จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 446 เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารข้าแล้วหรือ?
“ฮ่าๆ น้องสาม เจ้าพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ เยวี่ยกั๋วเซียงคนนี้ เป็นพวกมักเกิล[1]จริงๆ หลังจากได้อุปกรณ์เต๋าเทพมาไว้ในมือ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องนำมาอวด จนถูก ‘หอกอัสนีทะยาน’ ของข้าแทงจนพรุน”
เสียงหัวเราะอย่างเบิกบานดังลั่น ร่างเงาที่สังหารเยวี่ยกั๋วเซียงปรากฏตัวขึ้น ชายรูปร่างสูงใหญ่คางเหลี่ยม ทั่วร่างล้วนมีกลิ่นอายอันองอาจผึ่งผาย ราวกับเป็นราชาหมาป่าจากที่ราบทุ่งหญ้า ถ้าไม่ใช่กัวอวี่ชิงแล้วจะเป็นใครกัน
หลี่มู่ก็หัวเราะร่าขึ้นมาด้วย เอ่ยว่า “ฮี่ๆ ข้าพูดไว้ไม่ผิดเลยใช่ไหม หอกอัสนีทะยานไม่มีอะไรที่แทงไม่ทะลุ รวดเร็วดุจสายฟ้า กระทั่งอุปกรณ์เต๋าระดับสูงก็สามารถทำลายได้ เหมาะสำหรับการลอบโจมตี แล้วตัวพี่ใหญ่ก็พลังไร้เทียนทานอีก จัดการเยวี่ยกั๋วเซียงได้อย่างง่ายๆ ฮ่าๆๆ ต่อให้ที่นี่จะมีคนมากขนาดนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถต้านทานหอกของพี่ได้”
ทั้งสองพูดชมตนเองกันขึ้นมาต่อหน้าธารกำนัล
ทุกคนในที่นี้ ล้วนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
การตายของเยวี่ยกั๋วเซียง รวดเร็วมากจริงๆ เขาที่ผ่านการดูดกลืนชีวิตเพื่อฟื้นคืนพลังบำเพ็ญส่วนใหญ่มาแล้ว และยังมี ‘เกราะคลุมไฟเก้ามังกรเทพ’ ในมือ แทบจะอยู่ในตำแหน่งไร้พ่าย ทว่ากลับถูกสังหารในพริบตา วิญญาณแตกสลายกลายเป็นฝุ่นควัน ทำให้พวกเขารู้สึกสะเทือนขึ้นในใจทันที
บนเส้นทางสายใหญ่แห่งการต่อสู้ พลาดเพียงก้าวเดียว ก็คือหายนะแห่งความตาย ไม่เหลือหนทางใดๆ ที่จะหันหลังชดเชยได้อีก
โดยเฉพาะที่พวกเขาเห็นกัวอวี่ชิงที่แบกชุดเกราะระเกะระกะมากมาย มือขวามีหอกยาวสีเงินเล่มหนึ่ง มือซ้ายกำพัดห้าสีอีกด้าม ใต้วงแขนหนีบเอา ‘เกราะไฟเก้ามังกรเทพ’ ในใจก็อดเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้
หอก พัด เกราะ ล้วนเป็นสมบัติเต๋า
บนร่างของคนหนึ่งคน มีถึงสามชิ้น
อู้ฟู่เสียเหลือเกิน
โดยเฉพาะพลังที่กัวอวี่ชิงแสดงออกมาเมื่อครู่ ทำเอาพวกเขาตกตะลึงและระแวดระวังขึ้นมา
ทุกคนล้วนคำนวณอยู่ในใจ หอกที่แทงเยวี่ยกั๋วเซียงเมื่อครู่ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นพวกเขา จะสามารถรับได้หรือไม่? หลังจากลองคิด สันหลังก็เย็นวาบ เพราะคำตอบของคนส่วนใหญ่คือทานไว้ไม่อยู่
