จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 442 ผลทารก
“เข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
หมิงเยวี่ยอดรนทนไม่ไหว
หยวนโห่วเดินเข้าไปผลักประตู
เขาบำเพ็ญวิชาปาจิ่วเสวียนมา พูดได้ว่ามีพละกำลังแห่งเทพ สามารถขยับขุนเขาเคลื่อนย้ายหน้าผาได้ มีพลังกายเนื้อรองลงมาจากหลี่มู่เท่านั้น ทว่าเมื่อสองมือทาบบนห่วงประตู ไม่ว่าจะออกแรงสักเท่าใด บานประตูกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ใช้แรงจากการดื่มนมจนหมด ก็ยังไม่สามารถผลักประตูให้เปิดออกได้
“ไม่ไหว ประตูบานนี้มีวิชาเต๋าปิดผนึกไว้” หยวนโห่วสั่นศีรษะ เขาเปิดไม่ออก
“อ๋า? พี่วานรไหวไหมเนี่ย” หมิงเยวี่ยหัวเราะคิกคักเอ่ยต่อ “ให้ข้าลองดูหน่อย”
มือเล็กทาบลงบนประตู
ก็ไม่รู้ว่าตาลายหรืออย่างไร ทุกคนล้วนรู้สึกว่าขณะที่มือขาวนุ่มเล็กบางของหมิงเยวี่ยทาบลงบนบานประตูใหญ่ของวัดห้าแผ่นดิน เหมือนกับมีแสงกระแสวนเป็นชั้นขึ้นรางๆ ส่องสว่างและหายไปในทันที
เอี๊ยด!
ประตูใหญ่เปิดออกด้วยตัวเองแล้ว
“อะไรกัน?” หยวนโห่วถลึงตาจนแทบจะระเบิด
หมิ่งเยวี่ยลิงโลดขึ้นทันที หันหน้ากลับมาอวดอย่างภาคภูมิใจ “พี่วานร พี่ไม่ไหวแล้วนา ข้าแค่ผลักเบาๆ ประตูก็เปิดออกแล้วเนี่ย”
ชิงเฟิงราวกับครุ่นคิดอยู่
ทั้งสี่คนเข้าไปด้านในประตูใหญ่ ห้องหับเรือนหน้าของอุทยานเรียงเป็นระเบียบ ล้วนสร้างจากอิฐและกระเบื้อง ค่อนข้างมีอายุ เมื่อเดินเข้าไป มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ และยังมีพื้นที่เพาะปลูก เรียงอย่างเป็นระเบียบ บ่อน้ำนับสิบวางอยู่หัวแปลงนา เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งชีวิต
“ที่นี่เป็นวัดเต๋าแห่งหนึ่ง และเคยรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงหนึ่ง”
ชิงเฟิงมองแล้ว ตัดสินพิจารณาขึ้นในใจ
สิ่งปลูกสร้างด้านในอุทยาน สอดคล้องกับความเร้นลับแห่งฮวงจุ้ย ต่อให้เป็นเพียงบ่อน้ำหนึ่งบ่อ กระเบื้องหนึ่งแผ่น ล้วนมีความหมายในการคงอยู่บนพื้นที่นั้นทั้งสิ้น ชิงเฟิงเพียงแค่มอง ก็รู้สึกว่าทั่วทั้งตัวได้ตกเข้าไปอยู่ในพลังงานแห่งความลี้ลับบางอย่าง
“ทำไมรู้สึกเหมือนเคยรู้จักที่นี่เลย” หมิงเยวี่ยสังเกตส่วนในอุทยานนี้อย่างแปลกๆ เอ่ยขึ้นว่า “พี่ชิงเฟิง พี่รู้สึกเหมือนกันไหม?”
