกป้องเว่ยอู๋ปิ้งคนคลั่งหนังสือที่กำลังสำแดงวิชาสุดยอด
เจ้าสำนักบัณฑิตถามเต๋าคนนี้ พูดได้ว่าเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขาแล้ว
ทว่าในช่วงเวลาสำคัญ หลี่มู่กลับหยุดมือด้วยความสนอกสนใจ
เขามองกลิ่นอายพลังของเว่ยอู๋ปิ้งเพิ่มขึ้น เหมือนกำลังชมการแสดงกายกรรมที่ค่อนข้างน่าอัศจรรย์ เฝ้าดูว่าต่อไปการแสดงกายกรรมชุดนี้จะมีจุดที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกหรือไม่
ประมาณหลายสิบอึดใจ ร่างของเว่ยอู๋ปิ้งขยายใหญ่ขึ้น
อักษรสีเงินแต่ละตัวสาดแสงมาจากใต้ชุดคลุมของเขา ส่งพลังประหลาดออกมา ตัวอักษรหมุนวน ทุกตัวแฝงไว้ด้วยพลานุภาพมหาศาล ตัวอักษรที่แตกต่างกันรวมตัวแล้วเคลื่อนที่ไปภายในร่างกายเขา เพิ่มพลังน่าครั่นคร้ามต่างๆ ทบเท่าไม่หยุด
“ฮ่าๆ หลี่มู่ เจ้าประมาทเกินไปแล้ว ปล่อยให้ข้ารวมพลัง ‘กายเต๋าบทประพันธ์เยี่ยมยุทธ์’ สำเร็จเสียได้” เว่ยอู๋ปิ้งหัวเราะร่า ใบหน้าฉายแววมั่นใจอีกครั้ง ระหว่างเคลื่อนไหวราวจะฉีกทึ้งฟ้าดินอย่างไรอย่างนั้น “ตอนนี้ข้ามีพลังที่เจ้าคาดไม่ถึงแล้ว ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์มาเยือนก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ฮ่าๆๆๆ!”
หลี่มู่ไม่พูดอะไรตอบ
เขาเบิกเนตรสวรรค์ แสงอ่อนจางหมุนวน สำรวจการเปลี่ยนแปลงของอักษรเต๋าในกายเว่ยอู๋ปิ้ง ค่อนข้างสนใจทีเดียว
พลังของอักษรพวกนี้ ตัวอักษรที่ต่างกันจับกลุ่มรวมกันจะมีกลิ่นอายพลังแตกต่างกันไป วิชาของสำนักบัณฑิตถามเต๋าต่างจากสำนักอื่น ออกจะเหมือนวิถีใหม่ที่พัฒนาขึ้นเอง
ซินแสเฒ่าเคยพูดเอาไว้ อักขระหรือตราประทับวิชาเต๋าที่โลดแล่นอยู่ในห้วงดาราสมุทรตอนนี้ แท้จริงแล้วล้วนเป็นอักษรเทพมารในยุคโบราณ ดังนั้นจึงเชื่อมกับพลังในฟ้าดินได้ แต่ว่าก็ค่อยๆ ล้าหลังไปแล้ว หากตัวอักษรในยุคปัจจุบันสามารถเชื่อมกับพลังในฟ้าดินและห้วงดารามหาสมุทร เช่นนั้นจึงจะสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้
น่าเสียดายที่ซินแสเฒ่าอยู่บนโลกมนุษย์ยุคเสื่อมถอย สภาพแวดล้อมย่ำแย่ ดังนั้นจึงไม่เคยศึกษา
หลี่มู่ไม่นึกเลยว่าสำนักบัณฑิตถามเต๋าบนดาวดวงนี้จะสร้างต้นแบบของวิชานี้ขึ้นได้ ตัวอักษรแต่ละตัวในร่างของเว่ยอู๋ปิ้งแฝงด้วยจิตสูงสุดแห่งอักขระ การจับกลุ่มที่ต่างกันก็เหมือนการประสานกระบวนท่าที่ต่างกัน จะมีพลังแตกต่างกันไป
แต่ว่า ต้นแบบเป็นแค่ขั้นต้นเท่านั้น ยังไม่สมบูรณ์