เพียงนักฆ่าแทงหอก น่ากลัวสุดแสน
ด้วยเหตุนี้ ในฉากจึงแข็งนิ่งชั่วระยะหนึ่ง
หลี่มู่หัวเราะฮี่ๆ ไม่รอให้ทุกคนดึงสติกลับมา ตรงไปยังกองฝุ่นสีดำของร่างเยวี่ยกั๋วเซียงที่สลายไป ขยับไปมา ดึงเอาอุปกรณ์บนตัวของเยวี่ยกั๋วเซียงหลายชิ้น เก็บมาไว้กับตัวอย่างไม่มีเกรงใจแม้เพียงน้อย
ขั้นตอนทั้งหมด คล่องแคล่วว่องไว เห็นได้ชัดว่า ‘แกะกล่องพัสดุ’ มาเสียจนชิน
ทุกคนเมื่อเห็นฉากนี้ ก็อดเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดจากส่วนลึกในจิตใจไม่ได้
“เจ้าทั้งสอง?” จอมมารฟ้าที่ได้สติกลับมาเป็นคนแรก ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้น “แค่พวกเจ้าสองคนกลับกล้าปล้นคนอื่นต่อหน้าข้าเช่นนี้เลยหรือ?”
หลี่มู่ยิ้มแจ่มใส จากนั้นจึงดีดนิ้วดังขึ้น
ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ เดินเข้ามาจากประตูวัดห้าแผ่นดิน มายืนอยู่ด้านหลังหลี่มู่อย่างตระหนักได้ถึงความเป็นน้องเล็ก ขนาบข้างปกป้องหวางซืออวี่ ชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั้งสี่คนไว้ตรงกลาง ถึงอย่างไรทั้งสี่คนนี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญจากทางช้างเผือก เรื่องพลังนั้นได้อยู่
“ตอนนี้ไม่ใช่สองคนแล้วสินะ?” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
จอมมารฟ้าประหลาดใจ แต่สายตาของเขา เมื่อกวาดมายังร่างของทั้งสี่คนแล้ว ได้เอ่ยคำพูดเหยียดหยามขึ้น “ก็แค่แมลงตัวจ้อยจากสำนักกำเนิดฟ้าสี่คน มีพวกเขาเพิ่มเข้ามาก็ไม่ต่างอะไรกับไก่สุนัข”
บนร่างของพวกชายจมูกเหยี่ยวงุ้มศิษย์ทั้งสี่สำนักกำเนิดฟ้า ล้วนมีอุปกรณ์เต๋าชั้นยอด เสื้อเกราะ หมวก อาวุธมากมายติดเอาไว้ เห็นแล้วประหลาดอย่างมาก ราวกับเป็นทหารหนีทัพ
ทว่าอดยอมรับไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พลังการสู้รบของทั้งสี่คนนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
นี่เป็นผลประโยชน์จากการเปลี่ยนความคิดของหลี่มู่
ขณะที่ทำการหาสมบัติก่อนหน้า หลี่มู่จู่ๆ คิดขึ้นมาได้ ว่าได้ฝังยันต์เต๋าไว้ในร่างของคนทั้งสี่แล้ว ควบคุมได้อย่างหมดจด จะเป็นหรือตายก็อยู่ภายใต้การร่ายในใจของเขา ดังนั้นจึงมอบสมบัติบางส่วนให้พวกเขา เมื่อติดยุทโธปกรณ์ พลังก็ได้เพิ่มขึ้น น่าจะช่วยเหลือตนเองได้มากพอควร