ชิงเฟิงพยักหน้า “รู้สึกเหมือนเคยเห็นในความฝัน”
หมิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง “ใช่แล้วใช่แล้ว ข้าก็รู้สึก เหมือนกับเคยฝันเห็นฉากในนี้บางส่วน นี่มันแปลกประหลาดจริงๆ”
หยวนโห่วไม่พูดอะไร
แต่ในใจของเขา ก็เหมือนมีความใกล้ชิดจางๆ เช่นกัน ลักษณะสิ่งปลูกสร้าง การจัดวางรอบๆ ทำให้เขารู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
หวางซืออวี่กลับไม่ได้รู้สึกมากมายเช่นนั้น
นางพยายามทวนความจำเรื่องที่เกี่ยวกับวัดห้าแผ่นดินในไซอิ๋วฉบับเก่าที่ตนเองเคยดูมาอยู่ตลอดในหัว หวังว่าจะสามารถยืนยันกับอุทยานที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ได้ และหาตำแหน่งที่ตั้งของต้นโสมมนุษย์
ตลอดการเดินมาของทั้งสี่ภายในอุทยาน ได้เห็นห้องสงบใจ ห้องฝึกตัน ห้องฝึกฌานเป็นต้น เรียงกันสวยและสงบเงียบ ไม่มีฝุ่นแม้เพียงน้อย และไม่มีพวกหยากใย่แมงมุมอีกด้วย ราวกับว่าทุกวันมีคนมาคอยทำความสะอาดอุทยานแห่งนี้
ทว่าตลอดที่เดินมา ไม่พบกับผู้ใดเลย
บนชั้นหนังสือของห้องฝึกตัน ห้องฝึกฌานบางส่วนล้วนว่างเปล่า
ทั่วทั้งวัดห้าแผ่นดินล้วนว่างเปล่า ไม่พบคน ไม่พบสิ่งของใดๆ มีเพียงห้องว่างๆ เท่านั้น
ห้องเต๋าเรียงเป็นชั้นๆ กว่าร้อยห้อง
วิหารเต๋าที่อยู่ในกลางสุดใหญ่โตมโหฬาร แบ่งเป็นเจ็ดชั้น บนกำแพงด้านหน้า มีอักษรใหญ่สองตัวเขียนไว้ว่า ‘ฟ้าดิน’ ลายมือหม่นๆ มีไว้เพื่อเซ่นไหว้บูชาเทพเจ้า แต่กลับไม่มีเชื้อเพลิงใดๆ ด้านในกระถางธูป มีเขม่าธูปอยู่ครึ่งกระถาง กลิ่นหอมจรุง
ชิงเฟิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ใจสั่นกึก บอกกับหมิงเยวี่ยว่า “กระถางธูปนี้ เจ้าติดไปด้วยเถอะ เขม่าธูปด้านในก็ไม่ต้องเททิ้ง รู้สึกเหมือนจะนำมาใช้ประโยชน์ได้”
หมิงเยวี่ยกระโดดออกไป หยิบเอากระถางธูปมาพิจารณาอย่างละเอียด
นี่เป็นกระถางธูปสองหูสามขาที่ทำจากทองเหลือง ผ่านกาลเวลาไปนานแต่ยังดูใหม่เอี่ยม มีสีเหมือนกับทองคำ ไม่มีคราบสันดาปใดๆ ตีออกมาในลักษณะโบราณเรียบง่ายสวยงาม ตัวกระถางสลักอักษรไว้ ไม่รู้ที่มาที่ไป น้ำหนักน่าจะหนักหลายร้อยชั่ง
“ไปเถอะ” ชิงเฟิงมองว่าในวิหารไม่น่าจะมีสิ่งของอื่นใดอีก
หวางซืออวี่จ้องมองตัวอักษร ‘ฟ้าดิน’ บนกำแพงอย่างมึนงง ในใจอดตื่นเต้นเอาไว้ไม่ได้ เพราะในนิยายไซอิ๋วเคยเขียนไว้ ว่าในวัดห้าแผ่นดินของเจิ้งหยวน สิ่งที่กราบไหว้บูชาก็คือฟ้าดินสองคำนี้ เณรน้อยในวัดเคยบอกไว้ ว่าสิ่งที่นอกเหนือจากสองคำนี้ อาจารย์ของพวกเขาล้วนไม่กราบไหว้
นางในตอนนี้ สามารถยืนยันได้ ว่าอุทยานแห่งนี้ จะต้องเป็นวัดห้าแผ่นดินของเจิ้งหยวนต้าเซียนแน่นอน
เช่นนั้นแล้ว ต้นโสมมนุษย์อยู่ที่ใดกัน?
