จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 441 อารามอู่จวง
ในช่วงเวลายาวนานต่อมา โชคของพวกหลี่มู่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ใจกลางเขตสุสานมีตำหนักสุสานนับร้อยพัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนปิดอยู่ จากที่ศิษย์ทั้งสี่ของสำนักกำเนิดฟ้ากล่าว หมู่ตำหนักสุสานที่ปิดอยู่นี้ ต่อให้เป็นราชาสวรรค์ก็ไม่สามารถบุกเข้าไปได้ หลี่มู่จึงไม่คิดจะสร้างความลำบากให้ตัวเอง ทำได้เพียงคลำหาต่อไป
โชคของกัวอวี่ชิงกลับไม่เลวนัก
เขาพบสมบัติสองชิ้นอย่างรวดเร็วในตำหนักสุสานชื่อว่าตำหนักเจ็ดวิหค
หนึ่งในนั้นเป็นพัดห้าสีเล่มหนึ่ง หลังจากส่งปราณแท้เข้าไป เพียงโบกเบาๆ ก็มีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา พลานุภาพเทียบเท่ากับไฟจักรพรรดิของหลี่มู่ น่ากลัวเป็นอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นยังมองออกได้ว่ากัวอวี่ชิงยังไม่เข้าใจพลังทั้งหมดของพัดเล่มนี้ หากสามารถฝึกได้สมบูรณ์ พลานุภาพของเปลวไฟอาจจะสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
อีกชิ้นหนึ่งเป็นหอกยาวหนึ่งเล่ม ตัวหอกเรียบง่ายและโบราณ เรืองแสงสีม่วงอ่อน ราวกับมีสายฟ้าแฝงซ่อนอยู่ด้านใน ความยาวเจ็ดฉื่อโดยประมาณ ปลายหอกแหลมคม มีแสงเย็นเยียบวาววับ ตัวหอกมีลวดลายหมุนเป็นเกลียว สัมผัสเย็นสบายตั้งแต่บนจรดล่าง บนตัวหอกสลักอักษรไว้ว่า…หอกอัสนีทะยาน
กัวอวี่ชิงชอบหอก ไม่คิดว่าจะพบหอกอัสนีทะยานเล่มนี้เข้า
ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้วว่าหอกนี้ไม่ธรรมดา หลังจากที่กัวอวี่ชิงปลุกเสกแล้ว สามารถซ่อนมันไว้ในร่างกายเพื่อบ่มเพาะให้ความอบอุ่น เพียงคิดในใจหอกก็จะปรากฏในมือ ตัวหอกสร้างสายฟ้าได้ด้วยตัวเอง ขณะซ่อนไว้ในร่างกายสามารถบำรุงฝึกฝนกายเนื้อ ผิดแผกน่าอัศจรรย์โดยแท้
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้คนอิจฉามากขึ้นไปอีกคือ ค่ายกลที่อยู่ด้านในหอกอัสนีทะยานเล่มนี้มีวิชา ‘อัสนีทะยานสามสิบหกท่า’ แฝงอยู่ กัวอวี่ชิงฝึกปุ๊บก็เป็นทันที เมื่อสำแดงออกมา หอกไร้เงาดุจอัสนี ก่อกวนสายฟ้าวายุ ความเร็วอยู่เหนือเสียง ยามกัวอวี่ชิงกุมหอกไว้ในมือ ความเร็วของท่าร่างจะเพิ่มเป็นเท่าตัว รวดเร็วเหนือเสียงประหนึ่งภาพมายา เร็วไปถึงขีดสุด
ชายจมูกงุ้ม ชายคิ้วติดกัน และพวกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าอิจฉาตาร้อน
สมบัติใดๆ ที่ค้นเจอในตำหนักตรงใจกลางเขตสุสานแห่งนี้ล้วนเป็นยุทโธปกรณ์ที่ขุนพลสวรรค์ซึ่งสู้รบตายในวันวานเหลือทิ้งไว้ อย่างน้อยก็เป็นสมบัติอาวุธระดับสมบัติเต๋า หากหยิบออกไปในเขตดาราเทพวีรชน ไม่รู้ว่าจะมีขั้วอำนาจใหญ่ที่อิจฉาริษยาอยู่เท่าใด
ส่วนพวกเขาทั้งสี่ ลำบากแทบตายกว่าจะเข้ามาในเขตใจกลางนี้ได้ กลับไม่ได้อะไรติดมือมาเลย ซ้ำยังถูกคนกดขี่เป็นทาส…มีความรู้สึกโมโหอัดอั้นอย่างพวกที่มาถึงกองสมบัติแต่กลับไปมือเปล่า
“กลับไปต้องคิดบัญชีกับผู้อาวุโสที่ดูปฏิทินกำหนดเวลาให้จงได้ บอกว่าช่วงยามที่พวกเราลงมาเป็นเวลามงคลไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงย่ำแย่แบบนี้ได้”
“ตาเฒ่านั่น คงไม่ได้รับสินบนใครแล้วให้เวลาเคราะห์กับพวกเรามาแทนกระมัง?”