“นี่ เหมือนมีคนมาดูถูกพวกเจ้านะ” หลี่มู่มองไปยังศิษย์ทั้งสี่แห่งสำนักกำเนิดฟ้า
ใบหน้าของศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ปรากฏความเดือดดาลขึ้นจริงๆ เพียงแต่ความเดือดดาลนี้สามส่วนมาจากคำพูดเหยียดหยามของจอมมารฟ้า แต่เจ็ดส่วนที่เหลือมาจากการส่งเสริมยุยงของหลี่มู่
แสงหรี่ระยิบระยับ ในมือของพวกเขาทุกคน ได้ปรากฏสมบัติเต๋าคนละหนึ่งชิ้นขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
“ดูถูกพวกเรา ก็เท่ากับดูถูกเจ้านาย” ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มเอ่ยขึ้น
“คนที่ดูถูกเจ้านาย สมควรตาย” ชายคิ้วตรงเสริมมา
“ความตายมีหลายรูปแบบ” ชายผอมสูงเอ่ยต่อ
“พวกเราสามารถมอบให้ได้สี่ประเภท” ปิดท้ายด้วยศิษย์คนสุดท้าย
‘สากสะท้านใจ’ ในมือของชายจมูกเหยี่ยวงุ้ม ชายคิ้วตรงถือ ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ ศิษย์ร่างผอมสูงถือกระบองสั้นสีทอง เปล่งแสงเต๋า เพียงดูก็รู้ว่าเป็นสมบัติเต๋าที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าสากสะท้านใจ ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าคนสุดท้าย กลับถือกระเป๋าห้าสีไว้ใบหนึ่ง ล้วงเอาหินห้าสีสิบแสงออกมาจากด้านใน มีคลื่นพลังวิญญาณไหลเวียน…
คนสี่คน สมบัติเต๋าสี่ชิ้น
คนสี่คน สี่ประโยค
เมื่อรวมกันแล้ว ดูมีพลังอย่างมาก
ตอนนี้เอง สีหน้าของจอมมารฟ้าได้เปลี่ยนไป
เกิดอะไรขึ้น?
ได้รับสมบัติเต๋ากันมาด้วย?
นี่มัน…อู้ฟู่เกินไปหรือเปล่า?
ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ที่ไม่มีสมบัติเต๋า ก็เหมือนลูกพลับนิ่มที่เขาจะเด็ดทิ้งตอนไหนก็ได้ ทว่าพอมีสมบัติเต๋าแล้ว…ใครจะรู้ว่าสมบัติเต๋าประหลาดมากมายที่ได้รับจากวิหารสุสานเทพนี้ มีพลังอานุภาพน่ากลัวอะไรบ้าง แพ้ชนะก็บอกได้ยากแล้ว
หลี่มู่คนนี้ ไปเอาดวงเอาโชคมาจากไหน จึงได้รับสมบัติมากมายจากพื้นที่สุสานเทพเช่นนี้ กระทั่งคนรับใช้ก็ยังอู้ฟู่เหลือคนา ถือสมบัติเต๋ากันคนละชิ้น? นี่มันสวนทางสวรรค์เกินไปแล้ว
สถานการณ์เช่นนี้ ทำเอาสองสาวพี่น้อง เด็กชายเผ่าผู้วิเศษและหญิงชราไม้เท้าดำที่แขนขาต่อกันแล้วตกตะลึงเป็นอย่างมาก
พลานุภาพของ ‘ระฆังสะท้านวิญญาณ’ จากสมบัติเต๋าทั้งสี่ พวกเขาได้เห็นมาแล้ว มันราวกับฝันร้าย ทำเอาพวกเขาต้องจ่ายสิ่งที่ต้องแลกไปอย่างหนักหน่วง
ทว่าหลี่มู่กลับเอาระฆังชิ้นนี้มอบให้กับคนใช้ข้างกายตนเอง?
