จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 448 สองตัวเลือก
สำนักประสานฟ้าอยู่ในดาราจักรเทพวีรชนก็นับว่าเป็นขั้วอำนาจใหญ่ขั้วหนึ่ง และเยวี่ยกั๋วเซียงอยู่ในสำนักก็มีตำแหน่งอยู่พอสมควร มิฉะนั้นคงไม่มีทางได้โอกาสเดินทางมาก่อนครั้งนี้แน่ ดังนั้น ทรัพย์สมบัติสะสมของเยวี่ยกั๋วเซียงมากมายนัก
หลี่มู่ได้ผลึกเซียนสีเงินจากในมิติเก็บของของเขามาสองพันก้อนเต็มๆ
นี่เป็นจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้หลี่มู่ประหลาดใจคือ ในมิติเก็บของของเยวี่ยกั๋วเซียงยังมีของวิเศษเต๋าอีกสองชิ้น
หนึ่งในนั้นเป็นขลุ่ยผิวลำใหญ่เก้ารูสีเขียวมรกต เหมือนจะแกะมาจากหยกชั้นเลิศ ใสแวววาว แต่คุณสมบัติแข็งเป็นอย่างมาก มีลายเต๋าไหลวน ส่วนอีกชิ้นเป็นซอเอ้อร์หูตัวกระบอกหกเหลี่ยม คันซอ สายซอ คันชักล้วนเป็นสีดำ ไม่รู้ว่าทำขึ้นจากวัสดุอะไร แต่ไม่ธรรมดาเลย มีระลอกคลื่นของวิเศษเต๋าแผ่กระจาย
หลี่มู่หยิบออกมาก็พบว่าของวิเศษสองชิ้นนี้ยังไม่ได้ฝึกฝน
“ใช่แล้ว ท่าทางเยวี่ยกั๋วเซียงจะเจอของวิเศษเต๋าสองชิ้นนี้ในสุสานขุนพลสวรรค์ แต่ตัวเขาคงไม่เชี่ยวชาญด้านดนตรี และก็คงไม่ค่อยชอบรูปร่างของของวิเศษสองชิ้นนี้ก็เลยไม่ได้ฝึกฝน สุดท้ายสบายเราไปเลย”
หลี่มู่ฝึกฝนของวิเศษสองชิ้นนี้อย่างไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ควบคุมมั่นไว้ในมือก็รู้ถึงพลังของมัน
ขลุ่ยและเอ้อร์หูแบ่งเป็น ‘ขลุ่ยจำพราก’ และ ‘ซอตัดอาลัย’ ด้อยกว่า ‘สากกระแทกใจ’ ‘กระบองสังหารมาร’ อะไรพวกนั้นขั้นหนึ่ง เป็นสายการโจมตีด้วยเสียง แน่นอนว่านำมาใช้เป็นเครื่องดนตรีสังหารได้ เพียงแต่พลังต่ำกว่า
สำหรับหลี่มู่แล้วเหมือนโครงกระดูกไก่ กินไม่อร่อยแต่จะทิ้งก็เสียดาย
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็เกิดความคิดมา จึงโยนขลุ่ยให้กับคิ้วติดกัน แล้วโยนซอให้ผอมสูง “รีบควบคุมพลังของมัน เดี๋ยวจะได้ใช้”
อาวุธระดับด้อยลงมาที่คัดทิ้งเอามามอบให้กับคนรับใช้ดีกว่า
ข้อดีของอาวุธเต๋าคือ หลังจากหลี่มู่ฝึกฝนมันแล้วก็สามารถมอบให้กับผู้อื่นได้ อยู่ในมือของทั้งสองก็สามารถสำแดงพลังของของวิเศษเต๋าได้ แต่หลี่มู่เพียงแค่เสี้ยวความคิดก็สามารถเอาของวิเศษเต๋าสองชิ้นนี้คืนกลับมาได้เช่นกัน
“ขอบคุณนายท่าน” คิ้วติดกันกับผอมสูงหน้าตาเบิกบาน
ถึงแม้พวกเขาจะได้แค่ ‘สิทธิ์ในการใช้งาน’ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มีของวิเศษเต๋าอยู่ในมือ ก็เปลี่ยนเป็นกล้าหาญขึ้นแล้วได้รึเปล่าเล่า? เรื่องที่ใหญ่ที่สุดในสุสานเทพยังมาไม่ถึง ต่อไปจะยิ่งน่ากลัว หากมีอาวุธเต๋าป้องกันตัวนับว่ามีอัตราสำเร็จเพิ่มมากขึ้น