ภายใต้เนตรสวรรค์ หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่าเว่ยอู๋ปิ้งไม่ได้สำแดงอานุภาพของวิชานี้ออกมาอย่างแท้จริง เผยให้เห็นแค่กระผีกเท่านั้น อีกทั้งพลังส่วนใหญ่ยังอาศัยหนังสือโบราณ ‘หนังสือสวรรค์ถามเต๋า’ เล่มนั้นด้วย
“เจ้ารู้รึไม่ หลี่มู่ ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของเจ้าคือมั่นใจเกินไป ปล่อยให้ข้ารวมพลังสำเร็จ” เว่ยอู๋ปิ้งหัวเราะอีก
เขารู้สึกเพียงว่าพลังทั่วร่างแข็งแกร่ง ทำลายโลกได้ในเสี้ยวความคิดเดียว มั่นอกมั่นใจเป็นที่สุด ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนลงมือ มองลงมายังหลี่มู่อย่างหยิ่งยโส “วันนี้เจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่”
ผู้แข็งแกร่งยอดฝีมือจากสำนักโบราณและตระกูลสูงศักดิ์ที่พอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้พวกนั้นต่างโล่งอก
ในที่สุดสถานการณ์ก็พลิกแล้วหรือ?
ช่างยากลำบากเสียเหลือเกิน
พวกเขาได้รับบทเรียนจากก่อนหน้านี้ จึงไม่เอ่ยคำพูดร้ายกาจอะไรอีก ทว่าแววตาของแต่ละคนดุร้าย ในใจวางแผนไว้ว่าหากเว่ยอู๋ปิ้งสังหารหลี่มู่ได้แล้วจะระบายความโกรธแค้นอย่างไรดี
กองกำลังต้าเยวี่ยที่หลงเหลือในสิบเมืองเก้าพื้นที่ต้องตายทั้งหมด เมืองขาวพิสุทธิ์จะต้องถูกโจมตี ได้ยินว่าสำนักขุนคีรีมีความสัมพันธ์ไม่เลวกับหลี่มู่ ก็ต้องกำจัดทิ้งเช่นกัน…
ไม่ว่าอย่างไร จะต้องแก้แค้นให้ได้
หลี่มู่หรี่ตาลง ยังคงสำรวจ
เว่ยอู๋ปิ้งไม่เห็นสีหน้าหลี่มู่เสียใจและระมัดระวังอย่างที่หวังเอาไว้ ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ประหนึ่งหมัดหนักๆ ชกไปกลางอากาศ อึดอัดใจนัก
“ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้ามีคำสั่งเสียอะไรหรือไม่” เว่ยอู๋ปิ้งหัวเราะเสียงเย็น กระตุ้นความโกรธอีกครั้ง
ไม่รอให้หลี่มู่ตอบ เขาแค่นเสียงหยันพลางเอ่ย “แน่นอน หากเจ้าอยากให้ข้าไว้ชีวิตกองกำลังที่เหลือของต้าเยวี่ย เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูด วิญญาณร้ายที่ฟื้นคืนชีพมาพวกนี้ควรจะดับสลายไปตั้งนานแล้ว อยู่บนโลกใบนี้รังแต่จะนำความวุ่นวายและความตายมาให้ ข้าจะให้พวกมันตามเจ้าไปปรโลก”
……
“โง่เง่า”
ไป๋ม่อโฉวมองเว่ยอู๋ปิ้งดุจมองคนโง่
นางมองพวกสวีหว่านเอ๋อร์ที่มีสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะส่งกระแสจิตบอก “วางใจเถอะ เจ้าตัวหายนะนี่ไม่ตายหรอก...” เก้ายอดคนของโลกนี้ล้วนแต่เป็นพวกโง่เง่าหรือไร?
