จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 440 สังหารกลับ
หลี่มู่ในตอนนี้ค่อนข้างมึนงง
เกิดอะไรขึ้น?
ชายแก่คนนี้ที่จริงแล้วคือปีศาจลิง?
บนศีรษะมีรัดเกล้าทอง…ในใจของหลี่มู่นึกถึงลิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดบนดาวโลกทันที แต่ลิงตัวนั้นเป็นราชาวานรขนทองผู้โสภานี่ ขนทั่วตัวของลิงตัวตรงหน้านี้มีสีแดงราวเพลิง อีกทั้งเมื่อครู่เด็กน้อยเรียกเขาว่าท่านปู่หม่า แซ่หม่า ไม่ใช่แซ่ซุน
ทว่า ลิงแซ่หม่าตัวนี้พลังค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว
เป็นครั้งแรกที่หลี่มู่เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตอื่นแล้วเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อย ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างดาบจักรพรรดิและจักรพรรดิฉินหมิง ก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้เลย ลิงแซ่หม่าตัวนี้เป็นระดับไหนกัน?
อย่างน้อยต้องเหนือกว่าขั้นทะลวงสวรรค์หรือขั้นสะพานเป็นตายแล้ว
มือของเขาถือรัดเกล้าทองเอาไว้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
สวมกลับไปให้ลิงแซ่หม่านี่ใหม่อีกรอบ?
คาดว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็คงโดนลิงแซ่หม่านี่ซัดตายในทีเดียว
หลี่มู่มองไปยังพี่ใหญ่กัวอวี่ชิง อีกฝ่ายฟื้นความสามารถในการเคลื่อนไหวกลับมาแล้ว จากนั้นมองลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ที่นอนแกล้งตายอยู่บนพื้น เขาหันกายจะเข้าไปประคองกัวอวี่ชิงโดยไม่ลังเล ย่องเดินออกไปไกลๆ นอกตำหนัก…
สามสิบหกกลยุทธ์ หนีคือสุดยอดกลยุทธ์
“เจ้าจะไปไหน?” สายตาของลิงแซ่หม่าจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลี่มู่
เห็นขนสีแดงปานเปลวเพลิงของเขาหดกลับเข้าไปในร่างอีกครั้ง ใบหน้ากลับมาเป็นใบหน้าคน หางยาวที่ก้นก็หดกลับไป กลับมาเป็นชายชรารูปร่างกำยำผมขาวยุ่งเหยิงอีกครา
สิ่งเดียวที่ต่างออกไปคือ บนศีรษะของเขาไม่มีรัดเกล้าทองนั่นแล้ว
รัศมีอำนาจน่าหวาดกลัวก็สลายไปแล้วเช่นกัน กระทั่งว่าธรรมดากว่าก่อนที่จะถอดรัดเกล้าออกเล็กน้อย ทั่วร่างไม่มีกลิ่นอายพลังใดๆ แต่ทุกคนรู้ดีว่าชายชราคนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม
ถูกจับได้เสียแล้ว
หลี่มู่ใจสั่นสะท้าน ฝีเท้าหยุดชะงักและหมุนตัวกลับมา สีหน้าค่อนข้างแข็งทื่อ ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “เอ่อ ท่านปู่ผู้นี้ หากข้าบอกว่าจู่ๆ ข้าก็ปวดฉี่ ท่านต้องไม่เชื่อแน่ แต่ว่าความจริงแล้วมันเป็นแบบนั้นจริงๆ…”
ชายชรามองหลี่มู่ด้วยแววตาซับซ้อน
อันที่จริง ในใจเขาก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเช่นกัน
ที่มาที่ไปของรัดเกล้าทองนี้ ตัวเขารู้ดีที่สุด นั่นคือรัดเกล้าทองที่บุคคลยิ่งใหญ่ระดับเจ้าลัทธิออกแบบ ด้วยกฎแห่งมหามรรคาของรัดเกล้าทอง คนที่มีพลังถอดออกได้ในห้วงดาราสมุทรอันยิ่งใหญ่นี้มีไม่เกินสองหยิบมือ
เมื่อครู่เขาเพียงแค่เห็นเจ้าหนูนี่จ้องรัดเกล้าทองตาเป็นมัน ดังนั้นจึงเอ่ยไปอย่างโมโห ใครจะรู้ว่า…เจ้าเด็กพื้นเมืองจอมกะล่อนนี่จะถอดรัดเกล้าทองออกมาได้ปานถอนหญ้าแห้ง
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
หรือในกายของเจ้าเด็กนี่จะมีอะไรประหลาด?
หรือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าลัทธิคนใดแปลงกายลงมา?
หรือว่านี่ก็คือโอกาสวาสนาที่ท่านอ๋องบอก?
เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว ต่อให้เป็นขอทานข้างทางก็ถอดรัดเกล้าทองได้?
“ข้าเคยบอกเอาไว้ว่า หากเจ้าถอดรัดเกล้าทองนี้ออกได้ก็จะไม่เอาความเรื่องที่เจ้ารังแกนังหนู และยิ่งจะตอบแทนเจ้าในฐานะผู้มีพระคุณ เจ้าทำได้แล้ว ข้าก็จะรักษาสัญญา” ใบหน้าของชายชราพลันปรากฏรอยยิ้ม “วันหนึ่งเมื่อเจ้าออกไปจากดาวดวงนี้ หากเจอเรื่องลำบากอะไร ให้ไปหาข้าได้ที่ดาวฮวากั่ว”
พูดจบ เขาอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่สวมเสื้อตัวโคร่งขึ้นไว้บนบ่า หมุนกายสาวเท้ายาวจากไป เพียงพริบตาก็หายไปจากข้างนอกตำหนักเซียนเหิน
“พี่ชาย นันนันจำท่านไว้แล้วนะ แย่งแม้แต่ของของเด็กผู้หญิง ท่านนี่ชั่วช้าเกินบรรยายจริงๆ คนนิสัยไม่ดี ข้าจะกลับมาหาท่านแน่” เด็กหญิงนั่งอยู่บนบ่าของชายชรา โบกมือให้หลี่มู่อย่างอาลัยอาวรณ์
“ฟู่…” หลี่มู่ตบอกถอนหายใจ
วันหลังจะไม่เที่ยวซี้ซั้วถอดรัดเกล้าให้ใครง่ายๆ อีก เกือบตายแล้ว
กัวอวี่ชิงก็ถอนใจโล่งเช่นกัน
มองออกว่าหากเมื่อครู่ลิงแก่นั่นลงมือขึ้นมาจริงๆ เขากับหลี่มู่ร่วมมือกันก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่มือ ชายชราที่แปลงกายมาจากลิงยักษ์คนนี้เป็นคนแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาแน่นอน น่ากลัวเป็นอย่างมาก ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเลย
“ไปเถอะ ถอยก่อน” หลี่มู่ค่อนข้างระแวง หนีไปก่อนค่อยว่ากัน
สำหรับคนในตำหนักพวกนั้น อย่างไรเสียก็ปล้นทรัพย์ไปแล้ว จะฆ่าคนปิดปากเสียก็คงไม่ได้ หลี่มู่รู้ตัวว่ายังไม่เหี้ยมโหดอำมหิตถึงขนาดนั้น
“พี่สาว ข้าไปแล้วนะ อย่าคิดถึงข้าให้มากนักเล่า” หลี่มู่โบกมือเอ่ยกับปู้เฟยเหยียนอย่างกวนประสาท หันกายทำท่าจะจากไป
ในตอนนี้เอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
ฟุ่บ!
