จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 452 กระอักเลือดกันแล้ว
เหล่าศิษย์วังประสานฟ้าก็ขวัญหายเช่นกัน
พวกเขาล้วนเป็นถึงผู้ฝึกตนนอกพิภพที่ฐานะสูงส่ง เป็นหัวกะทิของสำนัก จึงมองจอมยุทธ์ทั้งหมดของโลกใบนี้ในท่าทีเหมือนมองมดปลวกด้อยค่า และคิดเองว่าตัวเองเป็นเทพเซียน ต่อให้เป็นจอมยุทธ์จากสำนักเทพที่สูงส่งล้ำเลิศหรือองค์จักรพรรดิ ในสายตาของพวกเขาก็เป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งในทะเลทรายเวิ้งว้าง ไม่แตกต่างอะไรกับเม็ดทรายอื่นๆ
แต่ว่าเพิ่งจะมาถึง ศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ตายไปทีเดียวสี่คนแล้ว
นี่ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า ที่แท้บนโลกที่พวกเขาคิดว่ายังไม่พัฒนาใบนี้ยังมีคนหรือสิ่งที่สังหารพวกเขาได้
ที่นี่พวกเขาใช่ว่าจะไม่ตายและไร้เทียมทาน
“ผู้อาวุโสซุน ตอนนี้พวกเรา…” ใจของลูกศิษย์คนนี้รู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว
ระหว่างที่พูด ข้างหลังก็มีคลื่นพลังงานทะลักมาจากที่ไกล
เงาร่างสิบกว่าร่างตรงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่แบกดาบ ข้างกายมีจักรพรรดิฉินหมิง องครักษ์มารฟ้าหกคน และผู้แข็งแกร่งของจักรวรรดิฉินตะวันตกอีกสิบสี่คนตามมา
“เป็นคนของสำนักมารฟ้า” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งกล่าว
ภายในเขตดาราเทพวีรชน วังประสานฟ้าและสำนักมารฟ้าสองขั้วอำนาจนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายตึงเครียดนัก เพื่อช่วงชิงตำแหน่งสำนักอันดับหนึ่ง ทั้งสองปะทุสงครามกันหลายครั้ง ลับหลังยังใช้ลูกไม้เล่ห์กลมากมาย นับว่าเป็นขั้วอำนาจปฏิปักษ์กัน เพียงแต่หนึ่งร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี้ สำนักมารฟ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าเกิดความคิดในใจ จึงหัวเราะเสียงเย็น สั่งให้ลูกศิษย์ถอยไปข้างๆ เล็กน้อย ให้คนของสำนักมารฟ้าผ่านไปก่อน
“เหอะๆ กลัวแล้ว? รู้จักถอยก็ดี”
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคง ชายวัยกลางคนจากสำนักมารฟ้าที่แบกดาบยาวเห็นภาพนี้แล้วก็หัวเราะเยาะเย้ย หาท่านเซียนสำคัญกว่า ไม่จำเป็นต้องโรมรันฆ่าฟันกับคนวังประสานฟ้าพวกนี้ จึงนำทุกคนเข้าไปในเขตทะเลทรายทันที
อั้ก อั้ก อั้ก!
สนามพลังจิตต่อสู้ถาโถม จิตสังหารไหลวน กระแสอากาศลวดลายเต๋าบดขยี้เข้ามา
เนื่องจากไม่ทันระวังตัว ท่ามกลางเสียงร้องน่าเวทนา ยอดฝีมือของเชื้อพระวงศ์จักรวรรดิฉินตะวันตกหกคนถูกขยี้กลายเป็นหมอกเลือดในชั่วพริบตา องครักษ์มารฟ้าสองคนสลายกลายเป็นผง จิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวบดขยี้มายังเหล่าคนสำนักมารฟ้าทั้งหลายราวกับโม่หินและล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง
“สมควรตาย…เปิด!” ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงชักดาบยาวข้างหลังมา ดาบหนึ่งฟันออกไป พลังฝึกขั้นนักรบระเบิดปะทุ ดาบมารก่อเกิดภาพมายา แหวกสนามพลังจิตสังหารรอบๆ จนเป็นทางแยกสายหนึ่งในชั่วเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วจึงถอนตัวหนีออกมา
แต่ก็หนีออกมาได้แค่ตัวเขากับจักรพรรดิฉินหมิง คนอื่นทั้งหมดถูกสังหารในนั้นไม่เหลือซาก
“ซุนจี้ เจ้ากล้าเล่นเล่ห์กับข้า?”