ทั้งสี่คนเดินออกจากวิหารใหญ่ เดินตรงไปทางเรือนหลัง
ครู่ต่อมา ก็ได้มาถึงด้านนอกของสวนผลไม้แห่งหนึ่ง กั้นไว้ด้วยกำแพงล้อม และรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมประหลาดบางอย่าง และมีพลังแห่งชีวิตที่เหมือนกับคลื่นดอกไม้ไร้รูปร่างทะลุกำแพงล้อม สีเขียวมรกตเป็นชั้นๆ
เปิดประตูเข้าไป
ต้นไม้ยักษ์สูงนับสิบจั้งต้นหนึ่ง กิ่งก้านหนาหนัก ต้นหลักขนาดสิบคนโอบ แตกแยกกิ่งที่ไม่เหมือนกันออกมา เปลือกไม้สีขาวหยาบให้ความรู้สึกมีอายุ จากพื้นดินขึ้นไปสูงราวสามจั้ง มีเพียงกิ่งแห้ง ไม่มีใบไม้ เหนือสามจั้งขึ้นไป กิ่งก้านแน่นขนัดไปด้วยใบไม้
ใบไม้ทุกใบ ล้วนมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ ราวกับมรกตที่เจียรไนอย่างดีที่สุดบนโลกอย่างไรอย่างนั้น แผ่แสงสีมรตก ขึ้นๆ ลงๆ แสงไหลเต็มไปด้วยสีสัน สวยงามจับจิต
ส่วนยอดบนสุดของต้นไม้ มีผลไม้สีท้อชมพูแดงอยู่สี่ลูก
หมิงเยวี่ยเมื่อมอง ก็รู้สึกตกตะลึงทันที กระโดดเหยงถอยมาหลายก้าว เอ่ยขึ้นว่า “ให้ตายสิ แย่แล้ว ต้นไม้ต้นนี้แขวนเด็กเอาไว้ตั้งหลายคน หรือว่าต้นไม้นี้จะเป็นต้นไม้ปีศาจที่คอยจับเด็กกินกัน?”
หยวนโห่วก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน รีบร้อนลากรถเข็นถอยออกมาหลายก้าว
เด็กน้อยสีท้อแดงเหล่านั้น ทั้งหมดล้วนดูมีชีวิต ราวกับเป็นทารกน้อยแรกเกิดอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้ามีรอยยิ้ม ถูกรากไม้เสียบเข้ามาจากด้านหลัง สั่นงกเงิ่นอยู่ที่ปลายกิ่ง มองดูแล้วเหมือนกับถูกรากไม้แทงจนทะลุแผ่นหลังแขวนเอาไว้ที่ปลายกิ่ง
“ไม่ใช่ นั่นเป็นผลไม้ ไม่ใช่เด็ก” ชิงเฟิงที่ใจเย็นที่สุดเอ่ยขึ้น “ออกผลอยู่บนต้นไม้ แต่นี่มันแปลกประหลาดมาก ทำไมผลไม้พวกนี้จึงมีรูปร่างเหมือนเด็กทารกกัน?”
