จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 436 เขาคือยอดฝีมือ
“นั่นใคร?”
“รนหาที่ตาย”
คนตัวเตี้ยกับสตรีชุดดำผ้าโปร่งตั้งตัวกลับมาทันควัน โมโหเป็นอย่างมาก พวกเขาสู้กันถึงตายที่นี่ ทุ่มชีวิตเข้าช่วงชิง กลับมีเฉิงเหย่าจิน[1]โผล่ออกมากลางทาง คิดจะชุบมือเปิบอย่างนั้นรึ?
ทั้งสองสมานสามัคคี ลงมือพร้อมกันในทันที โจมตีสังหารมายังหลี่มู่
เขตใจกลางสุสานมี ‘ยอดค่ายกลสยบมารสูงสุด’ พลังฝึกของทุกคนล้วนโดนสะกดไว้ โดยพื้นฐานแล้วได้แค่อาศัยการสู้กันด้วยกายเนื้อ ร่างของคนตัวเตี้ยเปลี่ยนรูปร่างเป็นเงา ไหลวนราวละอองหมอกสีดำหลายเส้น ถนัดสายนักฆ่า ส่วนดาบโค้งคู่ของสตรีชุดดำก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง กระบวนท่าดุดันรุนแรง ถนัดสายสู้ระยะประชิด
ทว่าไม่ว่าจะเป็นสายไหน เมื่ออยู่ใต้หมัดเหล็กของจอมมารหลี่มู่ล้วนต้องคุกเข่าให้ทั้งสิ้น
ภายใต้การสะกดของ ‘ยอดค่ายกลสยบมารสูงสุด’ ความแข็งแกร่งของกายเนื้อที่น่ากลัวถึงขั้นพิสดารและพลังต่อสู้ระยะประชิดอันน่าครั่นคร้ามของหลี่มู่อยู่ในระดับบดขยี้ทำลาย หนึ่งหมัดจัดการหนึ่งคน คนตัวเตี้ยและสตรีชุดดำลอยตีลังกาออกไป
จากนั้นหลี่มู่ก็ดึงตะบองหินที่อยู่บนถาดสมบัตินั้นออกมาถือไว้
“สมควรตาย” คนร่างเตี้ยลอยตีลังกาออกไปหลายจั้ง กระแทกเข้ากับเสาหินแล้วร่วงครูดลงมา โมโหจนกระอักเลือด จ้องหลี่มู่ด้วยแววตาประดุจดาบ ทั้งเคียดแค้นและชวนขนลุก
“เจ้าเป็นใคร?” สตรีชุดผ้าโปร่งสีดำพลิกมือจับดาบโค้ง ตั้งท่าโจมตีประหลาดท่าหนึ่ง ทว่าข้อมือที่สั่นสะท้านเผยให้เห็นว่านางถูกหมัดของหลี่มู่เมื่อครู่จนบาดเจ็บไม่น้อย
หลี่มู่มองประเมินตะบองหินด้วยใบหน้าบานแฉ่ง
พื้นผิวขาวเรียบเนียนละเอียด รูปทรงโค้งมนไม่มีเหลี่ยม เหมือนสากที่สาวชาวบ้านใช้ตำข้าวแต่หนักมาก หลี่มู่ประเมินอยู่ครู่หนึ่ง ตะบองนี้หนักประมาณแสนจิน เห็นได้ชัดว่าวัสดุพิเศษเป็นอย่างมาก อีกทั้งข้างในตะบองยังแฝงลายอาคมวิชาเต๋าที่ลึกลับและจิตวิญญาณไว้ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหรือความซับซ้อนมากมายของลายอาคมล้วนแต่อยู่เหนือพวกอาวุธ เสื้อเกราะที่เก็บได้ในเมืองรกร้างก่อนหน้านี้มากนัก
เป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ด้วย
หลี่มู่ส่งสายตาชื่นชมไปให้พวกชายจมูกงุ้มและชายคิ้วติดกัน
ดีมาก ไม่ได้หลอกข้าผู้เป็นยอดฝีมือคนนี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” คนตัวเตี้ยถามอย่างปากกล้าขาสั่น
หลี่มู่ตอนนี้ทั่วร่างเต็มไปด้วยชิ้นส่วนเกราะจากหลายๆ ชุด ทั้งยังสวมหมวกเกราะสีดำ รูปทรงพูดได้ว่าแปลกประหลาดเกินปกติ ท่าทางไม่เหมือนพระเอกสักนิด เป็นพวกตัวประกอบเดนตายชัดๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนตัวเตี้ยสำนักแสงเงาหรือสตรีชุดดำผ้าโปร่งคนนั้นจึงล้วนไม่รู้ที่มาที่ไปของเขา
