จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 450 ดินแดนลับแลอภินิหาร
ความคิดของหลี่มู่คืออะไร?
แน่นอนว่าต้องเป็นการแกะห่อพัสดุส่งด่วน
เพียงแต่พนักงานส่งพัสดุที่ชื่อจ้าวจิ้งคนนี้น่าจะไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
แต่ว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียว
จากคำถามมากมายของชิงเฟิง ก็ได้รู้กำลังรบของขั้นนักรบระดับต้นภายใต้แรงกดดันจาก ‘ค่ายกลสยบมารสูงสุด’ มาคร่าวๆ สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือ หากปะทะกันซึ่งๆ หน้าแทบจะไม่อาจเอาชนะได้เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียง…ลอบโจมตีเท่านั้น
ผู้ที่มีกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดอย่างหลี่มู่ กัวอวี่ชิง หยวนโห่ว และหมิงเยวี่ยปลอมตัวเป็นข้ารับใช้คนพื้นเมืองของศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่อย่างไร้ยางอายอีกครั้ง และภายใต้ ‘ความมัวเมาในอำนาจ’ ของหลี่มู่ เหล่าศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าเตรียม ‘ก่อกบฏ’ ลอบโจมตีผู้อาวุโสจากสำนักตนเองด้วยใบหน้าขมขื่น ในที่สุด ผู้อาวุโสขั้นนักรบระดับต้น ‘กำเนิดฟ้าไร้ยอด’ จ้าวจิ้งก็บินห่างจากพื้นสามจั้งเข้ามาจากที่ไกลๆ
ในฐานะบุคคลระดับผู้อาวุโสของสำนักนอกพิภพที่มีกำลังร้ายกาจ เขายังคงบินได้ภายใต้แรงกดดันของ ‘ค่ายกลสยบมารสูงสุด’ ไม่เหมือนคนอื่นก่อนหน้าที่ทำได้เพียงวิ่งทะยาน นี่เป็นสัญลักษณ์ชัดเจนของขั้นพลังที่สูงต่ำแตกต่างกัน
ใจของพวกหลี่มู่หล่นวูบไปอยู่ตรงตาตุ่ม
ทว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในพริบตาต่อมาทำเอาทุกคนมึนงงกันหมด
หลังจากผู้อาวุโสจ้าวจิ้งคนนี้บินเข้ามาใกล้กลุ่มคน ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเริ่ม ‘การแสดง’ เสียงตุบก็ดังขึ้น จ้าวจิ้งหกคะเมนร่วงลงมาจากบนอากาศสูงสามจั้ง ก่อนกระแทกพื้นเบื้องล่างจนเป็นหลุมใหญ่
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทุกคนคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าผู้อาวุโสขั้นนักรบระดับต้นจะออกโรงด้วยวิธีเช่นนี้ นี่ก็คงเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคนอื่นมากกระมัง?
“ผู้อาวุโสจ้าว” พวกชายคิ้วติดกันรีบร้อนพุ่งเข้าไป
หลี่มู่ก็เดินเข้าไปอย่างระมัดระวังเช่นกัน
สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่คาดคิดคือ ผู้อาวุโสขั้นนักรบระดับต้นที่เคยได้ยินมา ผู้แข็งแกร่งห้าอันดับแรกของสำนักกำเนิดฟ้าคนนี้ ทั่วร่างกลับอาบไปด้วยเลือด แขนหายไปข้างหนึ่ง ร่วงหล่นลงพื้นดิน บาดเจ็บสาหัสในระดับที่ใกล้จะหมดลมแล้ว หายใจเข้ามากแต่ผ่อนออกเพียงน้อยนิด
“สำนักกำเนิดฟ้าจบสิ้นแล้ว…” จ้าวจิ้งเบิกตากว้างขึ้นโดยไร้สติ เมื่อเห็นพวกชายคิ้วติดกันทั้งสี่ ในดวงตาขุ่นมัวเปล่งประกายวูบหนึ่ง ทว่าก็แปรเปลี่ยนเป็นโศกเศร้าอาดูรในทันที เอ่ยว่า “สำนักกำเนิดฟ้าถูกโจมตีจนพินาศ ตายแล้ว ตายกันหมด…ข้าแค่คนเดียว ใช้ค่ายกลลงมาเยือนที่เตรียมไว้ล่วงหน้า หนีรอดออกมา…”
“อะไรนะ?”