ตอนนี้เอง หวางซืออวี่ได้เดินเข้าใกล้ต้นไม้ยักษ์ทีละก้าวๆ
ใบหน้าของนาง มีรอยยิ้มที่ตกตะลึง ยินดีและรู้สึกเหมือนภาพฝัน เคลิบเคลิ้มล่องลอย
“พี่สาวระวัง นี่มันต้นไม้ปีศาจ…” หมิงเยวี่ยรีบเตือนขึ้น คิดจะเข้าไปดึงนางกลับมา
หวางซืออวี่หันกลับมา หัวเราะร่าขึ้น เอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ต้นไม้ปีศาจอะไรหรอก นี่คือต้นโสมมนุษย์ สมบัติแห่งฟ้าดินเลยนะ…ที่แท้ตำนานทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง ทั้งหมดในไซอิ๋วล้วนเป็นเรื่องจริง”
น้ำเสียงของนาง สั่นระริกเล็กน้อย
“ต้นโสมมนุษย์? พี่สาวรู้จักที่มาของต้นไม้นี้ด้วยหรือ” หมิงเยวี่ยถามขึ้นอย่างตกตะลึง
หวางซืออวี่พยักหน้า ตอบว่า “ต้นโสมมนุษย์ เป็นต้นไม้เทพเจ้าที่ล้ำค่าที่สุดบนผืนดิน ถูกเรียกว่ารากวิญญาณแห่งฟ้าดิน จำเป็นต้นไม้ปีศาจไปได้อย่างไร”
“ต้นโสมมนุษย์?” ชิงเฟิงตาเป็นประกาย เอ่ยถามว่า “ท่านหญิงรู้จักที่มาของต้นไม้นี้ด้วย?” รู้จักกระทั่งชื่อ ก็เป็นไปได้ว่าจะต้องรู้จักที่มา
หวางซืออวี่หัวเราะพยักหน้า ตอบว่า “ใช่แล้ว วัดห้าแผ่นดินแห่งนี้ เคยมีบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งอาศัยอยู่ ถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งเซียนดินที่ชื่อว่าเจิ้งหยวนต้าเซียน ต้นไม้นี้เป็นสมบัติของเขา สามพันปีดอกจะบานหนึ่งครั้ง อีกสามพันปีจะออกผล ผ่านไปอีกสามพันปีถึงจะสุก ภายในหนึ่งหมื่นปี จะออกผลมาเพียงสามสิบหกลูก เป็นสมบัติที่มีเพียงเซียนดิน เทพสวรรค์เท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติลิ้มชิมรส ผลไม้ชนิดนี้ ยอดเยี่ยมมหัศจรรย์อย่างมาก ต่อให้เป็นคนธรรมดา เพียงแค่ได้กลิ่น ก็สามารถมีชีวิตไปได้ถึงอายุสามร้อยหกสิบปี กินไปหนึ่งผล สามารถอายุยืนยาวถึงสี่หมื่นเจ็ดพันปี เจ้าว่า มันล้ำค่าหรือไม่กัน?”
สามคนที่เหลือ ฟังจนตาค้างลิ้นพันกัน
พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องของต้นไม้กับผลไม้เทพนี้เลย
ระหว่างฟ้าดิน มีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?
แต่ให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ ก็ยังอายุยืนไม่ถึงสี่หมื่นเจ็ดพันปีเลยนะ
อายุยิ่งยืนยาว ใช้ชีวิตยิ่งยาวนาน ก็เท่ากับว่ามีความหวังอันไร้ขีดจำกัด ไม่แก่ไม่เฒ่า นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ล้วนเป็นความใฝ่ฝันของผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ทุกคน รวมไปถึงพวกเทพมารด้วย สี่หมื่นเจ็ดพันปีถือว่าใกล้เคียงกับไม่แก่ไม่เฒ่าแล้ว
หมิงเยวี่ยกลืนน้ำลาย เอ่ยต่อ “นี่ ดูแล้วน่าอร่อยเหมือนกันนะ”
“ท่านหญิงทำไมจึงรู้ถึงความลับของมัน?” ชิงเฟิงถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