ลูกศิษย์คนสุดท้ายชื่อฉางเซิ่งและจมูกงุ้มมือเปล่า เหมือนกับน้องหมาที่เจ้านายลืมให้อาหาร มองหลี่มู่อย่างน้อยอกน้อยใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
หลี่มู่ไม่สนใจพวกเขา จัดระเบียบของในตัวเยวี่ยกั๋วเซียง ในนั้นมีตำราลับ ‘คัมภีร์กระบี่ประสานฟ้า’ ‘อรรถาธิบายสายกระบี่ห้วงดาราสมุทร’ ‘หมายเหตุลายดาราในห้วงดาราจักรเทพวีรชน’ ‘วิธีฝึกขอบเขตสะพานเป็นตายวังของประสานฟ้า’ สำหรับหลี่มู่ล้วนมีค่าในการอ้างอิง จึงถูกเก็บเอามาหมด
หินดารา แร่ โลหะล้ำค่าเกราะ อาวุธอื่นๆ ราคาสู้ของวิเศษเต๋าไม่ได้ โดยเฉพาะหินดารา สำหรับจอมยุทธ์ของโลกใบนี้สูงค่าเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับผู้ฝึกฝนในห้วงดาราสมุทรแล้วเป็นสิ่งธรรมดา หลี่มู่เก็บรวมเอาไว้ด้วยกัน
จากนั้นก็แกะมิติเก็บของของ ‘จักรพรรดิฉินหมิง’ กลับไม่พบผลึกเซียนแห่งห้วงดาราสมุทรที่หลี่มู่หวังเอาไว้ ทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างมาก
สภาวะของ ‘จักรพรรดิฉินหมิง’ ต่างจากศิษย์สำนักอื่นที่เพิ่งมาเยือน เขาเห็นได้ชัดว่ามาอยู่ในโลกใบนี้นานแล้ว ดังนั้นไม่มีผลึกเซียนก็ดูสมเหตุผล
ส่วนของอื่นๆ ส่วนมากของ ‘จักรพรรดิฉินหมิง’ เป็นเคล็ดวิชาลับวิถียุทธ์ของสำนักมารฟ้า ในนั้นมี ‘เคล็ดวิชามารฟ้า’ ‘คัมภีร์มารฟ้า’ และ ‘วิชามารฟ้าแยกร่าง’ ที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด แต่ว่าล้วนเป็นวิชามารทั้งสิ้น หลี่มู่เก็บเอาไว้ เตรียมค่อยๆ ศึกษาในวันข้างหน้า นำมาดูเป็นตัวอย่างได้
นอกจากนั้น ในมือของ ‘จักรพรรดิฉินหมิง’ ยังมีของวิเศษที่ได้จากตำหนักสุสานขุนพลสวรรค์จริงๆ ด้วย เป็นเนื้อเพลงแผ่นหนึ่ง ใช้หมึกเทพสีแดงเขียนไว้บนหนังสัตว์ชนิดใดไม่รู้ หนังสัตว์ไหลเวียนด้วยไอศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน เนื้อหาของเพลงแปลกประหลาดนัก เหมือนจะเป็นเพลงรบในยุคสมัยเมื่อยาวนานมาแล้ว
หลังจากฝึกฝนแล้ว หลี่มู่ก็รู้ว่า เพลงรบบทนี้มีชื่อว่า ‘เพลิงโลหิต’ เป็นวิชาโจมตีด้วยเสียงเช่นกัน
แต่ว่า วิชานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
ผู้ที่ใช้มันหลังจากกระตุ้นเนื้อเพลงบนหนังสัตว์แล้วก็จะต้องร้องเพลง ‘เพลิงโลหิต’ เสียงดัง ถึงจะสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
นี่มันช่าง…
