จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 430 อำนาจกดดันใต้หล้า
ยอดคนยุคข้าสร้างความผันผวนใต้ฟ้า ย่ำเข้ายุทธภพมา กลับรู้สึกว่าเวลาไหลผ่านปานสายน้ำ
หลี่มู่จัดการข้าวของที่จักรพรรดิฉินหมิง ฉีหวาย เว่ยอู๋ปิ้ง รวมถึงพวกตระกูลเร้นกายและสำนักโบราณทิ้งไว้หลังตาย ก็พบวิชากับตำราลับมากมาย แต่น่าเสียดายนัก ไม่มีวิธีที่แก้ปัญหาการไม่สามารถฝึกบำเพ็ญของหวางซืออวี่ได้เลย
เส้นลมปราณของหวางซืออวี่จับตัวแข็งโดยธรรมชาติ ไม่มีรอยแตก จุดตันเถียนก็เป็นดั่งทะเลหิน สิ่งนี้ทำให้ทฤษฎีวิถียุทธ์ในโลกใบนี้ใช้กับเธอไม่ได้เลย
จักรพรรดิฉินหมิงฝึกวิชาพลังมารฟ้าของสำนักมารฟ้าจากนอกพิภพ น่าเสียดายที่วิชานี้ล้ำค่าจนเกินไป จักรพรรดิฉินหมิงจึงจดจำไว้ในหัวเท่านั้น ไม่มีสิ่งของใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังลี้ลับนี้เลย จึงสืบสาวเรื่องราวไม่ได้
หนังสือสวรรค์ถามเต๋าของเว่ยอู๋ปิ้งก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน
น่าเสียดายที่หลี่มู่ทดลองใช้สารพัดวิธีแล้ว ก็ยังไม่อาจมองเห็นตัวอักษรใดบนหน้าหนังสือ ซินแสเฒ่าเคยบอกเอาไว้ว่า หนังสือสวรรค์เป็นสมบัติที่มหัศจรรย์มากที่สุดในโลก หากมีวาสนาจะสามารถนึกนิมิตมองเห็นใต้ฟ้า หากไร้วาสนาจะนึกนิมิตได้เป็นกำแพงสูงใหญ่ หลี่มู่ดูท่าจะไร้ซึ่งวาสนาต่อหนังสือเล่มนี้
เขาลองให้หวางซืออวี่นึกนิมิตดู แต่ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
“เสี่ยวมู่ ฉันจะกลับซ่งเหนือแล้วนะ” หนึ่งวันต่อมา หวางซืออวี่บอกลาหลี่มู่ ตอนนี้สถานการณ์การเมืองของซ่งเหนือไม่มั่นคง อ๋องกบฏมีอำนาจมาก เริ่มเปิดฉากโจมตีเมืองหลินอันแล้ว เธอเป็นห่วงปาเสียนอ๋องบิดาบุญธรรมของตน
“เร็วจัง?” หลี่มู่ประหลาดใจ “รอฉันจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ ก็จะไปซ่งเหนือเหมือนกัน ถึงตอนนั้นไปด้วยกันก็ได้นี่”
“ขอแค่นายไม่เป็นอะไร ฉันก็วางใจแล้ว จะอยู่ที่นี่ต่อทำไมกัน? นายวุ่นของนายไปเถอะ ฉันต้องกลับไปคลายความกังวลของพ่อบุญธรรมก่อน ท่านแก่แล้วช่วงนี้ความคิดเลยไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง ช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ฉันไม่อยู่ข้างกายท่านไม่ได้” หวางซืออวี่ยิ้มบอก เดินมาตบบ่าหลี่มู่ราวกับชายชาตรี “พอว่างแล้ว แวะไปหาฉันที่ซ่งเหนือด้วย”
หลี่มู่พยักหน้า ตอบกลับว่า “เธอวางใจเถอะ ฉันจะหาวิธีฝึกให้เธอให้ได้”
“ฮี่ๆ ถ้าย่างนั้นขอบคุณเลยแล้วกัน”
หวางซืออวี่หัวเราะคิกคักตัดสินใจว่าจะไปอย่างไม่ลังเล หลังจากปรึกษาหารือครั้งสุดท้าย ก็ขึ้นหลังมังกรดินหกปีกบินกลับซ่งเหนือไปพร้อมกับขุนนางใหญ่แห่งซ่งเหนือจ้าวจี้
หมิงเยวี่ยสั่งให้ยอดฝีมือพรรคกระยาจกคุ้มกันกลับไปด้วย