หวางซืออวี่ที่ไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้ ไม่รู้วรยุทธ์ ควรจะมองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์ของต้นไม้นี้ ต่อให้ในตำราลับทั่วทั้งราชวงศ์ซ่งเหนือ ก็ไม่ควรจะมีบันทึกถึงสิ่งเหล่านี้อยู่
“ถ้าหากพี่มู่อยู่ที่นี่ เขาก็จะมองออกเช่นกัน” หวางซืออวี่ไม่ได้อธิบายอะไรละเอียดนัก เอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าดู บนต้นไม้นั่น มีผลทารกอยู่สี่ผล สีสันมันวาวชุ่มชื้น แผ่กลิ่นหอมประหลาด นี่อธิบายได้ว่าผลไม้สุกแล้ว พวกเราวันนี้มาที่นี่กันสี่คน ก็อธิบายได้ว่านี่คือโอกาสพรหมลิขิตของพวกเราทั้งสี่”
ความฝันแห่งการอายุยืน ห่างอยู่เพียงแค่นี้
“เสียดายที่คุณชายไม่อยู่ที่นี่” หมิงเยวี่ยงึมงำ
ชิงเฟิงหัวเราะเอ่ยต่อ “ของข้าลูกนั้น เก็บไว้ให้คุณชายก็แล้วกัน”
ลูกกระเดือกของหยวนโห่วขยับ กลืนน้ำลายเอื๊อก ปากลิ้นแห้งผาก ทว่าก็ยังเอ่ยมาว่า “ลูกนั้นของข้าน้อยเก็บไว้ให้เจ้านายเถอะ”
หมิงเยวี่ยเอ่ยตาม “พวกเจ้าสองคน ผลไม้ยังไม่ทันจะเด็ดลงมา ก็แบ่งกันแล้วหรือ ไม่ต้องละ ของข้าลูกนั้นเก็บไว้ให้คุณชายเถอะ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็แข็งแกร่งมากแล้ว คิกๆ…”
หวางซืออวี่รู้สึกเกินคาด
เผชิญหน้ากับความยั่วยวนนี้ เด็กน้อยสองคนนี้กับวานรอีกตัวหนึ่ง กลับสามารถเอาชนะความละโมบในใจได้ เรื่องนี้ทำเอานางรู้สึกซาบซึ้งจนแสดงออกมาบนใบหน้าเลยทีเดียว
หยวนโห่วใช้ท่าร่าง กระโดดขึ้นไปยังยอดต้นไม้ ยกมือขึ้นเด็ดผลลงมา
ทว่าสิ่งประหลาดได้บังเกิดขึ้น
ฝ่ามือของหยวนโห่ว เห็นชัดๆ ว่าคว้าผลทารกไว้แล้ว ทว่ากลับจับไม่ได้ ราวกับผลไม้นี้เป็นเพียงเงา ไม่ใช่ของจริง หยวนโห่วพยายามติดต่อนับสิบรอบ แต่กลับไม่สามารถเด็ดผลไม้ลงมาได้
“เกิดอะไรขึ้น? หรือว่านี่เป็นค่ายกลลวงตา” หยวนโห่วกระโดดลงมาจากยอด ในใจรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมาก
หมิงเยวี่ยและชิงเฟิงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“อ๊า ข้ารู้แล้ว พวกเจ้ารอข้าก่อน” หยางซืออวี่จู่ๆ ได้เข้าใจขึ้นมา หันหลังวิ่งออกจากสวนผลไม้ไป ราวกับไปหาอะไรบางอย่าง
ผ่านไปไม่นาน นางก็วิ่งกลับมาอย่างลิงโลด
“ใช้เจ้านี่ ถึงจะสามารถเด็ดผลไม้ลงมาได้” มือของนางมีกระบองเล็กทองบริสุทธิ์อยู่เล่มหนึ่ง ยาวราวสองชุ่น หัวด้านหนึ่งเหมือนหัวกะเทียมตะปุ่มตะป่ำ อีกด้านหนึ่งเป็นตาเล็กๆ ผูกเอาไว้ด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่ง และเอ่ยต่อว่า “ผลทารกเมื่อถูกดินจะเหี่ยวเฉา ถูกน้ำจะละลาย ถูกไฟจะไหม้เกรียม ถูกดินจะซึมหาย ถูกทองจะร่วงหล่น ต้องใช้ ‘กระบองทอง’ เล่มนี้ ถึงจะสามารถตีมันจนหลุดร่วงได้”
กระบองทอง?
พวกของชิงเฟิงตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าเมื่อครู่หวางซืออวี่วิ่งไปหา ‘กระบองทอง’ มานี่เอง
แต่ว่า นางรู้เยอะขนาดนี้ได้อย่างไร?
หยวนโห่วรับกระบองทองมา กระโดดขึ้นต้นไม้ ใช้ ‘กระบองทอง’ เคาะเบาๆ ผลทารกก็ราวกับสุกจนได้ที่ หลุดร่วงลงมา หมิงเยวี่ยที่อยู่ด้านล่างรีบดึงชายผ้ามารับเอาไว้
เพียงไม่นาน ผลทารกทั้งสี่ ก็ถูกเด็ดลงมาจนหมด
“ผลทารกนี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน จะต้องรีบกินลงไปทันที มิเช่นนั้น มันจะละลายหายไประหว่างฟ้ากับดิน จะเสียพรจากสวรรค์นี้ไป” หวางซืออวี่บอกต่อ
“เอ๋?” ทั้งสามคนรู้สึกมึนงง
ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็เก็บไปให้หลี่มู่ไม่ได้แล้วสิ?
หวางซืออวี่เอ่ยต่ออีก “เข้ามาในสุสานเทพ ต่างคนล้วนมีพรหมลิขิตของตนเอง พี่มู่อาจจะได้รับโอกาสพรหมลิขิตที่ดีกว่านี้ก็เป็นได้ เรื่องเหล่านี้ ไม่สามารถบีบบังคับกันได้”
หมิงเยวี่ยก้มลงมองผลทารกทั้งสี่ผลในชายเสื้อ ก็พบว่า ตัวผลไม้เริ่มที่จะแดงขึ้น ราวกับสุกงอมเต็มที่ หากผ่านไปอีกครู่ คงจะสุกจนเน่าแน่
ทั้งสี่คนหารือกัน ท้ายสุดจึงไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแบ่งกันไปคนละผล
หมิงเยวี่ย ชิงเฟิง และหยวนโห่ว ล้วนมีสีหน้าตื่นเต้น ผลไม้เทพเช่นนี้ เป็นถึงสมบัติแห่งฟ้าดินเลยนะ กินหนึ่งผลสามารถไม่แก่ไม่เฒ่าได้ นี่มันเป็นโอกาสพรหมลิขิตแบบไหนกัน ไม่ตื่นเต้นไม่ได้เลยจริงๆ
ในมือหวางซืออวี่ประคองผลทารกลูกหนึ่งไว้ ในใจตื่นเต้นเหลือคนา ราวกับว่าฝันไปอย่างไรอย่างนั้น จากตำนานสู่ความเป็นจริง ตอนเด็กๆ นั่งดูละครไซอิ๋วมองเห็นผลทารกอยู่ทุกวัน ไม่คิดเลยว่า ตนเองจะสามารถมีโอกาสได้มากินผลทารกเช่นนี้
หากกินผลไม้นี้ลงไป ตนเองจะสามารถตีแตกพันธนาการ แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญได้แล้วสินะ? สามารถยืนหยัดเคียงข้างพี่มู่ สามารถจับมือร่วมกัน โลดแล่นในใต้หล้าได้แล้วสินะ ไม่ต้องเป็นภาระเขาอีกต่อไป
นางกอดเอาความปรารถนาอันสวยงามและบริสุทธิ์ไว้ อ้าปากกัดลงไปที่ผลทารก...
แต่ในตอนนี้เอง สิ่งประหลาดก็บังเกิดขึ้น
ผลทารกในมือนางจู่ๆ ราวกับมีชีวิต มือเท้าดิ้นรนไปมา ใช้เท้าถีบเข้าไปที่ข้อมือของหวางซืออวี่ จากนั้นจึงดิ้นหลุดออกมา…