พวกสวีหว่านเอ๋อร์ถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก ใจสงบลงอย่างประหลาด
ถึงแม้ปกติไป๋ม่อโฉวจะพึ่งพาไม่ได้ ทั้งยังชอบมือไม้อยู่ไม่สุข เดี๋ยวๆ ก็แทะโลมพวกนาง แต่ในช่วงเวลาสำคัญ ผีสาวหมื่นปีตนนี้กลับลึกล้ำเกินหยั่ง การตัดสินใจเด็ดขาด พึ่งพาได้เป็นอย่างมาก
ฉินเจินก็โล่งอกเช่นกัน
……
“เรื่องจบแล้ว กลับกันเถอะ”
ในชั้นเมฆ กัวอวี่ชิงละสายตาจากด่านเมืองมังกรที่อยู่ข้างล่าง
“น้องมู่จะไม่เป็นไรใช่หรือไม่? บาดแผลของเขา…” หลิวจื่อหยวนยังค่อนข้างกังวล
กัวอวี่ชิงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย “น้องสามแค่จิตใจเกิดปัญหานิดหน่อย แต่ว่าตอนนี้ฟื้นสภาพดีแล้ว ฝึกจิตจนสำเร็จ ใจเต๋า[1]พัฒนาไปอีกขั้น สำหรับบาดแผลที่กาย สำหรับเขาเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เขานึกถึงวันนั้นที่ถ้ำภูเขาน้ำตกเก้ามังกร กายเนื้อของหลี่มู่พูดได้ว่าแทบจะถูกทุบจนเป็นเนื้อเละ แต่กลับฟื้นฟูได้อย่างคาดไม่ถึง เห็นได้ชัดมากว่าน้องสามคนนี้ของตนมีวิชาฟื้นฟูกายเนื้อเป็นเลิศ
เทียบกันแล้ว เขากลับเป็นห่วงน้องรองชิวอิ่นมากกว่า
นับจาก ‘เก้าชั้นฟ้าปิดภูผา’ หลี่พั่วเยวี่ยแตกดับ ทุ่งปิดภูผาถูกคนอื่นยึดครอง ความกดดันในใจของชิวอิ่นสูงมาก ถึงแม้ภายนอกดูแล้วนิ่งสงบ กำลังมุมานะฝึกฝน แต่ในใจเกรงว่าคงคิดวกวนซ้ำไปมา
ตนกับน้องสามมีความสามารถที่จะกอบกู้ทุ่งปิดภูผา แต่ไม่ได้ลงมือ
เพราะเรื่องนี้อย่างไรเสียก็มีเพียงชิวอิ่นเท่านั้นที่จัดการได้
นี่เป็นความรับผิดชอบของเขา และก็เป็นความภาคภูมิใจของเขาเช่นกัน
“ไปเถอะ พวกเรากลับกัน” กัวอวี่ชิงมาจากที่ราบทุ่งหญ้า เดิมทีเตรียมจะช่วยเหลือ แต่ว่าตอนนี้เขาปลื้มปีติยิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือแล้ว
“ไม่จำเป็นต้องกังวลพวกเว่ยอู๋ปิ้ง?” หลิวจื่อหยวนทอดถอนใจอยู่ข้างใน นางมาจากสำนักบัณฑิตถามเต๋า ในอดีตเคยเป็นธิดาเทพของสำนัก แต่เพราะเรื่องบางอย่างจึงไม่มีความรู้สึกเป็นพวกพ้องกับสำนักบัณฑิตถามเต๋าแล้ว