ควันสีดำทางหนึ่งมาถึงเบื้องหน้าหลี่มู่ในชั่วพริบตาด้วยความเร็วดุจลำแสง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นคนตัวเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์ ในมือถือลิ่มแหลมพิษแทงตรงมายังหว่างคิ้วของหลี่มู่
การลอบสังหารที่เกิดขึ้นนี้ ใครก็คาดไม่ถึงทั้งนั้น
ภายใต้ความตกใจ ถึงแม้กัวอวี่ชิงอยู่ใกล้ที่สุด แต่คิดจะลงมือช่วยก็ไม่ทันเสียแล้ว
ลิ่มแหลมพิษแทบจะสัมผัสกับผิวของหลี่มู่ในชั่วพริบตา
จิตสังหารล้นทะลัก ความตายมาเยือน
หลี่มู่คิดจะสกัดกั้นหรือไม่ก็หลบหลีก แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกวิธีไหนก็ไม่ทันกาลแล้ว
เร็วยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้เอง เมื่อหลี่มู่อ้าปากก็มีลำแสงสีขาวยิงออกมา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตะบองยักษ์กระแทกใส่ใบหน้าของคนตัวเตี้ยอัปลักษณ์จนกระเด็นลอยออกไป
“อั้ก…” กลางอากาศ คนตัวเตี้ยที่ถูกตะบองกระแทกหน้าจนแทบเป็นแตงโมเละกระอักเลือดรุนแรง นั่นคือคนร่างเตี้ยสำนักแสงเงาที่ชิง ‘ตะบองจู่โจมใจ’ ในวังเมฆานั่นเอง
“รอเจ้าอยู่นานแล้ว” หลี่มู่แค่นเสียง
คนตัวเตี้ยถอยหลังไป ก่อนจะลงมาบนพื้น บาดแผลบนใบหน้าน่าตกใจนัก ปากอ้าพะงาบๆ ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร วิชาลอบสังหารของสำนักแสงเงาไม่มีทางถูกมองออก เจ้า…”
หลี่มู่ตอบ “คนน่ารังเกียจอย่างเจ้า หน้าตาอัปลักษณ์ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น ก่อนหน้านี้ตอนเจ้าถอยหนี ข้ามองสายตาชั่วร้ายแบบนั้นของเจ้าออก เจ้าจะต้องแอบซุ่มในเงามืดเพื่อรอแก้แค้นข้าอยู่ทุกเวลาเป็นแน่ แล้วข้าจะไม่ป้องกันไว้ได้อย่างไร”
คนร่างเตี้ยฝืนโคจรพลัง ร่างสลายกลายเป็นหมอก “นางแพศยาหอสังหารอาภรณ์ดำ ตอนนั้นก็ข่มขู่ข้าเหมือนกัน…”
หลี่มู่แค่นเสียงหยัน “แต่ว่าคนเขาหน้าตาดีกว่าเจ้านี่”
“เจ้า…ข้าจะกลับมาอีกแน่” ร่างคนตัวเตี้ยอัปลักษณ์เอ่ยอย่างเหี้ยมโหด เปลี่ยนเป็นหมอกเหมือนกลุ่มควันกลุ่มหนึ่ง กลิ่นอายค่อยๆ สลายหายไปจนสิ้น
หลี่มู่หัวเราะเยาะ จากนั้นกระตุ้น ‘ตะบองจู่โจมใจ’ ตะบองหยกขาวพลันพุ่งออกไปชนอย่างรุนแรงกลางฟ้า เสียงสนั่นดังขึ้น กลางอากาศมีเลือดกลุ่มหนึ่งไหลทะลัก ร่างของคนตัวเตี้ยอัปลักษณ์กระแทกลงบนพื้นเต็มแรงดุจปลาที่จับขึ้นมาจากในน้ำ…
“เจ้าหาข้าเจอได้อย่างไร?” เขาตกตะลึง ใบหน้าตื่นตระหนก