คำอธิบายที่สมเหตุสมผล มีเพียงอย่างเดียว
นั่นก็คือหลี่มู่มีสมบัติที่ร้ายกาจยิ่งกว่า
เช่นนั้นตอนนี้ก็เกิดปัญหาแล้ว
เมื่อมีสี่คนนี้ บวกหลี่มู่และกัวอวี่ชิง รวมแล้วก็เป็นยอดฝีมือหกคน เมื่อครู่ตอนที่ช่วยเหลือคน หลี่มู่และกัวอวี่ชิงได้แสดงพลังที่เพียงพอกับการต่อกรกับใครก็ตามได้ออกมาแล้ว เพียงพอที่จะทำให้ผู้บำเพ็ญทุกคนในที่นี้รู้สึกหวาดกลัว ส่วนศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าถึงแม้จะมีพลังที่อ่อนแอ ทว่าเมื่อมีสมบัติเต๋าในมือมันก็เป็นอีกเรื่อง…
ดังนั้น นับจากจำนวนคนแล้ว ฝั่งหลี่มู่ถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบกว่า
ใบหน้าของหญิงชราไม้เท้าดำปรากฏแววตกตะลึงหวาดกลัว เกิดความรู้สึกสั่นผวาดต่อหลี่มู่ ริมฝีปากของนางขยับไร้ซุ่มเสียง เหมือนกับกำลังพูดอะไรบางอย่างกับชายหนุ่มชุดดำสะพายดาบ
ครู่เดียวสายตาของชายหนุ่มชุดดำสะพายดาบ ที่จ้องมองระฆังสะท้านวิญญาณของชายคิ้วตรง ใบหน้าเคร่งขรึมราวน้ำค้างแข็ง ได้ปรากฏสีหน้าเพ่งสมาธิเตรียมพร้อมขึ้น
ดวงตาทั้งคู่ของจอมมารฟ้าเปล่งประกายสีแดง ไม่พูดไม่จา อาจจะเพราะแก้มรู้สึกเจ็บนิดหน่อย
ปู้เฟยเหยียนดึงน้องสาวมุทะลุเอาไว้ ใช้สายตาเย็นชาและประหลาดใจจ้องไปที่หลี่มู่ ในดวงตาฉายแววอริออกมาอย่างไม่ปิดบัง ถึงอย่างไรหลี่มู่ตอนที่อยู่ในวิหารเซียนทะยาน ได้ใช้ระฆังสะท้านวิญญาณมาปล้นเธอ สร้างตราบาปต่อสตรี แล้วจะไม่เอาคืนได้อย่างไรกัน?
บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตสีหน้านิ่งเงียบ มองไม่ออกถึงความคิด ราวกับกำลังเตรียมการอะไรอยู่
ส่วนจอมมารจันทราโลหิตก้มหน้าหลบตา ทำตัวนิ่งลงเรื่อยๆ อยู่ในท่าทีของข้าทาสอย่างแท้จริง ยืนอยู่ด้านหลังบุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต เก็บกลิ่นอายพลังทั้งหมด ไม่ให้หลี่มู่จำฐานะของตนเองได้
หลังจากกดดันสถานการณ์ไว้ หลี่มู่จึงเลิกสนใจพวกยอดฝีมือนอกพิภพลงชั่วคราว แล้วหันหลังกลับไปถาม “พวกเจ้าทั้งสี่คนเข้ามาได้อย่างไรกัน?”