หลี่มู่หัวเราะ พูดกับคนจมูกงุ้มว่า “บอกพวกเขาไปสิว่าข้าเป็นใคร”
ชายจมูกงุ้มคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “เขาเป็นยอดฝีมือ”
คนตัวเตี้ยและสตรีชุดผ้าโปร่งบางมึนงง
พวกเขาทั้งสองรู้สึกเหมือนโดนหยอกล้อในทันที อยากจะบีบคอเจ้าคนจมูกงุ้มนี่ให้ตายนัก
มารดามันสิ ใครบ้างดูไม่ออกว่าเจ้านี่เป็นยอดฝีมือ?
หากไม่ใช่ยอดฝีมือจะซัดพวกเขาลอยกระเด็นคนละหมัดได้หรือ
พวกข้าถามถึงที่มาที่ไปและชื่อต่างหากเล่า
“คนของสำนักกำเนิดฟ้าใช่หรือไม่? ได้ ‘ตะบองจู่โจมใจ’ เป็นของพวกเจ้า แต่บัญชีแค้นในวันนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว หอสังหารอาภรณ์ดำไม่มีทางรามือไปเช่นนี้แน่” สตรีชุดดำกัดฟันกล่าว
นางจำสัญลักษณ์บนชุดเวทของพวกชายจมูกงุ้มได้ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วก็รู้ว่าไม่มีทางชิง ‘ตะบองจู่โจมใจ’ มาจากมือของ ‘ยอดฝีมือ’ ผู้นี้ได้ จึงตัดสินใจล่าถอยทันที
ก่อนจากยังถลึงตามองหลี่มู่อย่างเคียดแค้น ราวกับจะจำหน้าตาของหลี่มู่เอาไว้ให้แม่น
คนร่างเตี้ยจากสำนักแสงเงาเห็นแล้วแม้จะเจ็บใจเป็นนักหนา แต่ก็ได้แต่ยอมแพ้ หัวเราะเยือกเย็นน่าขนลุกพลางเอ่ย “หึๆ ก็ได้ พวกเจ้าสำนักกำเนิดฟ้าช่างใจกล้า กล้าชิงเนื้อไปจากปากเสือ หึๆ เก็บตะบองเทพเอาไว้ให้ดี หวังว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตเอามันไปได้ และมีปัญญารักษาชีวิตไว้ใช้มัน”
ขณะพูดร่างก็เริ่มเลือนรางพลางถอยหลังไป
“เหอะๆ สำนักกำเนิดฟ้าจะกลัวพวกเจ้าหรือไร?” หลี่มู่หัวเราะเยาะดังลั่นไปยังทิศที่สองคนนั้นจากไป “หากพวกเจ้ามีปัญญา รอให้สุสานเทพจบลงแล้วก็พาคนมาเจรจาที่สำนักกำเนิดฟ้าของข้า ถึงตอนนั้นดูซิว่าข้าจะทุบพวกเจ้าให้ขี้แตกเลยหรือไม่”
“เจ้ากล้านัก”
“คำพูดนี้ข้าจำเอาไว้แล้ว”
เสียงอาฆาตโกรธแค้นดังมาจากนอกตำหนักใหญ่ จากนั้นก็ห่างออกไปไกล
พวกลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสามสี่คนรวมชายจมูกงุ้มกับชายคิ้วติดกันต่างจะสติแตก
รู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว
สำนักแสงเงาเป็นสำนักนักลอบสังหาร ป้องกันได้ยาก ส่วนหอสังหารอาภรณ์ดำเป็นกลุ่มนักฆ่า มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ อยู่ในเขตดาราเทพวีรชน เป็นพวกจัดการยากทั้งสิ้น ต่อให้เป็นสำนักกำเนิดฟ้าก็ยังต้องยำเกรงสองสำนักนี้มาก
นี่มันเนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง แถมเอากระดูกมาแขวนคอชัดๆ
หากพวกเขาได้ ‘ตะบองจู่โจมใจ’ มาจริงยังพอว่า แต่ปัญหาคือคนบ้าพื้นเมืองสองคนนี้ได้ผลประโยชน์ไปชัดๆ สุดท้ายกระโถนกลับครอบบนหัวสำนักกำเนิดฟ้าแทน นี่จะไปเรียกร้องที่ไหนได้?