ร้องเพลงไปด้วยสู้ไปด้วยอย่างกับเที่ยวต้าเสิน[1] คนคงจะมองว่าเป็นบ้ากระมัง
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็โยนเนื้อเพลง ‘เพลิงโลหิต’ ให้กับลูกศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าที่ชื่นฉางเซิ่ง พลางเอ่ย “รีบฝึกเข้า ฝึกสำเร็จแล้วลองร้องดู”
ฉางเซิ่งรับเนื้อเพลงมา หลังจากถ่ายทอดปราณแท้เข้าไป ก็เข้าใจในทันที ใบหน้าขื่นขมแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ไปนั่งยองๆ ข้างๆ ฝึกร้องเพลง
หลี่มู่มองๆ ไปยังเจ้าจมูกงุ้ม
จมูกงุ้มเหมือนเจ้าฮัสกี้รออาหาร น่าสงสารเป็นที่สุด
ในใจหลี่มู่มีแผนชั่วผุดขึ้นมาทันที โยนผีผาที่มอบให้เขาก่อนหน้านี้ไปให้อีกรอบ ยิ้มพลางเอ่ย “พวกเจ้าสามคน คนหนึ่งเป่าขลุ่ย คนหนึ่งสีเอ้อร์หู แล้วก็มีคนหนึ่งร้องเพลง เจ้าดีดผีผา อืม ตั้งเป็นวงได้เลย ชื่อว่า ‘วงเป่าสีดีดร้อง’ ก็แล้วกัน ”
“ขอบคุณนายท่าน” จมูกงุ้มได้ผีผาไปในใจตื่นเต้นยินดีนัก ไม่ว่าจะอย่างไรนับว่าได้ของวิเศษเต๋ามาปกป้องชีวิตแล้ว อีกทั้งผีผาสี่สายตัวนี้ก่อนหน้านี้เขาเคยสำแดงพลังของมันมาก่อน พลังแข็งแกร่งนัก
หวางซืออวี่ที่อยู่ข้างๆ กลับหัวเราะร่า
วงเป่าสีดีดร้อง เยี่ยม ทันสมัยมาก ไปแสดงเซี่ยงเซิง[2]ร้องงิ้วได้แล้ว
ทุกสิ่งจัดการเรียบร้อยแล้ว หลี่มู่ก็มอบมิติดาบที่พังไปครึ่งหนึ่งและของบางอย่างที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้ชิงเฟิง ให้เด็กรับใช้บัณฑิตปีศาจคนนี้ไปขบคิด มิติดาบต้องหลอมขึ้นใหม่แล้ว
ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นหลี่มู่ก็สูดหายใจลึก มองไปยังพวกชิงเฟิงหมิงเยวี่ยทั้งสี่คน ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเราต้องมาคุยกันดีๆ แล้ว พวกเจ้าเข้ามาทำแผนของข้าปั่นป่วนหมด สุสานเทพเปิด ชิงของวิเศษเต๋า อาวุธชั้นเลิศเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญที่สุดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
หลี่มู่พูดแล้วก็ชี้ไปที่จมูกงุ้ม “รายละเอียดเจ้าเป็นคนพูด”
จมูกงุ้มรีบพยักหน้า “ขอรับ นายท่าน นายท่านทุกคน สถานการณ์เป็นแบบนี้…”
ที่แท้สุสานเทพที่ว่าแห่งนี้มีอยู่นานแล้ว ตำนานเล่าว่าเป็นสถานที่ฝังร่างของขุนพลสวรรค์ ทหารสวรรค์ที่รบตาย เคยล่องลอยไปตามดาราจักรใหญ่ๆ ต่างๆ ในอาณาจักรดาราจื่อเวย ไม่อยู่แน่นอน ณ ที่ใดที่หนึ่ง แต่จะลอยไปในมิติเรื่อยๆ จะไปปรากฏตามสถานที่ต่างๆ เป็นหนึ่งในสถานที่ลึกลับมีชื่อเป็นอย่างมากในอาณาจักรดาราจื่อเวย