วุ่นวายไปหมดเลยจริงๆ
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เพราะเขามาทันเวลา ครั้งนี้คงเกิดหายนะไปแล้ว
หมิงเยวี่ยก้มหน้าลงอย่างหวาดๆ
หยวนโห่วไม่พูดไม่จา
ส่วนหวางซืออวี่ขณะที่กะลังจะเอาความรับผิดชอบทั้งหมดมาไว้ที่ตนเอง ชิงเฟิงกลับแย่งขึ้นมาเสียก่อน ใช้คำพูดง่ายๆ สั้นๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างไม่มีปิดบังเสียรอบหนึ่ง
“อ่ะเร๊? ต้นผลทารก?” หลี่มู่ฟังจบก็ถลึงตาโต “มีผลทารกจริงๆ ด้วยหรือ?” นี่มัน..เรื่องราวยิ่งน่าสนใจขึ้นทุกทีเสียแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าพวกเขามีโอกาสเช่นนี้ ได้กินผลทารก หลี่มู่อดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่น้ำไม่ไหลเข้านาคนอื่น คนของตนเองได้กินไป ก็ถือว่าไม่ได้ขาดทุนอะไรนัก
มีเพียงหวางซืออวี่…
หลี่มู่มองเพื่อนร่วมโต๊ะเก่าอย่างกังวล
ผลลัพธ์คืออีกฝ่ายมีใบหน้ายิ้มพราย เอ่ยขึ้นว่า “ฉันไม่เป็นไร”
หลี่มู่พยักหน้า
ตอนนี้เอง…
“เช่นนี้ก็แล้วกัน บุญคุณความแค้นเมื่อก่อน วางทิ้งไว้ข้างหนึ่งเสีย วันนี้ทุกคนมารวมกันที่นี่ก็เพื่อจะสังหารมาร สำหรับพวกเราแล้วผลเซียนมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลี่มู่ เจ้าก็ต้องมีชี้แจงอะไรพวกเราบ้าง” บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิตเอ่ยปากขึ้นแล้ว ด้วยน้ำเสียงถ้อยทีเจรจา
เขารู้จักหลี่มู่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ปิดบังอะไร พูดชื่อหลี่มู่ออกมาตรงๆ
“เจ้าไม่ใช่อู่โหย่วเหรินจากสำนักมารฟ้าหรือ? เจ้า…” ปู้เฟยเหยียนเพิ่งตระหนักอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นจึงพูดออกมา เข้าใจในทันที ว่าก่อนหน้าโจรน้อยคนนี้แอบอ้างชื่อสำนักขึ้นส่งเดช โยนหม้อมาดึงดูดหายนะมั่วซั่ว…ไร้ยางอายถึงที่สุดจริงๆ
นางมองข้ามไป ก่อนหน้าเยวี่ยกั๋วเซียงเรียกชื่อจริงของหลี่มู่มาแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นนางยังตกตะลึงกับการตายาของเยวี่ยกั๋วเซียงอยู่ จนไม่ทันได้รู้สึกตัว
หลี่มู่ยิ้มพราย เอ่ยขึ้นว่า “พี่สาวนี่ล่ะก็ ชื่อนามเป็นเพียงแค่รหัสประจำตัวเท่านั้น เรียกว่าอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือพวกเราเคยสนิทสนมใกล้ชิดกันมาก่อน...”
ใครเคยสนิทสนมใกล้ชิดกับเจ้ามาก่อนกัน?
ใกล้ชิดสนิทสนมคืออะไร ทำไมอยู่ดีดีก็พูดอะไรกำกวมแบบนี้
ปู้เฟยเหยียนโมโหจนจะบ้า