“เป็นไปได้”
“เวลามงคลอะไรจะมีคนตายเช่นนี้? ศิษย์น้องสวี่ก็ถูกทุบตายไปแล้วด้วย…”
ทั้งสี่คนแอบตำหนิอยู่ในใจ
แต่ว่า พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงความเห็นอะไรกับหลี่มู่ทั้งสิ้น
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ได้ประจักษ์ความโหดเหี้ยมของหลี่มู่แล้ว ผู้สืบทอดจากสำนักแสงเงา คนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจคนนั้นยังถูกหลี่มู่วางแผนเล่นงานจนตาย นับประสาอะไรกับพวกเขา?
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ก็ไม่มีการค้นพบอะไรอีก
“ผิดปกติแฮะ” หลี่มู่หยุดฝีเท้าลง พิจารณาอย่างละเอียด
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เขาหันกลับมากะทันหัน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็คว้าตัวศิษย์ทั้งสี่เข้ามา แล้วรัวกำปั้นลงไปไม่ยั้ง
เสียงหมัดปึกปักดังสนั่น รัวลงบนร่างกายของศิษย์ทั้งสี่แห่งสำนักกำเนิดฟ้าปานลมฝนพายุคลั่ง น่าเวทนายิ่งนัก
ศิษย์ทั้งสี่ถูกอัดจนมึนศีรษะ
เกิดอะไรขึ้น โดนอัดอีกแล้วหรือ?
รอจนหลี่มู่ชกเสร็จ ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าสี่คนก็นอนหมอบจมูกเขียวหน้าบวมปูดอยู่บนพื้น สายตาเลื่อนลอย ข้าเป็นใคร? ข้าอยู่ที่ไหน? ใครตีข้า? แล้วข้าจะไปที่ใด?
“พูดมา พวกเจ้าทั้งสี่ยังปิดบังเรื่องอะไรข้าไว้” หลี่มู่กล่าวอย่างเหี้ยมโหดโฉดชั่ว “ถ้ายังคิดจะโกหกข้า เชื่อไหมว่าข้าจะซัดกระดูกของพวกเจ้าให้หัก แล้วดูดไขกระดูกออกมาให้หมดเลย?”
“ไม่ ไม่มีแล้ว…” ชายจมูกงุ้มตอบด้วยสีหน้าลนลาน
หลี่มู่บีบนวดหมัดตัวเองจนส่งเสียงดังกรอบแกรบออกมา พูดว่า “ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่รู้จริงๆ ว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร ให้โอกาสสุดท้ายพวกเจ้า ถ้ายังไม่พูดความจริงออกมา ข้าจะทุบพวกเจ้าให้ตาย แล้วเอาศพไปเรียงเป็นอักษรคำว่าตายเสีย”
ชายจมูกงุ้มหวาดกลัวลนลานทันที
ที่เหลืออีกสามคนก็มีสีหน้าตื่นตระหนก
ถูกมองออกแล้วหรือ?
มองออกได้อย่างไรกัน?
นี่…จะทำอย่างไรดี?