“จอมยุทธ์ในฟ้าดินแห่งนี้เป็นพวกกบในบ่อ ไม่รู้ว่าฟ้ากว้างใหญ่เพียงใด และเว่ยอู๋ปิ้งก็เป็นแค่คางคกตัวค่อนข้างใหญ่ในบรรดาคางคกที่นั่งดูท้องฟ้าทั้งหมดนี้เท่านั้น” กัวอวี่ชิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “วิถีฟ้าพังทลาย ศัตรูนอกพิภพมาเยือน ตอนนี้น้องสามทำลายจิตมารลงได้ ใต้หล้านี้เขาก็ไร้พ่าย ในโลกไม่มีใครเป็นคู่มือของเขาได้อีกต่อไป เมื่อออกจากวิหารเทพหมาป่ามา ข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน”
ชั้นเมฆลอยห่างออกไปไกล
……
“บีบให้ข้าใช้กระบวนท่าสังหารสุดท้ายนี้ เจ้าภูมิใจได้แล้ว” เว่ยอู๋ปิ้งจ้องหลี่มู่ คิดว่าตัวเองได้เปรียบแล้วแน่นอน ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนลงมือ กลับมีความคิดอย่างแมวหยอกหนู จงใจหยอกล้อถากถางหลี่มู่แทน
หลี่มู่ยังคงสำรวจการโคจรของพลังอักษรเต๋าในกายของคนคนนี้
เขาสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
และท่าทางเช่นนี้ทำให้เว่ยอู๋ปิ้งโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
“หลี่มู่ เจ้าคิดจะยื้อเวลาหรือไร เจ้ารู้เอาไว้ว่าใต้ฟ้านี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว…” เว่ยอู๋ปิ้งใช้คำพูดยั่วยุหลี่มู่ไม่หยุด
ตอนนี้เอง หลี่มู่พลันพยักหน้า “อ้อ เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เขาทำท่าทางเหมือนพลันกระจ่างแจ้งอะไร
“อะไร?” เว่ยอู๋ปิ้งงวยงง
หลี่มู่พลันเงยหน้าขึ้นมา มองเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่าอะไรที่เรียกว่าตายเพราะพูดมาก?”
“ว่าอะไรนะ?” เว่ยอู๋ปิ้งสัมผัสอะไรได้รางๆ แล้ว
เขาเห็นร่างของหลี่มู่พลันขยับ ประชิดเข้ามาทันทีประดุจลำแสงสายหนึ่ง พร้อมส่งหมัดหนึ่งโจมตีมา
หมัดนี้มีอานุภาพน่าตกใจยิ่ง
ในหมัดแฝงด้วยพลังปานถล่มภูเขาล่มสมุทร ไม่รีบไม่ร้อน ไม่เร็วอะไร แต่พุ่งเป้าไปยังมุมและตำแหน่งรอบๆ ที่เว่ยอู๋ปิ้งอยู่ ไม่ทันรอให้เขาตั้งตัวได้ หมัดหนึ่งก็สะเทือนอักขระเต๋าทั้งหมดบนร่างของเขา ทั้งยังทำลายแสงเงินคุ้มกันกาย
เสียงตูมดังขึ้น
ร่างของเว่ยอู๋ปิ้งตั้งแต่คอลงมาระเบิดทั้งหมด…
เลือดราวห่าธนู กระดูกราวหิมะ
“ช่าง…อ่อนด้อยสิ้นดี”
ร่างของหลี่มู่กลับมาที่เดิมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ไม่…” ศีรษะของเว่ยอู๋ปิ้งส่งเสียงคำรามอย่างทั้งโกรธแค้น ตื่นตะลึง และสิ้นหวังอยู่กลางอากาศ ยากจะรับทุกอย่างนี้ได้
ท่ามกลางฝนโลหิต หนังสือโบราณที่หม่นแสงลงโดยสิ้นเชิงแล้วร่วงลงไปเบื้องล่าง