ทว่าหลี่มู่ก็ไม่ปล่อยโอกาสให้นางโต้แย้ง หันหน้ากลับไปยิ้มเย็นชาใส่บุตรศักดิ์สิทธิ์ทะเลโลหิต เอ่ยขึ้นว่า “ส่วนเจ้า ชี้แจงบ้าบออะไรกัน เพื่อนของข้าได้กินผลทารก ก็ถือเป็นสวรรค์สร้างของพวกเขา โชคชะตาอยู่กับพวกเขา แต่พวกจรจัดไม่มีโชคอย่างพวกเจ้า กลับทำร้ายเพื่อนข้าจนบาดเจ็บสาหัส ไปคิดมาดีกว่าว่าจะชี้แจงกับข้าอย่างไร”
เขาไม่มีความหมายในการประนีประนอม ยกตนขึ้นข่ม เปลี่ยนจากแขกเป็นเจ้าบ้าน
จอมมารฟ้าหัวเราะเสียงประหลาด เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนี้ก็แล้วกัน ให้เพื่อนของเจ้า มอบเลือดที่แฝงไปด้วยพลังของผลเซียนมาคนละหนึ่งถ้วย แล้วเรื่องในวันนี้พวกเราจะไม่ถือสาเอาความชั่วคราว มิเช่นนั้นคงต้องเกิดการฆ่าล้างสังหารจนต้องเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่ายแล้ว”
แสงกระบี่วูบหนึ่ง ไหลเวียนขึ้นภายในปราณมารฟ้าที่ปกคลุมลงมา
นี่เป็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสมบัติเต๋า
ชัดเจนว่า ก่อนหน้านี้จอมมารฟ้าได้พบกับสมบัติในวิหารสุสานเทพแล้วเช่นกัน ตอนนี้จงใจแสดงออกมา เพื่อแสดงกล้ามเนื้อให้เห็นชัดแจ้ง
“เลือดที่แฝงพลังผลเซียนไว้ไม่มี แต่ขี้ที่แฝงพลังผลเซียนเอาไว้มีอยู่หลายกองเลย เจ้าจะเอาไหม? ไปเก็บเอาเลยตามใจชอบ ขณะที่ยังร้อนอยู่” หลี่มู่เอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ อาการท้องเสียที่ชิงเฟิงเล่ามาเมื่อครู่ ก็หยิบยกขึ้นมาเสียรอบหนึ่ง
“เจ้ามันรนหาที่ตาย” จอมมารฟ้าถูกเหยียดหยามอีกครั้ง บันดาลโทสะ
หลี่มู่จู่ๆ เอ่ยขึ้น “ไม่ถูกแฮะ น้ำเสียงเน้นย้ำกับกลิ่นอายของเจ้า มันเหมือนกับเพื่อนเก่าของข้าคนนึงเลย เอ ทำไมถึงได้เหมือนกันขนาดนี้…” เขาลูบคาง เอ่ยต่อ “เพื่อนเก่าที่ถูกข้าสังหารไป เขาชื่อว่าจักรพรรดิฉินหมิง เจ้าน่าจะรู้จักอยู่ใช่ไหม?”
ฟิ้ว!
แสงกระบี่สายหนึ่ง ฟันมายังหลี่มู่
หลี่มู่ไม่ขยับ
เผียะ
แสงเทพห้าสีสายหนึ่งสว่างขึ้น ซัดไปยังแสงกระบี่อย่างไม่คดไม่เคี้ยว กระแทกแสงกระบี่นั้นจนสลายไป เป็นศิษย์คนสุดท้ายแห่งสำนักกำเนิดฟ้าที่ถือกระเป๋าห้าสี ยกมือดีดหินห้าสีออกมาเม็ดหนึ่ง พลานุภาพน่าตกตะลึง ท่วงทำนองเต๋าปะทุขึ้นมา
“เหอๆ จักรพรรดิฉินตะวันตกจริงๆ แล้วถูกควบคุมโดยสำนักมารฟ้าสินะ…จักรพรรดิฉินหมิงคือหุ่นเชิดที่เจ้าสร้างขึ้นมาใช่ไหม?” หลี่มู่คิดออกเรื่องหนึ่ง มองออกถึงเบาะแสบางอย่าง
กลางเสียงหัวเราะ เห็นเขายกมือขึ้น ระฆังสะท้านวิญญาณในมือชายคิ้วตรง ลอยขึ้นกลางอากาศด้วยตนเอง หมุนติ้ว พองออก ขยายใหญ่
“เสียงสะท้านวิญญาณ เสียงแห่งการเพรียกหาสุดขอบฟ้า…ทุกๆ คน…จงล้มลงต่อหน้าข้าเสีย” หลี่มู่หัวเราะร่า ใช้พลังจิตกระตุ้นเสียงระฆัง
ติง ติง!