ทั้งสี่คนสบตากันแวบหนึ่ง ปณิธานที่จะดิ้นรนต่อต้านแทบจะสลายไปในพริบตา พวกเขาเห็นคนที่ถูกหลี่มู่ลงมืออย่างอำมหิตด้วยตาตนเองมาแล้ว ศิษย์น้องสวี่ที่ถูกหมัดชกจนระเบิด ตอนนี้ก็ยังไม่พ้นเจ็ดวันเลยด้วยซ้ำ
“ข้ายอม ข้ายอมแล้ว…” ชายจมูกงุ้มขลาดกลัวก่อนใครเพื่อน
……
“นี่หรือขุมทรัพย์ของสุสานเทพ?”
หมิงเยวี่ยถือกระบองทองแดง โบกวาดจนเกิดลมแรง
“ที่นี่ไม่น่าจะเป็นเขตใจกลาง พวกเราอยู่รอบนอก แต่ว่าสิ่งของในซากปรักหักพังพวกนี้ หากหยิบออกไปก็ทำให้จอมยุทธ์สำนักใหญ่บนแผ่นดินมารุมแย่งชิงกันได้” ชิงเฟิงนั่งอยู่บนรถเข็น พลางใช้พลังจิตวิญญาณควบคุมดาบบินเล่มหนึ่งให้ลอยอยู่ตรงหน้าเขา สังเกตอย่างละเอียดจนได้ข้อสรุปนี้
หวางซืออวี่ทำปากมุ่ยเหมือนเป็นลูกติดภรรยาใหม่
ไม่แปลกที่เธอจะกลุ้มใจ
หลังจากมาถึงที่นี่ สิ่งของทั้งหมดล้วนแฝงท่วงทำนองเต๋าไว้ หนักหน่วงเกินไป แค่เศษกระเบื้องในซากปรักหักพังนี้เธอก็ยังขยับไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงอาวุธชุดเกราะหรือโล่เหล่านี้เลย
หมิงเยวี่ยและชิงเฟิงรวมไปถึงหยวนโห่วต่างเก็บยุทโธปกรณ์มาไม่น้อยแล้ว แต่เธอต่อให้มองเห็นอาวุธก็ไม่สามารถหยิบมาได้เอง
“พี่สาว พี่สาว ท่านอย่าเพิ่งกลุ้มใจไป ว่ากันว่าโบราณมียาเซียน หลังจากกินไปทำให้คนธรรมดากลายเป็นเซียนได้ สามารถผลัดขนชะล้างไขกระดูก เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกาย ในเมื่อที่นี่เป็นสุสานเทพ ไม่แน่ว่าอาจจะมียาเซียนอยู่เช่นกัน พวกเราเดินไปข้างหน้าต่อ ถ้าเกิดพบยาเซียนขึ้นมา ปัญหาของท่านก็แก้ไขได้แล้ว”
หมิงเยวี่ยเอ่ยปลอบหวางซืออวี่
หวางซืออวี่ตาเป็นประกาย ตอบว่า “จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีเลย”
ตั้งแต่ไปสิบเมืองเก้าพื้นที่ครั้งที่แล้ว หลังจากกลับมา ใจของเธอก็เกิดความยึดมั่นถือมั่นและจิตมารลูกหนึ่ง โดยเฉพาะยามเห็นว่าตนไม่อาจให้ความช่วยเหลือใดๆ กับหลี่มู่ เมื่อตัวเองได้แต่ต้องพึ่งพาหลี่มู่อยู่ตลอด ในใจจึงเกิดความอัดอั้นที่ไม่สามารถระบายออกไป
ถึงอย่างไรหวางซืออวี่ก็ไม่เหมือนฮวาเสี่ยงหรง
เธอเหมือนกับหลี่มู่ ได้รับการศึกษาจากดาวโลก ไล่ตามความเสมอภาคและอิสรภาพ เธอชอบหลี่มู่ ไม่เหมือนกับฮวาเสี่ยงหรงที่หลับหูหลับตาคล้อยตามและมอบทุกสิ่งให้ แต่เป็นความรักบนความสัมพันธ์ที่เสมอภาค