หลี่มู่ยื่นมือเรียกมันเข้ามาจากกลางอากาศ
เมื่อมาถึงมือก็รู้สึกเหมือนหนักหลายหมื่นจิน ปกหนังสือสีฟ้าอ่อน หน้าหนังสือสีน้ำตาล มีทั้งหมดเก้าหน้า ไม่มีตัวอักษรใดๆ ประหลาดเป็นอย่างมาก หลี่มู่เปิดส่งๆ ครู่หนึ่งก็เก็บมันลงไป
หนังสือเล่มนี้เป็นของล้ำค่า น่าจะไม่ใช่ของของโลกนี้ มาอยู่ในมือคนอย่างเว่ยอู๋ปิ้งจึงสำแดงพลังในนั้นออกมาไม่ได้หนึ่งหรือสองส่วนเลย ช่างเสียของจริงๆ
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?” เว่ยอู๋ปิ้งขวัญหนีดีฝ่อ หวาดกลัวสุดขีด
ร่างของเขาต่อติดกันอีกครั้ง แต่กลิ่นอายพลังหายไปมาก สีหน้าไม่ได้กำแหงอย่างก่อนหน้านี้แล้ว ใบหน้าหวาดกลัวขวัญกระเจิง ไม่มีคุณสมบัติและความกล้าที่จะสู้อีกต่อไป
หมัดของหลี่มู่เมื่อครู่ชกเขาที่อยู่ในสภาพดีเยี่ยมที่สุดจนระเบิด สิ่งที่แหลกไปพร้อมกันยังมีจิตแห่งวิถียุทธ์และความเชื่อมั่นในชัยชนะของเขาด้วย
เขาถูกชกจนมึนไปแล้ว
พลังที่เขาครอบครองเมื่อครู่เป็นถึงพลังของผู้ไร้พ่ายรองจากขั้นทะลวงสวรรค์ ต่อให้สู้กับเก้ายอดคนคนใดก็มากพอจะเอาชนะได้ แต่ภายใต้หมัดนี้ของหลี่มู่ เขากลับไม่มีที่ให้ตอบโต้ รับมือ หรือกระทั่งหลบหลีกเลยด้วยซ้ำ ถูกบดขยี้ในทันที
“ไม่มีทำไม” หลี่มู่ตอบ “ก็แค่เจ้าอ่อนแอเกินไป อีกทั้งความรู้ของเจ้ายังบางเป็นกระดาษ”
พูดจบ ร่างของหลี่มู่ก็เปล่งแสงสีเหลืองหลายเส้น
ขั้นเหนือมนุษย์ห้าธาตุ ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่ง
ห้าธาตุติดตาม ม้ามเก็บความคิด สิ่งที่ได้มาภายหลังคือความคิดคาดคะเน สิ่งที่ฟ้าประทานมาคือความเชื่อ เอาชนะความอยาก ความคิดจึงก่อรูปร่าง พลังธาตุดินแห่งจักรพรรดิเหลืองแดนกลาง
แสงสว่างสีเหลืองหมุนวนออกมาจากร่างของหลี่มู่ในชั่วขณะนี้ สาดแสงระยับจนกายเนื้อของเขาเหมือนแก้วสีเหลืองทองไร้ซึ่งมลทิน บาดแผลทั้งหมดบนร่างเลือนหายไปในชั่วพริบตา
แสงเทพเรืองรองประดุจพุทธองค์
เหนือมนุษย์ก้าวที่สามฝึกสำเร็จแล้วในพริบตานี้
หนึ่งชั่วความคิดหนึ่งก้าว
รอบด้านเงียบสงัด
สีหน้าอาการของเว่ยอู๋ปิ้งแข็งค้างประหนึ่งตายไปแล้ว
……………………………………………………
[1] ใจเต๋า ทางเต๋าสื่อถึงใจที่มีความเมตตาต่อมนุษย์ (仁) ความเที่ยงธรรม (义) มารยาท (礼) สติปัญญา (智) สัจจะใจจริง (信) รวมห้าประการ ในทางพุทธสื่อถึงโพธิจิตหรือใจที่รู้แจ้ง