สถานที่ที่เปิดขึ้นอย่างแน่นอนในการปรากฏของสุสานเทพครั้งนี้อยู่ใต้แผ่นดินซ่งเหนือแผ่นดินใหญ่เสินโจว ผู้มีความสามารถเยี่ยมยุทธ์บางคนในดาราจักรเทพวีรชนบางคนทำนายเอาไว้ ดังนั้นจึงส่งผู้สืบทอดยอดเยี่ยมของสำนักใหญ่ต่างๆ มาที่นี่
หนึ่งเพื่อช่วงชิงของล้ำค่าต่างๆ ที่ขุนพลสวรรค์ ทหารสวรรค์รบตายทิ้งเอาไว้
อีกหนึ่งเหตุผลคือ ครั้งที่แล้วที่สุสานเทพแห่งนี้เปิดขึ้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนทำให้บุคคลอื่นๆ แตกตื่นมากมาย มีเซียนหนึ่งองค์และมารหนึ่งตนเคยรบกันที่นี่ สุดท้ายทั้งสองพ่ายแพ้บาดเจ็บ ไม่ได้เดินออกมา ล้วนถูกขังเอาไว้อยู่ในสุสาน นำภาพลึกลับเข้าไปด้วยมากมาย ว่ากันว่า ชั่วขณะสุดท้ายก่อนที่สุสานเทพจะปิด เซียนผู้นี้ที่เคยเกือบจะปกครองทั้งอาณาจักรดาราจื่อเวยได้ส่งแผนที่ในสุสานออกมา ทั้งยังส่งกระแสจิตออกมาว่า หลังจากนี้พันปี ไม่ว่าใครหากสามารถเปิดผนึก นำเขาออกไปจากที่นี่ได้ ก็จะถ่ายทอดมรดกเส้นทางเซียนให้เพื่อเป็นการตอบแทน…
เป้าหมายที่แท้จริงของสำนักใหญ่ต่างๆ ในดาราจักรเทพวีรชนครั้งนี้คือช่วยเซียนองค์นี้ออกไป เพื่อให้ได้มาซึ่งมรดกของเขา
ของล้ำค่าที่ยิ่งดึงดูดเหล่าผู้ฝึกฝนได้มากยิ่งกว่ามรดก วิชา กระทั่งอาวุธขุนพลสวรรค์โบราณ
ในเมื่อขุนพลสวรรค์โบราณนั้นนานมามากแล้ว ของวิเศษเต๋า อาวุธเต๋าที่ตกทอดมาเป็นของที่ไม่อาจพัฒนาหรือซ่อมแซมได้ อีกทั้งยังค่อนข้างล้าสมัย แต่มรดกของเซียนผู้นั้นเป็นบุคคลสูงส่งสูงสุดในอาณาจักรดาราจื่อเวยเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนี้ ดึงดูดคนนับไม่ถ้วน
“ในความเป็นจริงแล้วพวกเราก็แค่ส่งกำลังมาสำรวจทางก่อน จากนั้นก็จะมีผู้แข็งแกร่งดาราจักรเทพวีรชนที่แท้จริงมาเยือน เพราะเมื่อสุสานเทพเปิดออกอยู่ในแนวโน้มที่มั่นคงแล้วก็รบกวนกฎแห่งเต๋าของโลกใบนี้ ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้ไม่ต่อต้านผู้แข็งแกร่งที่มาจากภายนอกขนาดนั้น บุคคลระดับผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ต่างๆ ก็จะมาเยือนได้” จมูกงุ้มเอ่ย “นับๆ เวลาดูก็ใกล้เต็มทีแล้ว”
สีหน้าของหยวนโห่วเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
หมิงเยวี่ยที่มึนไม่รู้โลกยังตระหนักได้ว่า ที่แท้อันตรายที่แท้จริงไม่ใช่ยังมาไม่ถึง แต่อยู่บนทางแล้วต่างหาก
ชิงเฟิงเอ่ย “พูดเช่นนี้ หลังจากเหล่าผู้อาวุโสสำนักใหญ่ต่างๆ มาเยือนการแย่งชิงถึงจะเปิดฉากอย่างแท้จริง การสังหารและช่วงชิงที่แท้จริงในสุสานถึงจะเริ่มต้น?”