บนท้องฟ้า ขณะมองด่านเมืองมังกรที่ค่อยๆ ไกลออกไป สุดท้ายเปลี่ยนเป็นจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งและถูกชั้นเมฆบดบัง รอยยิ้มบนใบหน้าหวางซืออวี่เลือนหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไร น้ำตาไหลลงอาบหน้าโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตอนมาถึงโลกใบนี้ เธอก็เคยร้องไห้ นี่เป็นครั้งที่สองที่เสียใจขนาดนี้
จ้าวจี้ที่อยู่อีกด้าน จู่ๆ ก็เกิดอาการทำตัวไม่ค่อยถูก
ท่านหญิงหวนจูผู้เย่อหยิ่งที่เคยก่อกวนจนทั้งเมืองหลินอันวุ่นวายมาแล้ว เมื่อไรกันที่อ่อนแอเช่นนี้
ส่วนสาเหตุเขาก็พอเข้าใจอยู่บ้าง เป็นอารมณ์ของหญิงสาวนั่นเอง
หญิงที่อยู่ข้างกายเทวะหลี่คนนั้น ฮวาเสี่ยงหรง ‘ยอดหญิงงามแห่งยุค’ ช่างมีรูปโฉมงามล้ำ เพริศพริ้งไร้ใครเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกที่อ่อนโยน สุภาพเยือกเย็น และยังมีพลังฝึกสูงส่งนัก ราวกับนางสวรรค์ลงมาเยือนก็ไม่ปาน
หนำซ้ำไม่ใช่แค่ฮวาเสี่ยงหรง ยังมีหญิงสาวคนอื่นอีก กระทั่งองค์หญิงแห่งจักรวรรดิฉินก็ยังเป็นหญิงองอาจที่งามเหนือใคร
จ้าวจี้ถอนใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนหวางซืออวี่อย่างไรดี
เขาทำได้เพียงแค่ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้
หวางซืออวี่ไม่ได้รับไว้ แต่กลับพึมพำพูดกับตัวเอง
“นี่ไม่ใช่โลกของเราเลย ฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ กระทั่งจะไปช่วยเขาก็ยังช้ากว่าคนอื่น เหมือนกับเป็นผู้ชมเท่านั้น”
“ถึงแม้จริงๆ แล้วเราจะไม่มีความสามารถอะไรไปช่วยเหลือเขา แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เราก็อยากจะยืนเคียงข้างเขา แต่ว่าแค่เรื่องนี้เราก็ยังทำไม่ได้ ตอนไปถึงทุกอย่างก็จบลงแล้ว เราทำอะไรไม่ได้เลย…”
“ช่วยเขาก็ไม่ได้”
“เหมือนคนที่อยู่คนละโลกกันแล้ว”
“เราไม่สามารถพึ่งพาเขาได้ตลอด จะต้องเรียนรู้เส้นทางของตัวเอง”
“ต้องคิดหาวิธีแล้ว”
แววตาของหวางซืออวี่ค่อนข้างสับสน ลมพัดเส้นผมสลวยสะบัดพลิ้วอยู่ด้านหลัง เธอนั่งกอดเข่าตัวเอง ยันคางอยู่บนหัวเข่าพลางจ้องมองเมฆข้างทางที่ลอยผ่านไป…
……
สำหรับหลี่มู่ ในศึกใหญ่สองครั้งที่ด่านเมืองมังกร เขาได้รับอะไรมามากมายนัก
นอกจากพวกตำราลับมากมายหลายประเภทแล้วยังมีสมบัติล้ำค่าอีกไม่น้อย ในนั้นมีหินดาราเป็นส่วนมาก ซ้ำยังมีมูลค่าสูงมากที่สุด ครึ่งหนึ่งในนั้นแฝงด้วยพลังวิญญาณและพลังแห่งกฎเกณฑ์จากนอกพิภพด้วย
แต่สำหรับหลี่มู่ในตอนนี้ สิ่งของเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรมากแล้ว ไม่ได้ช่วยในเรื่องการยกระดับพลังของเขา
ทั้งหมดเป็นสมบัติที่ไม่มีประโยชน์กับเขาแล้ว
ส่วนพวกอาวุธ อาวุธวิญญาณเหล่านั้น รวมไปถึงตำราลับมากมาย หลังจากอ่านดูไปรอบหนึ่งแล้ว หลี่มู่ก็มอบทั้งหมดให้เด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง ให้ชิงเฟิงจัดระเบียบและศึกษาค้นคว้าอย่างละเอียด เมื่อเข้าใจแล้วค่อยส่งต่อให้กับหญิงสาวคนอื่นๆ รวมไปถึงทหารต้าเยวี่ยด้วย