“ผู้อาวุโส ท่านพูดให้ชัดเจน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“อาจารย์อาจ้าว อะไรที่ว่าตายกันหมด?”
ศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่มีสีหน้าร้อนรน ประคองจ้าวจิ้งขึ้นมาช่วยรักษา ถ่ายปราณแท้เข้าไปให้ ข่าวสารที่ออกจากปากของจ้าวจิ้งอย่างขาดๆ หายๆ ทำให้พวกเขารู้สึกโศกเศร้าตกใจและสิ้นหวัง
สำนักกำเนิดฟ้าถูกสำนักศัตรูในเขตดาราเทพวีรชนล้อมโจมตี มีคนทรยศภายในร่วมมือกับคนนอก เพียงแค่วันเดียวทั้งสำนักกำเนิดฟ้าพินาศสิ้น มีเพียงจ้าวจิ้งที่หนีออกมาได้ ซ้ำยังบาดเจ็บหนักหนา ฝืนลงมาเยือนในครั้งเดียวจนสำเร็จ และหาศิษย์ทั้งสี่คนในสุสานเทพจนพบ
“ตอนนี้พวกเจ้าคือผู้สืบทอดกลุ่มสุดท้ายของสำนักกำเนิดฟ้าแล้ว จะต้อง…ต้องแก้แค้น ฟื้นฟูสำนัก….ขึ้นมาอีกครั้ง…นี่…นี่คือแผนที่ค้นหาเซียน รับไป…” จ้าวจิ้งบาดเจ็บสาหัสเกินไป พลังชีวิตขาดห้วง ขณะพูดจาไม่ปะติดปะต่อก็หยิบป้ายหยกทรงรีออกมาชิ้นหนึ่ง และยัดเข้าในมือของชายจมูกงุ้ม จากนั้นใช้พลังสุดท้ายของชีวิตกำชับว่า “หา…หาตัวท่านเซียน รับการคุ้มครองและมรดกสืบทอดมา พวกเจ้า…เป็น…ความหวังสุดท้าย…ของสำนักกำเนิดฟ้าแล้ว”
พูดจบศีรษะของเขาพับลง จากไปอย่างกะทันหัน
หลี่มู่ที่มองอยู่อีกด้านไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งสำนักกำเนิดฟ้าดับสูญไปเช่นนี้หรือ?
จากนั้นก็ได้รับแผนที่ค้นหาเซียนมาเช่นนี้เลย?
นี่มันเหมือนกับตอนจะทิ้งหัวลงนอน แล้วมีคนยัดหมอนเข้ามาให้อย่างไรอย่างนั้น
การสู้รบดุเดือดที่จินตนาการเอาไว้ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลย
คนหลายคนล้วนถอนหายใจโล่งอก
พวกชายจมูกงุ้มทั้งสี่นำร่างของจ้าวจิ้งฝังลงดิน ฝังไว้ในสุสานเทพก็ถือเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสุสานที่เอาไว้ฝังเหล่าเทพ
“เจ้านาย แผนที่อยู่ที่นี่แล้ว” ชายจมูกงุ้มยื่นป้ายหยกทรงรีส่งให้หลี่มู่ด้วยสีหน้าเศร้าสลด
นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก
สำนักกำเนิดฟ้าพินาศไปแล้ว พวกเขาทั้งสี่คนกลายเป็นสุนัขไร้บ้าน ไม่มีความมั่นใจใดๆ เหลืออีก ศัตรูที่ทำลายล้างสำนักกำเนิดฟ้าไม่มีทางปล่อยพวกเขาไว้ เหมือนว่านอกจากเป็นคนรับใช้ของหลี่มู่ต่อไปก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
หลี่มู่ดูข้อมูลที่ซ่อนอยู่ด้านในป้ายหยกทรงรีจนหมด และเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าแผนที่ค้นหาเซียนแล้ว
“ไปเถอะ ยังต้องกลับไปที่อารามอู่จวงอีก”