จมูกงุ้มตอบกลับ “เป็นเช่นนั้น”
หลี่มู่ตบมือเอ่ยเสียงดัง “เอาละ สหายตัวน้อยทั้งหลาย ตอนนี้พวกเรามีสองทางเลือก หนึ่ง ฉวยโอกาสเสียตั้งแต่ที่ผู้อาวุโสสำนักใหญ่ต่างๆ ยังไม่มารีบหนีออกไปจากสุสานเทพ หาที่ซ่อนตัวข้างนอก บางทีอาจจะพ้นเคราะห์ภัยได้ชั่วคราว สองคือรีบค้นในสุสาน หากเจอเซียนผู้นั้นได้ก่อน ได้รับมรดกและการคุ้มครองจากเซียนผู้นั้น เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัวแล้ว แต่อัตราต่ำมาก เพราะพวกเราไม่มีแผนที่นั่น ในสุสานเทพยังมีอันตรายเต็มไปหมด หาไปหามาอาจจะเสียเวลาได้”
เป็นตัวเลือกที่ยากลำบากทั้งสองตัวเลือก
ชิงเฟิงเพียงแต่ก้มหน้าคิดเพียงครู่เดียวก็ได้คำตอบ “พวกเราทำได้แค่เลือกข้อที่สองเท่านั้น หาวิธีหาท่านเซียนให้เจอ ขอความคุ้มครอง ทางเลือกแรกเดินไม่ได้”
หลี่มู่และกัวอวี่ชิงมองตากันแวบหนึ่ง แอบพยักหน้า
หมิงเยวี่ยกลับถามอย่างมึนๆ “พี่ชิงเฟิง ทำไมเล่า ตัวเลือกแรกไม่ใช่ว่าจะยิ่งปลอดภัยกว่าหรือ ขอแค่มีชีวิตรอดต่อไป แผ่นดินกว้างใหญ่ เหตุใดกลัวไร้ฟืนเผา”
ชิงเฟิงตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “เพราะสังหารเยวี่ยกั๋วเซียง จักรพรรดิฉินหมิง หญิงชราไม้เท้าดำไปแล้ว ล่วงเกินเผ่าผู้วิเศษและสำนักทะเลโลหิต พวกเราหนีไม่รอด ผู้อาวุโสสำนักพวกนั้นไม่มีทางปล่อยพวกเราไป พวกเขาชิงสมบัติเสร็จ ไม่ว่าจะได้มรดกท่านเซียนหรือไม่ก็ต้องออกมาจากสุสานเทพมาสังหารพวกเราเพื่อแสดงอำนาจ อีกทั้งที่ตัวพวกเรายังมีอาวุธเต๋า ของวิเศษเต๋าของขุนพลสวรรค์ ทหารสวรรค์ กล่าวไว้ว่าคนไร้ความผิด ผิดที่ถือครองหยก ต่อให้พวกเขาไม่เคียดแค้น แต่เพื่อชิงสมบัติก็จะหาพวกเราให้เจอโดยไม่สนค่าตอบแทน”
หมิงเยวี่ยตะลึงอ้าปากค้าง
หวางซืออวี่ก็แอบพยักหน้าเช่นกัน
ชิงเฟิงเป็นปีศาจจริงๆ ด้วย วิเคราะห์มาเช่นนี้ต่อให้หมิงเยวี่ยหน้ามึนคนนี้ก็ยังเข้าใจ มีเพียงตัวเลือกที่สองเท่านั้นที่เดินต่อไปได้ การเลือกแบบนี้คนทั่วไปคิดสามสี่ชั่วยามก็คิดออก แต่ประเด็นคือ ชิงเฟิงใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยวขณะในขณะที่คนทั่วไปต้องใช้เวลาหลายชั่วยาม
อีกทั้งเลือกทางเลือกที่สองจำต้องมีความกล้าเป็นอย่างมาก
หลี่มู่หัวเราะฮ่าๆ ให้กำลังใจ “เช่นนั้นจะรออะไร รีบหาท่านเซียนกันเถอะ พนันกันหน่อย จักรยานเปลี่ยนเป็นมอเตอร์ไซต์ คนไม่ขูดรีดไม่รวย ม้าไม่กินหญ้ากลางคืนไม่อ้วน…สรุปแล้ว จะเป็นจะตายดูที่การพนันครั้งนี้แล้ว”
พบกันบนทางแคบ ผู้ที่แข็งแกร่งเป็นผู้ชนะ
เดินทางถึงตรงนี้ไม่มีทางให้ถอยแล้ว
ทำได้แค่ชักดาบถางทางตัน เดินไปจนให้สุดทาง
……………………………………………………
[1] เที่ยวต้าเสินหรือเทพร่ายระบำ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง จะมีสองคนเป็นผู้ทำพิธี คนหนึ่งซึ่งเป็นเทพจะเป็นผู้กระโดดโลดเต้นหมุนไปมา อีกคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเทพ จะเป็นคนคอยตีกลอง อัญเชิญเทพหรือวิญญาณลงมา โดยผู้ช่วยเทพจะเป็นคนคอยติดต่อกับเทพหรือวิญญาณที่เชิญมา
[2] เซี่ยงเซิง ศิลปะการแสดงอย่างหนึ่งคล้ายการทอล์กโชว์ มีทั้งแบบเดี่ยว แบบคู่ และแบบกลุ่ม