อักขระทำนองเต๋าแปลกประหลาด ถูกเสียงระฆังซัดสาดออกมา ครอบคลุมไปทั่ววัดห้าแผ่นดิน
ระฆังสะท้านวิญญาณ เหล่าวิญญาณสั่นสะท้าน
พลังคลื่นเสียงแปลกประหลาด ไม่แตกต่างจากการโจมตีลงไปยังทุกคนเบื้องล่าง
ตอนนี้ การควบคุมระฆังสะท้านวิญญาณของหลี่มู่ ถือว่าช่ำชองชำนาญแล้ว ไม่มีการทำร้ายพวกเดียวกันอีก
“อีกแล้วหรือ?” ปู้เฟยเหยียนสีหน้าเปลี่ยน ท่ามกลางเสียงตะโกนกังวาน แขนขาวยกขึ้น สะบัดผ้าเช็ดหน้าไหมถักลายเมฆผืนหนึ่ง บนนั้นมีลวดลายกระจกแปดเหลี่ยมไหลเวียนอยู่จางๆ นี่คือสมบัติเต๋าชิ้นหนึ่ง คลุมเอาพี่น้องสองสาวไว้ด้านใน แสงเมฆไหลเวียน ตัดขาดจากเสียงของระฆังสะท้านวิญญาณ และพุ่งทะยานออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
นางเคยเห็นความร้ายกาจของระฆังสะท้านวิญญาณมาแล้ว
เด็กชายเผ่าผู้วิเศษก็สีหน้าเปลี่ยน ถูกสาวสวยที่เขาขี่คออยู่ หันหลังกลับเผ่นออกไป
คนอื่นๆ ล้วนหน้าถอดสี บ้างก็หนี บ้างก็ใช้วิชาเพื่อป้องกัน
หลี่มู่อ้าปาก แสงเงินสายหนึ่งพุ่งทะยานออกมา แปรเปลี่ยนเป็นลูกกลอนดาบขนาดเท่ากำปั้นเด็ก เขาสุ่มหยิบดาบถลาลมที่ถูกชิงเฟิงหลอมไว้ในนั้นออกมา ไหล่ย่อลง ใช้วิชาขี่เมฆาเหินฟ้าพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งในใต้หล้า ร่างเงาไหววูบ แสงดาบตัดสลับกัน และได้เห็นปราณมารทั่วร่างของจอมมารฟ้าถูกตัดขาด ร่างกายค้างแข็งอยู่ที่เดิม จากนั้นศีรษะปลิวลอยออกมา…
สังหารในพริบตา
เวลาเดียวกัน หอกอัสนีทะยานในมือกัวอวี่ชิง ได้แทงเข้าไปที่หัวใจของหญิงชราไม้เท้าดำที่กำลังกระโจนหนีกลางอกาศ พัดเทพห้าสีกระพือเบาๆ ใส่หญิงชราที่กำลังกรีดร้อง แสงเพลิงม้วนเข้ามา หญิงชราชั่วร้ายคนนี้ก็ได้กลายเป็นฝุ่นตามเยวี่ยกั๋วเซียงไป
ทั้งสองคนสอดประสานกันได้อย่างรวดเร็วฉับไว
“เอ๋? ใบหน้านี้….เป็นไปได้อย่างไร?”
สายตาของหลี่มู่ขณะที่จ้องมองศีรษะของจอมมารฟ้าที่อยู่บนพื้น ตกตะลึงขึ้นทันที เพราะใบหน้าบนศีรษะนี้ เหมือนกับใบหน้าของจักรพรรดิฉินหมิงที่เขาสังหารไปแล้วก่อนหน้าอย่างไม่ผิดเพี้ยน
นี่มันตัวจักรพรรดิฉินหมิงเลย
ใต้หล้ามีคนที่เหมือนกันขนาดนี้ด้วยหรือ?
หรือว่า…
ตอนนี้เอง ใบหน้าของศีรษะนี้แสยะยิ้มถากถางพร้อมเอ่ยขึ้น “เจ้าคิดว่าเจ้าสังหารข้าแล้วหรือ?”
………………………………………
[1] มักเกิล คำเรียกคนธรรมดาที่ไม่มีเวทมนตร์จากนิยายเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์