ดังนั้นเธอถึงทนไม่ได้ ตัวเองตอนนี้ไม่ต่างจากเถาวัลย์เส้นหนึ่ง ทำได้เพียงพันรัดหลี่มู่เอาไว้ ถ้าหากไม่มีหลี่มู่ที่เป็นดั่งต้นไม้ใหญ่ เถาวัลย์เส้นนี้ก็ไม่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง
ทั้งสี่คนเดินมาถึงเขตเมือง ข้ามสะพานใหญ่ ทะลุกำแพงเมืองจนมาถึงเขตใจกลางสุสาน
“เดินไปทางนี้” ชิงเฟิงนั่งบนรถเข็นพลางหยักนิ้วทำนายอะไรบางอย่าง ท้ายสุดจึงชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
หยวนโห่วเข็นรถเข็น หมิงเยวี่ยดึงแขนของหวางซืออวี่
หลังจากมาถึงเขตใจกลางสุสาน หยวนโห่ว ชิงเฟิง และหมิงเยวี่ยล้วนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของ ‘ค่ายกลสยบมารสูงสุด’ ขยับไม้ขยับมือลำบากไม่เหมือนตอนอยู่ด้านนอก
คนธรรมดาที่ไม่มีพลังฝึกเลยอย่างหวางซืออวี่กลับสบายยิ่ง และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
โชคของพวกเขาดีไม่เลว ระหว่างทางมาไม่ได้พบกำลังคนจากสำนักนอกพิภพอื่นๆ
อ้อมไปอ้อมมา เลี้ยวลดคดเคี้ยว ไม่รู้ว่าเดินผ่านถนนไปกี่สาย จู่ๆ ก็มาเจอหมอกหนาทึบกลุ่มหนึ่ง
ทั้งสี่คนยังไม่ทันตั้งตัว หมอกหนาก็ปกคลุมพวกเขาไว้แล้ว
“ระวัง” หยวนโห่วตะโกนเตือน เวลาเดียวกันก็สำแดงวิชา เหนือศีรษะมีลูกไฟลอยขึ้นมาลูกหนึ่งและห่อหุ้มคนทั้งสี่ไว้ด้านใน ด้วยกลัวว่าหากเกิดเรื่องขึ้นกับทั้งสามคนจะไม่มีหน้าไปอธิบายกับหลี่มู่
อาศัยพลังของลูกไฟดวงนี้ สี่คนเดินอยู่ในหมอกหนาอย่างระมัดระวัง
โดยรอบหมอกหนาราวกับมีเสียงคำรามแหลมดุร้ายลอยมา คลับคล้ายมีวิญญาณอาฆาตนับพันนับหมื่นจากขุมนรกจะพุ่งทะลวงหมอกหนาเข้ามาฉีกร่างทั้งสี่คนเป็นชิ้นๆ น่ากลัวเกินบรรยาย
โซซัดโซเซเช่นนี้ไปไม่รู้นานเท่าใด หมอกหนาสลายไปโดยไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า
ขณะที่ทั้งสี่จ้องมอง ก็พบว่าที่นี่เหมือนไม่ใช่ในสุสานเทพแล้ว
รอบด้านเป็นทิวเขาสีเขียวเข้มสลับขึ้นลง สูงตระหง่านเหมือนหินผา ดูแวบแรกดุจต้นไม้ใบหญ้างอกงาม แต่พอมองอย่างละเอียด ต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้นก็กลายเป็นหินไปหมดแล้ว ไม่มีลม ไม่ขยับเขยื้อน ประหนึ่งโลกที่หยุดนิ่ง ไม่มีความมืดทึมลึกลับของเขตใจกลางสุสานก่อนหน้านี้ มีเพียงความเงียบวังเวงอย่างประหลาด
ทางบันไดหินเล็กๆ สายหนึ่งค่อยๆ ทอดยาวจากใต้เท้าพวกเขาเข้าสู่ในภูเขา
สี่คนลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเดินตามทางเดินเล็กไป
ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา ก็เห็นอุทยานขนาดไม่ใหญ่มากแห่งหนึ่งที่มีสิ่งปลูกสร้างโบราณเรียงถี่ยิบปรากฏขึ้นตรงปลายทาง อุทยานนี้สร้างติดภูเขา ต้นไม้ใบหญ้าที่กลายเป็นหินขึ้นเป็นกลุ่มอยู่ตรงกลาง ชัยภูมิยอดเยี่ยมมาก
“เป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีเหลือเกิน”
ชิงเฟิงอดเอ่ยปากชมไม่ได้
เขาได้รับวิชาหลากหลายมาจากหลี่มู่ ในด้านฮวงจุ้ยก็มีความชำนาญอยู่ ไม่แน่อาจจะเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าครูไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เพียงแค่มองผ่านๆ ก็รู้สึกได้ว่าอุทยานแห่งนี้มีพลังแห่งฟ้าดินถึงขีดสุด น่ากลัวว่าดวงชะตาและชีพจรวิญญาณในรัศมีพันลี้จะถูกอุทยานครอบครองไว้หมดแล้ว
ทว่า เขาก็ย่นคิ้วอย่างรวดเร็ว
พื้นที่ฮวงจุ้ยดีเช่นนี้ ทำไมต้นไม้รอบๆ จึงล้วนกลายเป็นหิน ตายไปแล้วทั้งหมด ราวกับเป็นดินแดนรกร้างหายนะที่ทุกสรรพชีวิตสูญสิ้น
คนทั้งสี่มาถึงประตูอุทยาน
ประตูใหญ่ปิดสนิท
บนป้ายของอุทยานสะอาดเอี่ยมไร้ฝุ่น ตัวอักษรสีทองบนพื้นน้ำเงินเขียนไว้ว่า ‘อารามอู่จวง’
“พี่ชิงเฟิง ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าอารามแห่งนี้มองแล้วรู้สึกผูกพันมาก เป็นความรู้สึกประหลาด เหมือนกับ…มันเหมือนกับ….” เด็กสาวหมิงเยวี่ยเกาหัว หาคำเปรียบเทียบที่เหมาะสมไม่ได้
ชิงเฟิงเอ่ย “เหมือนกับกลับบ้าน”
“ใช่ๆๆ เหมือนได้กลับบ้านเลย พี่ชิงเฟิง พี่ก็รู้สึกเช่นนี้หรือ?” หมิงเยวี่ยพลันรู้สึกราวถูกพูดสิ่งที่ตนคิดออกมา
ชิงเฟิงพยักหน้ารับ
ส่วนหวางซืออวี่อีกด้านกลับมีสีหน้าตกตะลึง และเหมือนจะตื่นเต้นอยู่เบาๆ
อารามอู่จวง?!
อารามอู่จวงของเจิ้นหยวนจื่อ บรรพชนแห่งเซียนพิภพที่เคารพแต่ ‘ฟ้าดิน’ ในเรื่องไซอิ๋วคนนั้นน่ะหรือ?
หากเป็นก่อนหน้านี้ หวางซืออวี่คงคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ถึงอย่างไรชื่ออารามอู่จวงก็ใช่ว่าไม่ค่อยจะมี พบเห็นได้บ่อยๆ ทว่าตั้งแต่ได้ฟังสิ่งที่หลี่มู่พบเห็นจากในฟ้านิจนิรันดร์ ได้รู้เรื่องการมีอยู่ของ ‘ขี่เมฆาเหินฟ้า’ และ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ หวางซืออวี่ก็ไม่อาจไม่เชื่อมโยงอารามอู่จวงที่เห็นตรงหน้านี้กับอารามอู่จวงของเจิ้นหยวนต้าเซียนในเรื่องไซอิ๋วได้
ถ้าหากเป็นอารามอู่จวงจริงๆ ละก็ ไม่ใช่ว่าจะมีต้นผลทารกอยู่ด้วยหรือ
แล้วถ้ากินผลทารกนี้เข้าไป จะรักษาอาการเรื้อรังที่ตนฝึกบำเพ็ญไม่ได้ได้ใช่หรือไม่?