“ข้าย่อมไม่บอกเจ้าอยู่แล้วว่า ‘ตะบองจู่โจมใจ’ มีความสามารถในการตรวจจับด้วย” หลี่มู่หัวเราะเจ้าเล่ห์ “ขอบคุณที่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่สู้แต่หนีไป ทำให้ข้าได้สมบัติชิ้นนี้มา…อย่าพูดมากเสียเวลาอยู่เลย จะส่งเจ้าไปปรโลกแล้วกัน”
ตะบองจู่โจมใจพุ่งไป ปลดปล่อยพลังเต๋าเป็นชั้นๆ และกระแทกหัวใจของคนตัวเตี้ยหน้าตาอัปลักษณ์จนแหลกละเอียด ในขณะเดียวกัน พลังทำลายล้างกลุ่มหนึ่งก็ทำลายสามจิตเจ็ดวิญญาณของเขา
“ข้าเสียใจนัก…” ชายตัวเตี้ยอัปลักษณ์ตายตาไม่หลับ “สำนักแสงเงา…ไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่”
หลี่มู่หัวเราะหึๆ
พูดอย่างกับว่าถ้าข้าไม่ฆ่าเจ้า สำนักแสงเงาจะปล่อยข้าไปอย่างนั้นแหละ
ภาพนี้ทำเอาคนอื่นๆ ในตำหนักเซียนเหินเห็นแล้วใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หากบอกว่าเมื่อครู่หลี่มู่แกล้งหนี เอาแต่ทำตัวบ้าๆ บอๆ เช่นนั้นเมื่อครู่เขาก็สังหารนักฆ่าจากสำนักแสงเงาอย่างไม่ปรานี แสดงความคิดละเอียดรอบคอบและความเหี้ยมโหดออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้คนทั้งหลายต้องมองหลี่มู่ใหม่
ต่อให้เป็นหญิงชราไม้เท้าดำที่สบถด่าอยู่ตลอด ตอนนี้ก็ยังหุบปากอย่างรู้งานยิ่ง ด้วยกลัวว่าหลี่มู่จะโกรธขึ้นมาแล้วจัดการฆ่าปิดปากนางเสีย
แต่หลี่มู่กลับไม่ยืดเยื้อเสียเวลา พากัวอวี่ชิงและลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่จากไป
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ปู้เฟยเหยียนคนพี่ในกลุ่มสองพี่น้องสาวงามฟื้นฟูพลังกลับมาก่อน กระโดดผลุงขึ้นมา ก่อนจะจัดการเสื้อผ้าแล้วโคจรพลังช่วยน้องสาว
“ท่านพี่ ตามไป ข้าจะสับมันให้ตาย” น้องสาวโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ปู้เฟยเหยียนส่ายหน้ากล่าว “เจ้านั่นเป็นตัวหายนะ พลังแข็งแกร่งมาก ในโลกใบนี้เจ้าไม่ใช่คู่มือของเขา อีกทั้งในมือเขายังมี ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ กับ ‘ตะบองจู่โจมใจ’ ทั้งเจ้าเล่ห์ทั้งเหี้ยมโหด รับมือยาก... ”
คิดแล้วก็รู้สึกปวดหัว ในสุสานเทพทำไมถึงมีชาวพื้นเมืองที่เหี้ยมโหดเจ้าเล่ห์แบบนี้ด้วย
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี? ท่านพี่ ระฆังสะท้านวิญญาณยังอยู่ในมือเขาด้วย ต้องแย่งมานะ” น้องสาวเสียบดาบที่ยาวกว่าความสูงของนางกลับเข้าฝัก เอ่ยด้วยใบหน้ากลัดกลุ้มใจ “ไม่เช่นนั้น ท่านพี่ ท่านใช้เสน่ห์ของท่านเป็นอย่างไร? ข้าเห็นเจ้าโจรชั่วนั่นมีสายตากรุ้มกริ่มเวลามองท่าน จะต้องสนใจท่านแน่…”