“ที่แท้ของชิ้นนี้ชื่อว่า ‘ตะบองจู่โจมใจ’ นี่เอง ฟังแล้วเจ๋งไม่เบา” หลี่มู่มองประเมินอยู่ครู่หนึ่ง สัมผัสได้ถึงลายอาคมเต๋าข้างใน รู้สึกเพียงว่าลึกล้ำมหาศาล เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวไม่มีทางตรวจสอบครบถ้วนแน่
เขาไม่รอช้า ตีตรามันด้วยพลังจิตวิญญาณทันใด
พริบตาต่อมา ระหว่างหลี่มู่กับตะบองหินก็เกิดความสัมพันธ์อันน่ามหัศจรรย์ขึ้น เพียงเกิดความคิดตะบองหินก็แปลงเป็นลำแสงหายไปจากมือของหลี่มู่ เข้าไปหล่อเลี้ยงอยู่ในจุดหนีหวานกงของเขา
“ไป รีบเดินทางไปชิงสมบัติกัน”
หลี่มู่สบตากับกัวอวี่ชิงแวบหนึ่ง ต่างตื่นเต้นขึ้นมาทั้งคู่
สุสานเทพเป็นที่ที่ดีจริงๆ
มีสมบัติเต็มไปหมด เก็บมาก็ใช้ได้เลย นี่มันช่างสมบูรณ์แบบนัก
เสี้ยวขณะนี้ หลี่มู่พลันนึกถึง ‘PUBG’ เกมออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมสุดๆ บนโลกก่อนที่ตนจะจากมา กระโดดร่มลงไปบนเกาะร้าง หาปืน อาวุธ ชุด เสื้อผ้าในบ้านร้างต่างๆ จากนั้นก็ออกไปจัดการคนอื่น คนที่รอดคนสุดท้ายจะได้กินไก่…
อืม ทำไมรู้สึกว่าศึกชิงสมบัติในสุสานเทพนี่เหมือนเป็นการกินไก่ฉบับคนจริงๆ?
“ฮ่าๆ โชคดีร่ำรวย ครั้งนี้พวกเราจะกินไก่”
หลี่มู่ตะโกนลั่น
สายตาของศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ที่มองหลี่มู่ยิ่งเหมือนมองคนบ้าเข้าไปใหญ่
โยงมาที่กินไก่ได้อย่างไรกัน?