หลี่มู่ทำตัวเป็นเถ้าแก่ร้านมอบงานให้คนอื่นทำอย่างที่ผ่านมา
ศึกครั้งนี้ล้มผู้แข็งแกร่งไปหลายร้อย ขั้นเทวะดับสูญปานสายฝน เลือดเทวะตกสู่โลกมนุษย์ ชโลมแผ่นดินให้ชุ่มฉ่ำ ดินแดนโล่งกว้างนับพันลี้ สิบเมืองเก้าพื้นที่ที่เคยมีแต่ดินถูกเผาไหม้ ยามนี้เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ตอนที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดที่สุด พื้นที่มากมายทั้งในเมืองและนอกเมืองมีสภาพอากาศแหกกฎฤดูทั้งสี่ ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้กลับมีต้นไม้ใบหญ้าแตกหน่อ สายน้ำไหลเพิ่มขึ้น บ่อที่แห้งแล้งกลับมาเอ่อล้น ดอกไม้เบ่งบาน ราวกับเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ
สิบเมืองเก้าพื้นที่ที่ท้องฟ้ามืดครึ้มจากการสังหารครั้งใหญ่ได้ต้อนรับแสงสว่างที่พบเห็นได้ยาก อาทิตย์สองดวงบนฟากฟ้าสาดแสงงามตระการตา
แรงอาฆาตของผู้ที่ตายไปค่อยๆ เลือนหาย
ไม่ต้องสงสัยเลย ในอนาคตที่ยาวไกลข้างหน้า สิบเมืองเก้าพื้นที่จะต้องเปลี่ยนเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์อย่างแน่นอน
วันที่หก หลังศึกใหญ่เสร็จสิ้น กองหนุนจากสำนักขุนคีรีก็มาถึงเสียที
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกเขากลัวสู้รบตาย แต่เป็นเพราะเส้นทางห่างไกล ตลอดการเดินทาง พวกเขาพบกับการขัดขวางจากกองทัพฉินตะวันตกและขั้วอำนาจวิถียุทธ์ฝ่ายต่างๆ เกิดการสูญเสียไปบ้าง จนกระทั่งข่าวที่หลี่มู่กำราบพวกผู้แข็งแกร่งสายยุทธ์อย่างเว่ยอู๋ปิ้งแพร่กระจายออกมา ทหารฉินตะวันตกและขั้วอำนาจวิถียุทธ์เหล่านี้ถึงได้กระจัดกระจายหายไปราวฝุ่นควัน แตกฮือเหมือนฝูงนก หนีไปจนไม่เห็นแม้เงา…
ในฐานะที่เคยเป็นสำนักของราชวงศ์ต้าเยวี่ยในอดีต จึงมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับทหารต้าเยวี่ยตรงหน้าเหล่านี้โดยธรรมชาติ รู้สึกสนิทสนมเป็นอย่างมาก
ตอนแรกเป็นเพราะการไตร่ตรองบางส่วนของอวี๋ฮว่าหลง ดังนั้นจึงไม่ได้ไปข้องเกี่ยวกับสำนักขุนคีรี ทว่าตอนนี้มีหลี่มู่เทพดาบอันดับหนึ่งในแผ่นดินมาประคับประคอง ความกังวลก่อนหน้าจึงถูกทำลายไปหมดสิ้น
กองทหารต้าเยวี่ยและสำนักขุนคีรีรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลี่มู่จัดวางค่ายกลไว้ในด่านเมืองมังกร เหนี่ยวนำพลังวิญญาณหลังจากที่เหล่าขั้นเทวะดับสูญ จึงสามารถเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดเล็ก เชื่อมต่อระหว่างเมืองขาวพิสุทธิ์และสำนักขุนคีรี
จอมมารหลี่จัดการเชื่อมต่อระบบไร้สายเรียบร้อย หลังจากนี้ทั้งสามพื้นที่ก็สามารถ ‘โทรหาและส่งพัสดุด่วน’ ได้โดยตรงแล้ว
หลังจากที่ค่ายกลเชื่อมถึงกัน พวกซ่างกวนอวี่ถิงเตรียมตัวกลับเมืองขาวพิสุทธิ์ผ่านค่ายกลนี้