ก่อนหน้านี้พวกชายจมูกงุ้มรู้เพียงแค่ว่าใกล้ๆ อารามอู่จวงเป็นพื้นที่เข่นฆ่าสังหาร มีผลเซียนอยู่ จริงๆ แล้วนี่คือข้อมูลส่วนหนึ่งของแผนที่ค้นหาเซียน สำนักใหญ่ทั้งหลายถ่ายทอดผ่านคำพูดให้กับศิษย์ที่ลงมาเยือนก่อน เพื่อให้มาแย่งชิงผลเซียนในอารามอู่จวงนี้
ส่วนคุณค่าที่แท้จริงของผลทารก บรรดาศิษย์ที่ลงมาเยือนก่อนล้วนไม่ทราบ รู้เพียงว่าผลเซียนนี้สำคัญอย่างมาก แค่ได้รับคำสั่งให้มาแย่งชิง ต่อให้มีคนกินผลเซียนไป เลือดเนื้อของคนคนนั้นก็ใช้ได้ เหล่าผู้ฝึกตนสำนักต่างๆ ก่อนหน้านี้จึงเกิดความคิดที่จะแบ่งศพของพวกหมิงเยวี่ยกัน
ในความเป็นจริง บนแผนที่ค้นหาเซียนฉบับสมบูรณ์ ต้นผลทารกเป็นพิกัดสัญลักษณ์จุดหนึ่งของที่ที่เซียนหลับใหลอยู่ ชี้นำไปสู่ทางเข้าของเส้นทางเซียน
ดังนั้นจึงต้องรีบกลับไปยังอารามอู่จวงให้ไวที่สุด
แท้จริงหลี่มู่คาดเดาเรื่องทางนี้เอาไว้ก่อนแล้วเหมือนกัน จึงใช้เนตรสวรรค์กวาดสำรวจอารามอู่จวงจนหมด ทว่าไม่พบอะไรเลยถึงออกมา แต่ตอนนี้ต้องกลับไปอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
พวกของหลี่มู่มาถึงด้านหน้าต้นผลทารกในสวนผลไม้ด้านหลังอารามอู่จวงอีกครั้ง
ระหว่างทางไม่พบเจอใครอื่น
หลี่มู่พาทุกคนมาตรงหน้าต้นไม้ กระตุ้นป้ายหยกทรงรี แสงสว่างหลายเส้นที่เปล่งออกมาจากด้านในส่องไปยังจุดหนึ่งบนต้นผลทารก จากนั้นเรื่องมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น บนต้นไม้มีใบไม้สีเขียวมรกตมากมายร่วงหล่นลงมา กระจายไปแปะอยู่บนหน้าผากของทุกคน ครั้นแสงสว่างวาบ ทุกคนพลันหายไปจากจุดที่ยืนอยู่
…
“ที่นี่คือที่ไหน?”
พวกหลี่มู่รู้สึกเพียงว่าตาลาย พอมองเห็นวัตถุได้อีกครั้งก็พบว่าตนมาอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดเข้าให้แล้ว
พื้นใต้เท้าเหมือนจะเป็นหินแต่ก็ไม่ใช่ กลับเป็นร่องน้ำแนวยาวคดเคี้ยวราวกับลายของต้นไม้ ถนนประหลาดที่กว้างสักหลายร้อยจั้งหรืออาจหลายพันจั้งเป็นวงกลม ยืดยาวออกไปตามทิศทางของร่องน้ำ สองด้านเป็นหน้าผาที่มองไม่เห็นก้น มีเมฆบางลอยระเรื่ออยู่
ถนนทั้งยาวทั้งสั้น ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาไร้ขอบเขต อีกด้านกลับเป็นกำแพงผาสูงชัน อีกทั้งมีทางแยก ทางหลักสายเดียวจะมีทางแยกที่แตกต่างกันไป ประหนึ่งกิ่งก้านสาขาบนต้นไม้
“ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าคิดว่า พวกเราตอนนี้น่าจะอยู่บนต้นผลทารก”
ชิงเฟิงพิจารณาออกมาได้อย่างรวดเร็ว
หนึ่งบุปผาหนึ่งโลก หนึ่งต้นไม้หนึ่งโพธิ์
ใบไม้ที่ร่วงลงมาจากต้นผลทารกเมื่อครู่เสมือนเป็นกุญแจที่เปิดออกสู่ดินแดนลับแลอภินิหาร ส่งทุกคนมาด้านบนต้นผลทารกต้นนี้