จะกินไก่เจ้าก็ไปกินข้างนอกเอาสิ มาสร้างหายนะในสุสานเทพทำไม? ต่อให้เจ้าออกไปกินไก่จริงก็ไม่เป็นไร
ในวังเมฆา นอกจาก ‘ตะบองจู่โจมใจ’ แล้วก็ไม่มีสมบัติอื่นอีก แต่ถาดหยกที่ตะบองหินตั้งอยู่ดูแล้ววัสดุก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ดังนั้นกัวอวี่ชิงจึงเก็บมาโดยไม่เกรงใจ
ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ไม่ได้แม้แต่ขนเส้นเดียว อยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา
ทั้งหกคนมุ่งหน้าต่อไป
เดินไปครู่หนึ่ง หลี่มู่ถึงพบว่าที่แท้ไม่ใช่ว่าตำหนักวังจะเปิดออกทั้งหมด ตลอดทางพวกเขาเจอ ‘ตำหนักเคล็ดสวรรค์’ ‘ตำหนักพิรุณอัสนี’ ‘ตำหนักดาริกา’ อื่นๆ รวมหกตำหนัก แต่ประตูปิดสนิททั้งสิ้น
บนบานประตูหินสีดำของทุกตำหนักล้วนมีลายเต๋าผนึกไว้ ไม่สามารถเปิดได้เลย หากดันทุรังโจมตีจะถูกพลังสะท้อนกระเด็นจนได้รับบาดเจ็บ
ตลอดทาง ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่อธิบายเรื่องวงในบางเรื่องให้หลี่มู่และกัวอวี่ชิงฟังอย่างระริกระรี้
ในฐานะที่เป็นสำนักนอกพิภพ ข้อมูลที่พวกเขารู้มีมากกว่าพวกหลี่มู่มากมายนัก มีค่าให้ใช้อ้างอิงยิ่ง
“ที่นี่มีตำหนักเทพกว่าร้อยตำหนัก ทุกตำหนักมีสมบัติที่ขุนพลสวรรค์คนหนึ่งซึ่งตายไปแล้วทิ้งไว้ เท่ากับเป็นสุสานของพวกเขา บางครั้งเปิด บางครั้งไม่เปิด ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ทำได้แค่อาศัยโชคเท่านั้น”
ชายจมูกงุ้มกล่าวอธิบาย
คนคิ้วติดกันเอ่ย “มีผู้สูงส่งในเขตดาราเทพวีรชนคำนวณเอาไว้ การเปิดของสุสานเทพครั้งนี้มีจำนวนตำหนักเทพที่จะเปิดมากที่สุด สมบัติที่ชิงได้ก็มากที่สุดเหมือนกัน ดังนั้นสำนักต่างๆ จึงส่งลูกศิษย์ลงมาช่วงชิงโดยไม่คำนึงสิ่งใด”
“ทำไมถึงไม่ให้ผู้อาวุโสหรือผู้แข็งแกร่งของสำนักพวกเจ้าลงมาเอง?” หลี่มู่มองพวกเขาพลางเอ่ยด้วยใบหน้าเหยียดหยาม “เจ้าว่า พวกหน้าตาอัปลักษณ์อย่างพวกเจ้าลงมาจะทำอะไรได้? ไม่ใช่ลงมาเป็นเครื่องเซ่นหรือไง”
ใจของลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง
‘พวกเราอยู่ในสำนัก ก็เป็นอัจฉริยะที่ได้รับความรักความโปรดปรานจากอาจารย์และมีลูกศิษย์ร่วมสำนักอิจฉาเข้าใจไหม? ภายในเขตดาราเทพวีรชนก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง ผู้ฝึกตนหญิงไม่รู้เท่าไรอยากจะเป็นคู่ฝึกกับพวกเรา อัปลักษณ์ที่ไหนกัน?’
“การสกัดกั้นจากวิถีฟ้าของดาวนี้ยังไม่สลายไปหมดสิ้น หากผู้อาวุโสมาเยือนละก็จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ นำเคราะห์ร้ายมาสู่ตน ยากจะเอาตัวรอดเองได้” ชายจมูกงุ้มตอบอย่างซื่อตรง
หลี่มู่ดวงตาวาววับ “เช่นนั้น พวกที่ลงมาเยือนก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ต่างๆ ทั้งนั้นใช่ไหม อย่างนั้นข้าคนเดียวก็จัดการได้สิบคน อีกประเดี๋ยวเจอเข้าก็จัดการไปเลย คนหนึ่งหมัดหนึ่งทุบให้หมอบ สมบัติทั้งหมดจะเป็นของพวกข้าสองพี่น้อง”
กัวอวี่ชิงก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน
ลูกศิษย์ร่างผอมสูงเอ่ยอึกอัก “แต่ก็มีสำนักที่พลังอำนาจลึกล้ำบางแห่ง ใช้สมบัติลับสลายวรยุทธ์ของยอดฝีมือผู้อาวุโสในสำนัก ฝืนสะกดพลังฝึกของพวกเขา แล้วให้ลงมาเยือนเพื่อเป็นผู้คุ้มกันให้กับลูกศิษย์ที่ลงมา พวกเขาร้ายกาจมาก”
พูดจบเขาก็นึกเสียใจภายหลัง
บ้าเอ๊ย ข้าพูดเรื่องนี้ทำไมกัน จริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้คนบ้าสองคนนี้ไปจัดการสำนักมารฟ้าหรือวังประสานฟ้าสิ หากผู้สืบทอดและผู้คุมกันของสำนักพวกนี้ถูกฆ่าตายหมด เช่นนั้นพวกเขาก็หลุดพ้นแล้วไม่ใช่หรือ?
ลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าอีกสามคนมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้น
หลี่มู่สายตาเฉียบแหลม ทำไมจะมองไม่ออก จึงเอ่ยพร้อมหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เจ้าเด็กเหลือขอทั้งสี่ อย่าอัดอั้นตันใจจนป่วยเล่า หากข้าถูกคนฆ่าตาย ไม่ได้แก้ยันต์เต๋าในกายพวกเจ้า ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องตายเหมือนกัน”
พวกคนจมูกงุ้มและคนคิ้วติดกันเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมทันที
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ห้าหกคนนี้ก็มาถึงนอกตำหนักชื่อว่า ‘ดาราสวรรค์’ ประตูตำหนักเปิดอ้าอยู่ ทว่าเมื่อพวกเขาพุ่งเข้าไปอย่างลิงโลดก็พบว่าในตำหนักมีร่องรอยการต่อสู้ที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน แต่ไม่มีเงาคน และไม่มีสมบัติอะไรเช่นกัน…
“ถูกคนแย่งไปแล้ว” หลี่มู่เอ่ยอย่างปวดใจ “คนอื่นเอาสมบัติของข้าไปแล้ว”
พวกคนจมูกงุ้มหมดคำจะพูดโดยพลัน
สมบัติที่นี่ล้วนไม่มีเจ้าของ ผู้ที่มีวาสนาจะได้ไป เป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม
ข้างหน้าเป็นตำหนักสุสานชื่อว่า ‘ตำหนักเซียนเหิน’ ประตูตำหนักเปิดอ้ากว้าง ข้างในมีคลื่นการต่อสู้แผ่ระลอกออกมา อีกทั้งไม่ใช่แค่สองคน แต่มีถึงสี่คนกำลังประจันหน้ากันอยู่ภายใน
หลี่มู่ส่งสัญญาณให้
กัวอวี่ชิงรับรู้
ทั้งสองเก็บกลิ่นอาย แอบย่องเข้าไปอย่างเงียบๆ
ชายคิ้วติดกันและพวกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าเห็นแล้ว ก็คิดว่าเจ้ายอดฝีมือกับผู้แข็งแกร่งสองคนนี้ใจสื่อถึงกันได้หรือไร นี่จะแอบแฝงตัวเข้าไปเล่นงานคนอื่นชัดๆ ท่าทางคุ้นเคยดีแบบนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนคงทำเรื่องแบบนี้มาไม่น้อยแล้วกระมัง?
เจ้าตัวชั่วร้ายทั้งสองนี่
ดังนั้นพวกเขาทั้งสี่จึงเก็บกลิ่นอายอย่างเงียบเชียบแล้วตามไปเช่นกัน
ภายในตำหนักใหญ่ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดนัก
……………………………………………………
[1] เฉิงเหย่าจิน แม่ทัพผู้จงรักภักดีแห่งราชวงศ์ถัง ตำนานเล่าว่าเมื่อใดทำสงครามแล้วใกล้จะพ่ายแพ้ ขอแค่เฉิงเหย่าจินลงมือก็จะพลิกสถานการณ์ได้ทันที ภายหลังจึงใช้สุภาษิตเฉิงเหย่าจินโผล่ออกมากลางทางเปรียบเปรยว่าเกิดเรื่องราวที่ไม่คาดคิดขึ้น