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงถือดาบยาวชี้ไปยังผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้า ไฟโทสะลุกโหม
……
ในทะเลทรายสนามรบเก่ามีอันตรายแฝงอยู่รอบด้าน
ต้องขอบคุณเนตรสวรรค์ร่วมกับความเข้าใจในด้านค่ายกลของชิงเฟิง ถึงได้เดินผ่านความยากลำบากเบื้องหน้ามาได้ นักรบที่ตายไปแล้วพวกนั้น จานแสงอาทิตย์ที่แตกหัก รอบๆ เรือรบและรถศึก ต่างมีจิตมุ่งต่อสู้ยุคบรรพกาลแฝงอยู่ไม่เคยจางหายไป
สำหรับพวกหลี่มู่แล้วทุกที่เป็นเหมือนกับดัก เพียงไม่ระวังก็จะนำมาซึ่งภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต
ทะเลทรายแห่งนี้กว้างไกลถึงหลายพันลี้
หวางซืออวี่ที่ไม่มีวรยุทธ์ พละกำลังอ่อนแอที่สุด หากไม่มี ‘อาภรณ์เซียนแถบแพรม่วง’ เกรงว่าคงถูกจิตมุ่งต่อสู้รอบด้านสะเทือนจนสามจิตเจ็ดวิญญาณสลายไปนานแล้ว แต่ถึงจะมีอาภรณ์เซียนอยู่ สำหรับหวางซืออวี่ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็เป็นความทรมานอันน่าหวาดหวั่นราวกับทัณฑ์ทารุณ
ภายหลังหลี่มู่แบกหวางซืออวี่ไว้บนหลัง เธอถึงจะนับว่าสบายขึ้นเล็กน้อย
ใช้เวลาถึงสองชั่วยามเต็มๆ ในที่สุดพวกเขาก็ผ่านทะเลทรายที่เป็นสนามรบของเทพมารผืนนี้มาได้
ปลายสุดทะเลทรายเป็นพื้นที่ราบเรียบ
หลี่มู่หยุดฝีเท้า มอบป้ายหยกเส้นทางเซียนให้ชิงเฟิงพร้อมบอก “พวกเจ้าเดินต่อไปข้างหน้า ข้าจะอยู่ที่นี่ทำอะไรสักหน่อย จะต้องพยายามถ่วงเวลาคนสำนักนอกพิภพพวกนี้ มิฉะนั้นพวกเราจะมีอันตราย”
เขาหมุนตัวกลับไปในทะเลทรายสนามรบเก่าของเทพมาร
เส้นทางปลอดภัยตอนขามา หลี่มู่จำได้ขึ้นใจ เมื่อไม่ต้องปกป้องคนอื่น ยามอยู่ในสนามรบเก่าแห่งนี้เขาแคล่วคล่องเป็นอย่างยิ่ง
หลี่มู่วางค่ายกลเล็กชั้นยอดบางส่วนไปตามจุดที่ดูเหมือนจะปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง หลักๆ คือเพื่อรบกวนการได้ยิน วิชาที่เหมือนการพรางตา ทำให้สนามรบเทพมารที่ซับซ้อนอยู่แล้วยิ่งเต็มไปด้วยกับดักมากมาย
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ในที่สุดคนของสำนักมารฟ้าและวังประสานฟ้าก็เหยียบบนเนินทรายเทพลูกแรกได้
อย่างไรเสียก็เป็นผู้ฝึกตนนอกพิภพ สนามพลังจิตสังหารบนเนินทรายนี้ไม่อาจขวางพวกเขาไปได้ตลอด
“สู้ ข้างหลังคือบ้านเกิดของข้า ไม่มีทางให้ถอยแล้ว สู้ตายจนหยดเลือดสุดท้าย”
เทพโบราณร่างสูงใหญ่ที่ยืนพิงธงศึกคนนั้น ความยึดมั่นยังคงวนเวียนอยู่ในฟ้าดิน เสียงของเขาชัดเจน ธงศึกที่ขาดวิ่นโบกสะบัดกลางสายลม
พอจะวิเคราะห์ได้เลาๆ ว่าบนธงศึกขาดวิ่นมีรูปมังกรขดอยู่ ซ้ำแผ่กระจายกลิ่นอายฮึกเหิมห้าวหาญของกองทัพ ไหลวนด้วยพลังจิตวิญญาณมหาศาลชนิดหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนในเสี้ยวขณะต่อไป ขอแค่วิญญาณเทพโบราณสูงใหญ่ที่ดับสูญผู้นี้ถอนธงศึกซึ่งปักอยู่บนพื้นขึ้นมาและลั่นกลองรบ ก็จะมีกองทัพนับหมื่นพันทะยานเข้ามา…
“นี่มัน…”
“สนามรบเก่า!”