ทว่าก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหัศจรรย์บางอย่าง
สัดส่วนขนาดของคนกับต้นไม้ถูกสลับกัน ซ้ำยังไร้ขีดจำกัด
เป็นไปได้ว่าทุกคนในดินแดนลับแลอภินิหารตัวหดเล็กลงหลายเท่าจนราวกับเม็ดฝุ่น หรืออาจเป็นไปได้ว่าต้นผลทารกขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จนคล้ายกลายเป็นต้นไม้แห่งโลก…สรุปก็คือ สำหรับพวกหลี่มู่แล้ว ต้นผลทารกตอนนี้เป็นดุจโลกใหม่ขนาดยักษ์ใบหนึ่ง
กิ่งต้นไม้ที่เดิมทีมีขนาดเพียงหัวแม่มือ ตอนนี้ในสายตาของพวกเขากลายเป็นถนนเส้นใหญ่กว้างราวยี่สิบลี้เส้นหนึ่ง
นี่ทำเอาพวกหลี่มู่สั่นสะท้าน พากันอุทานชื่นชม
“เส้นทางค้นหาเซียนซ่อนอยู่ในริ้วลายต้นไม้ใบไม้เหล่านี้นี่เอง”
หลี่มู่สังเกตสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ผสานเข้ากับเส้นทางเซียนด้านในป้ายหยกทรงรี เพียงไม่นานก็เข้าใจและค้นพบว่า ลายเส้นบนกิ่งไม้บางส่วนเป็นเหมือนทิวเขาในสายตาของพวกเขาตอนนี้ สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย และดูคล้ายคลึงกับในแผนที่ค้นหาเซียน
หลี่มู่นำทางอยู่ด้านหน้า คนที่เหลือตามหลังมา
ภาพเช่นนี้เหมือนกับมดหลายตัวเดินอยู่บนกิ่งไม้ของต้นผลทารก รู้สึกว่าช่างมหัศจรรย์ยิ่ง ริ้วลายที่เดิมทีอยู่บนกิ่งไม้ ต่อหน้าพวกเขาตอนนี้กลับเป็นดั่งทิวเขาแม่น้ำ
ยามนี้ยืนยันได้แล้วว่า เซียนคนนั้นอยู่ในโลกต้นผลทารกนี้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดทางพวกเขายังพบร่องรอยของสนามรบเก่าไม่น้อย
ถ้ำต้นไม้บางส่วนมีร่องรอยการต่อสู้ในสมัยที่เนิ่นนานมาแล้วเหลือทิ้งไว้ มีโครงกระดูกของศพนับไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นสัตว์และเป็นรูปร่างมนุษย์ อีกทั้งมีกระดูกสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกอีกส่วนหนึ่ง ทั้งหมดเน่าเปื่อยผุพังหมดแล้ว หนำซ้ำยังมียุทโธปกรณ์ชุดเกราะอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทว่าเทียบกับพวกอาวุธเต๋าชั้นเยี่ยมในเมืองด้านล่างแล้วยังแตกต่างกัน เพราะถึงอย่างไรก็ผุพังหมด พลังวิญญาณหายไปไม่มีเหลือ ลวดลายเต๋าด้านในก็แตกหักไม่มีชิ้นดี กลายเป็นขยะโดยสมบูรณ์ ไม่มีคุณค่าใดๆ อีก
ด้านบนกิ่งไม้มากมายก็มีร่องรอยของสนามรบเก่า ความหนักหนาแตกต่างกันไป
ตลอดทางมา ในร่องเขาลายต้นไม้บางส่วนถึงขั้นเห็นร่างจำนวนหลายร้อย เลือดลมแห้งเหือด ทว่ากายเนื้อไม่เน่าเปื่อย เหมือนศพเพชรอย่างไรอย่างนั้น ความแข็งของศพเทียบเท่ากับโลหะเทพ มีไอแห่งเทพไหลวนอยู่จางๆ