ก่อนจะแยกกัน องค์หญิงใหญ่ฉินเจินทักทายหลี่มู่ อธิบายเรื่องที่น้องชายนางฉินเจิ้งฝากตัวเป็นศิษย์ของไป๋ม่อโฉว นี่นับเป็นการกู้คืนสถานการณ์หลังจบเรื่อง เพราะก่อนหน้าหลี่มู่ไม่รู้เรื่องนี้เลย
ความจริงแล้ว หลังจากผ่านศึกนี้มา หลี่มู่ก็มองไป๋ม่อโฉวผีสาวหมื่นปีตนนี้ในมุมใหม่
‘กู่กัดกร่อนจิต’ ของเว่ยอู๋ปิ้งที่เขาใช้เป็นไม้ตายสุดท้ายไม่ธรรมดายิ่งนัก ทว่ากลับถูกไป๋ม่อโฉวทำลายลงอย่างง่ายดาย อธิบายได้ว่าไป๋ม่อโฉวไม่ใช่แค่พวกชอบไม้ป่าเดียวกันที่โม้โอ้อวดไปวันๆ เท่านั้น
ดังนั้น หลังจากรู้ว่าองค์หญิงยอมให้ฉินเจิ้งฝากตัวเป็นศิษย์ไป๋ม่อโฉว หลี่มู่จึงไม่ได้ตกใจอะไรมาก ยิ่งกว่านั้น เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องไปจัดการดูแลเรื่องพวกนี้
จะเอาไป๋ม่อโฉวออกมาจากร่างของซ่างกวนอวี่ถิงอย่างไรต่างหากเป็นเรื่องที่หลี่มู่กังวล
“ชิ ถ้าข้าเป็นเจ้า ตอนนี้ไปซ่งเหนือแล้ว” ไป๋ม่อโฉวมองหลี่มู่ พริบตาที่เหยียบเข้าไปในค่ายกล จู่ๆ ก็เปิดปากพูดประโยคนี้
หลี่มู่ฉงนงงงวย
ไป๋ม่อโฉวจ้องเขม็งที่เขา “ฮึ ช่างเป็นผู้ชายห่วยแตกที่ไม่มีความจริงใจจริงๆ”
หลี่มู่รู้สึกเหมือนกำลังขึ้นคร่อมเจ้าฮัสกี้
แต่ว่าก็ในตอนนี้เอง หลี่มู่เริ่มคิดพิจารณา ในเมื่อจักรพรรดิฉินหมิงตายไปแล้ว จักรวรรดิใหญ่อย่างฉินตะวันตกควรจะมีใครมาคุมบังเหียนต่อ?
หลี่มู่เองก็ไม่อยากทำ เพราะหลังจากตนสังหารองค์ชายสอง องค์รัชทายาท และจักรพรรดิฉินหมิงไป ก็ทำให้เหล่าประชาราษฎร์ของจักรวรรดิตกอยู่ในความวุ่นวาย
แน่นอน ต้าเยวี่ยก็ขึ้นไปครอบครองไม่ได้เช่นกัน
กองทัพต้าเยวี่ยเหลือไม่ถึงหมื่นคนแล้ว ไม่มีทางปกครองจักรวรรดิที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้ อีกทั้งฉินตะวันตกปกครองแผ่นดินนี้มาอย่างยาวนาน หากมีคนมีใจคิดจะใช้อำนาจเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ เกรงว่าจะเกิดศึกสงครามไม่หยุดหย่อนเป็นแน่ นี่ไม่ใช่เจตนาเดิมของหลี่มู่
ความหมายในการคงอยู่ของต้าเยวี่ยคือการจุดคบเพลิงขึ้นบนโลกนี้ และสานต่อเส้นทางเซียนจากดาวโลกที่ปรัชญาเมธีโบราณเบิกทางไว้ ไม่ใช่เพื่อรวมเป็นหนึ่งและยึดครองโลก ปัจจุบันมีพื้นที่กว้างใหญ่รัศมีกว่าพันลี้ที่เปลี่ยนเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์ได้อย่างสิบเมืองเก้าพื้นที่ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ต้าเยวี่ยอยู่พักฟื้นที่นี่พอ
ฉินตะวันตกก็ส่งต่อให้ราชวงศ์ฉินตะวันตกจัดการแล้วกัน
สายตาของเขาจับจ้องไปที่องค์ชายน้อยฉินเจิ้ง
องค์ชายน้อยที่อยู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์มาหนึ่งปีกว่า ความประพฤติไม่เลวทีเดียว บริสุทธิ์ดีงามโดยธรรมชาติ ได้ยินมาว่าได้รับอิทธิพลจากนโยบายความเป็นอยู่ของประชาชนในเมืองขาวพิสุทธิ์มามาก หากได้เป็นจักรพรรดิฉินตะวันตกก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก
“ต้องหาเวลาไปคุยกับองค์หญิงเรื่องนี้เสียแล้ว”
หลี่มู่แอบไตร่ตรองในใจ ส่งพวกไป๋ม่อโฉวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
สองวันต่อมา ข่าวคราวสามเรื่องแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เสินโจวอย่างรวดเร็วราวพายุ
หนึ่ง เทพดาบหลี่มู่แจ้งแก่อ๋องกบฏแห่งซ่งเหนือ ให้เจ็ดอ๋องกบฏรีบถอยกลับไปที่ดินศักดินา และห้ามก่อสงครามขึ้นมาอีก
สอง หลี่มู่สั่งให้เจิ้นซีอ๋องที่อยู่ในเขตฉินตะวันตกถอยกลับไปเมืองฝูเฟิงทันที ห้ามไม่ให้มีทหารแม้แต่คนเดียวออกจากเมืองฝูเฟิง ขณะเดียวกันก็ให้เมืองต่างๆ ที่แบ่งแยกดินแดนออกไปหยุดการเคลื่อนไหวทางการทหารเพื่อโจมตีกันและกัน
สาม เหล่าสำนักใหญ่ในฉินตะวันตกและซ่งเหนือ ห้ามไม่ให้มีการสมคบคิดเพื่อก่อกบฏใดๆ อีก และคอยควบคุมศิษย์ในสำนักตัวเองไว้
นี่คือความต้องการจะสงบความวุ่นวาย
เมื่อข่าวแพร่ออกไป ต่างฝ่ายต่างไม่กล้ามองตรงๆ มีเสียงสะท้อนที่แตกต่างกัน
เป้าหมายของเทพดาบหลี่มู่ชัดเจนมาก ก็คือต้องการใช้พลังของตนเองคนเดียวฝืนทำให้โลกที่กำลังจะเข้าสู่กลียุคหมุนกลับไปดังเดิม
ปณิธานไม่เล็กเลย
สำหรับอ๋องกบฏแต่ละฝ่ายแล้ว นี่เหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อย่างไม่ต้องสงสัย ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่เพิ่งจะเริ่มต้น เป้าหมายการแย่งชิงราชบัลลังก์ใต้ฟ้ายังไม่ทันเป็นจริงก็ถูกบีบบังคับให้หยุดลงเสียแล้ว
และสำหรับพวกที่วางแผนคิดยืมเอากลียุคมาพัฒนาสำนักตัวเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน โดยเฉพาะพวกที่เข้าไปผูกพันลึกซึ้งกับเหล่าอ๋องกบฏหรือขั้วอำนาจซึ่งแยกตัวเป็นอิสระ สิ่งที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้เหมือนไหลลงแม่น้ำไปหมดแล้ว
ความตั้งใจของอันดับหนึ่งในแผ่นดินคนใหม่บดขยี้ลงมา จะเห็นผลจริงจนถึงที่สุดหรือไม่?
คนมากมายล้วนล้างตารอดู
สำนักและเมืองซึ่งแยกตัวเป็นอิสระบางส่วนถึงแม้จะไม่ยินยอม แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องทำตาม เพราะพวกเขาไม่สามารถยุแหย่หลี่มู่ เทพดาบในปัจจุบันชื่อเสียงบารมียิ่งใหญ่ ดุจอาทิตย์สองดวงบนฟ้า ไม่อาจจ้องมองใกล้ๆ ได้ การฝ่าฝืนต่อต้านอย่างโจ่งแจ้งก็เหมือนกับเทพแห่งอายุขัยกินสารหนู….ไม่เสียดายชีวิตนั่นเอง
และยังมีคนที่ไม่ยินยอมในทุกทาง
“หลี่มู่จะรังแกกันหนักเกินไปแล้ว ที่ข้าเคลื่อนกำลังทหารเป็นการคิดเผื่อประชาราษฎร์แห่งฉินตะวันตก เข้าตีราชวงศ์ฉินตะวันตกจนแตกพ่าย ก็เพื่อคืนฟ้าดินสว่างไสวให้กับชาวประชาฉินตะวันตก แล้วทำไมต้องบีบบังคับข้าเช่นนี้?”
ในเมืองฝูเฟิง ฉินเป่าจิ้ง เจินซีอ๋องแห่งฉินตะวันตกในวันวานที่ยามนี้ยกตนขึ้นเป็นราชาฝูเฟิงแผดเสียงคำราม
“ไม่ถอนทัพกลับเด็ดขาด”
ราชาเมืองฝูเฟิงดันทุรังยิ่ง ให้คำตอบสุดท้ายออกมาอย่างไม่ยอมกัน