ผัวะ
ปู้เฟยเหยียนยกมือฟาดลงไปที่ศีรษะของน้องสาวคนนี้หนึ่งที “หากยังพูดจาซี้ซั้วอีก ข้าจะใช้ ‘คำสาปผนึกวาจา’ ปิดปากเจ้าเสีย”
สาวน้อยเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านพี่ นี่ท่านมีอะไรไม่พอใจกัน เจ้าโจรชั่วนั่นถึงแม้จะเจ้าเล่ห์เหี้ยมโหด แต่ข้าสังเกตอย่างละเอียดแล้ว เขาคิ้วเข้มตาโตนับว่าสง่างาม ถอดรัดเกล้าทองของลิงแซ่หม่าได้ ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน...อื้อๆๆๆ”
ปู้เฟยเหยียนยกมือร่ายอาคม ริมฝีปากบนและล่างของน้องสาวปิดสนิทเข้าด้วยกัน ราวกับปากหายไป ทำได้แค่ส่งเสียงอู้อี้จากทางจมูก
พี่สาวน้องสาวเดินออกไปนอกตำนักเซียนเหินทั้งแบบนี้ ไล่ตามไปทางทิศที่หลี่มู่หายตัวไป
อีกครู่หนึ่ง หญิงชราไม้เท้าดำและเด็กทารกเผ่าผู้วิเศษก็ฟื้นการเคลื่อนไหวกลับมาพร้อมกัน ทั้งสองมองตากันแวบหนึ่ง ต่างมองเห็นจิตสังหารในสายตาของกันและกัน แต่ก็ไม่ได้ลงมือ
หญิงชราไม้เท้าดำถูกหมัดนั้นของหลี่มู่ซัดจนบาดเจ็บสาหัส พลังเสียหายอย่างหนัก ส่วนทารกเผ่าผู้วิเศษ เมื่อไม่มี ‘ถาดหยกนำโชค’ พลังก็ลดลงมาก ไม่มีความมั่นใจว่าจะทำอะไรอีกฝ่ายได้
ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงจากไปกันคนละทาง
ครั้งนี้เป็นเพราะหลี่มู่ยังไม่ได้ฝึกฝน ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ เสร็จสมบูรณ์ รอเมื่อเขาฝึกฝนจนสมบูรณ์และควบคุมพลังของระฆังใบนี้ได้ เกรงว่าเสียงระฆังแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำลายสามจิตเจ็ดวิญญาณของศัตรู ทำให้อีกฝ่ายจิตแตกดับ ร่างกายแหลกสลายคาที่ได้แน่นอน
……
“ฮ่าๆๆๆ ข้าได้สมบัติชิ้นนี้มาแล้ว ดีจริงๆ ในสุสานเทพแห่งนี้ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อีก” เยวี่ยกั๋วเซียงแห่งวังประสานฟ้านั่งหัวเราะลั่นอยู่ในตำหนักสุสานแห่งหนึ่ง
ในมือของเขามีเกราะรูปทรงประหลาดตัวหนึ่ง ตัวเกราะกึ่งโปร่งแสง มีมังกรสีเหลืองทองเก้าตัวพันอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ ประหนึ่งมีชีวิตจริง พลังแห่งเต๋าไหลวนอยู่โดยรอบ
“ฮี่ๆ เกราะไฟเก้าเทพมังกร ฮ่าๆ เป็นของข้าแล้ว”
เยวี่ยกั๋วเซียงดีใจจนปากบิดเบี้ยว
“ฮ่าๆ หลี่มู่จะต้องมาสุสานเทพด้วยแน่นอน หากข้าหามันเจอเมื่อไรก็จะใช้ ‘เกราะไฟเก้าเทพมังกร’ เผาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แบบนี้ถึงจะระบายความแค้นในใจข้าได้ ” เขากัดฟันกรอดพูดกับตัวเอง