นี่ยิ่งทำให้พวกหลี่มู่รู้สึกสั่นสะท้านและหวาดกลัว
เพราะศพเพชรพวกนี้ ตอนยังมีชีวิตจะต้องเป็นยอดคนที่บุกฝ่าไปทั่วดาราสมุทรและก้าวข้ามระดับสามของขั้นนักรบไปแล้ว ตัวตนประดุจเทพ แต่กลับมาล้มตายลงที่นี่
เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลเหล่านี้แล้ว พวกของหลี่มู่เป็นแค่มดปลวกจริงๆ
ดังนั้นระดับพลังฝึกขั้นที่หนึ่งของดาราสมุทรจึงเป็นขั้นแมลง กระทั่งคนสามัญก็ยังไม่ใช่ นี่ถือว่ามีเหตุผลอยู่ เหล่าจอมยุทธที่เพิ่งจะเดินออกมาจากดวงดาว ในดาราสมุทรก็เหมือนกับแมลงตัวเล็กจ้อยเท่านั้น
พวกหลี่มู่ถูกทำให้ใจสั่นสะท้านซ้ำแล้วซ้ำอีก
ยากจะจินตนาการได้ว่าในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนหน้านี้ ที่นี่เกิดสงครามระดับไหนขึ้นกันแน่ จึงได้มีการดับสูญของคนจำพวกนี้
ในดินแดนลับแลต้นไม้ยักษ์เช่นนี้ เวลาก็ราวจะผ่านไปช้าลง ความว่างเปล่าด้านนอกกิ่งไม้มีสายลมคำราม เมฆหนาทึบปกคลุม
ตลอดทางหลี่มู่หาลายต้นไม้ที่สอดคล้องกับในแผนที่ค้นหาเซียนพบอย่างต่อเนื่อง
คาดคะเนจากความสูง พวกเขากำลังเข้าใกล้ยอดของต้นผลทารกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
และเมื่อยิ่งขึ้นสูงก็ราวกับเดินอยู่ในสวรรค์ชั้นเก้า ตลอดการเดินทางพบสนามรบเก่าอยู่ตลอด และเห็นเทพที่สู้จนตัวตายในสงครามตลอดเช่นกัน
หลังจากนั้น บนถนนหนทางจะเห็นเหล่าศพเทพที่ตายไปแล้วราวกับยังมีชีวิต เลือดลมเต็มเปี่ยมดุจคลื่นซัดสาด สีหน้ากระฉับกระเฉงเหมือนคนเป็น ยืนบ้างนั่งบ้าง อยู่ในอากัปกิริยาที่แตกต่างกัน หากไม่บอกว่าร่างกายเหล่านี้ไม่เหลือกลิ่นอายวิญญาณต้นแล้ว พวกหลี่มู่คงเข้าใจว่าจริงๆ แล้วพวกมันยังมีชีวิตอยู่
หนำซ้ำร่างของผู้แข็งแกร่งโบราณที่ตายไปแล้วล้วนแผ่คลื่นพลังน่ากลัวที่ยากจะเปรียบเปรยออกมา กระแสวนของพลังดุจดั่งความอลหม่านวุ่นวายพันล้อมอยู่รอบๆ ศพเหล่านั้น อากาศบิดเบี้ยวจนเหมือนระลอกคลื่น
พวกของหลี่มู่ทำได้เพียงมองอยู่ห่างๆ หลายสิบจั้ง ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย มิเช่นนั้นหากความอลหม่านวุ่นวายม้วนกวาดออกมา พวกหลี่มู่คงจะสลายกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา
ยิ่งขึ้นไปสูง อันตรายก็มากตามมา
ในอากาศมีแรงกดดันที่ทำให้แทบจะร่างแหลกแผ่กระจาย ไอสังหารเต็มไปหมดทุกพื้นที่
พวกของหลี่มู่ตระหนักได้ มีเพียงเดินหน้าตามการชี้นำของแผนที่เท่านั้นจึงจะปลอดภัย หากไม่มีแผนที่แล้วเดินกันสะเปะสะปะละก็ เกรงว่าคงถูกม้วนเข้าไปอยู่ท่ามกลางจิตสังหารความวุ่นวาย ตายไปโดยไม่มีที่ฝังเป็นแน่