สนามรบเก่าของเทพมารข้างหลังเนินทรายทำเอาผู้แข็งแกร่งจากสองสำนักใหญ่ตื่นตกใจ
ตอนนี้เอง ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งมองตะปูสีเงินดอกที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเทพดับสูญผู้นั้น รู้สึกว่าคุ้นตา ในใจเกิดความละโมบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ตะปูดอกนี้จะต้องเป็นยอดอาวุธสังหารแน่ แม้แต่เทพโบราณองค์นี้ยังสะเทือนจนตาย หากได้ตะปูดอกนี้มาครองแล้วละก็…
ขณะคิดในใจ ทั้งตัวเขาดุจวิญญาณลอยหาย เดินไปยังวิญญาณเทพโบราณอย่างไม่รู้ตัว
“เฉินเฟิง เจ้าทำอะไร? กลับมา…” ครั้นซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าสัมผัสได้ก็โมโหโกรธา อ้าปากตวาด
ทว่าในตอนนี้ เรื่องน่ากลัวบังเกิดขึ้นแล้ว
ลมปีศาจกลุ่มหนึ่งพัดมา ลูกศิษย์ที่ชื่อเฉินเฟิงคนนี้เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างสลายกลายเป็นเถ้า ผิวแห้งแตกเป็นแผลเลือดไหลมากมาย เสมือนท้องน้ำที่แห้งผากหลังโดนอาทิตย์แผดเผา แต่เขาไม่รู้สึกตัว ใบหน้ากลับอมยิ้ม เหมือนเห็นของที่งดงามที่สุดในโลก ยังคงเดินไปยังศพของเทพโบราณ เดินไปไม่กี่ก้าวเลือดและไขกระดูกก็ไหลออกมาจากปากแผลที่แตกระแหง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นแสงรุ้งไหลเข้าไปในตะปูสีเงินตรงหว่างคิ้วของเทพโบราณ…
ร่างของเฉินเฟิงพังทลายลงมาดุจรูปสลักทราย กลายเป็นเม็ดทรายจมไปในผืนทะเลทราย
ผู้แข็งแกร่งจากสองสำนักเห็นฉากนี้แล้ว แผ่นหลังก็ผุดเหงื่อเย็นชื้น
“เขา เขายังมีชีวิตอยู่ หน้าของเขาขยับอยู่…” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าอีกคนหนึ่งพลันกรีดร้องขึ้นมาปานผีเข้า แววตาจับจ้องใบหน้าของเทพโบราณ เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าเห็น เมื่อครู่เขายิ้ม สีหน้าเขาเปลี่ยนไป”
ลมพัดเข้ามา ทุกคนต่างตื่นตัว
นี่มันจะแปลกนอกรีตนอกรอยเกินไปแล้ว
“พูดจาเหลวไหลอะไร?” ซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้าตวาดเสียงเข้ม “หุบปาก”
ตอนนี้ บนเส้นทางมีเงาคนไหววูบไหวอีกแล้ว
มีคนหลายกลุ่มทะยานมุ่งหน้ามายังเนินทราย
มีขั้วอำนาจสำนักนอกพิภพมาถึงอีกแล้ว
และยามนี้ จักรพรรดิฉินหมิงกับ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงทะยานไปอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดอะไร ออกมาได้หลายพันลี้ก็เข้ามาในสนามรบเก่าของเทพมารข้างเนินทราย
“ไป” ซุนจี้รีบร้อน ไม่สำรวจศพของเทพโบราณนั่นอีก ตัดสินใจรีบเดินทางไปจากเนินทรายแปลกประหลาดนี้
ทันใดนั้น…
ตูม!
ห่างจากสนามรบเทพมารไปยี่สิบลี้ สนามพลังจิตสังหารที่น่าหวาดกลัวปะทุขึ้นมา ตามด้วยเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคง แสงดาบเคลื่อนไหวเหนี่ยวนำให้เกิดจิตสังหารน่าครั้นคร้ามเป็นชุด
เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นจากสำนักมารฟ้าโดนสนามพลังในสนามรบเก่าเข้า
ซุนจี้แย้มรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมอย่างสะใจบนความทุกข์คนอื่น จากนั้นพาลูกศิษย์สิบกว่าคนและชายสี่คนในชุดคลุมจักรพรรดิสีเหลืองสดที่เหลืออยู่เร่งออกเดินทาง
“ระวัง เดินตามข้างหลังข้า อย่าเดินผิดทาง” ในดวงตาซุนจี้มีลวดลายสว่างหมุนวน หลอมรวมเนตรเวทขึ้นมา มองสำรวจพลางหาเส้นทางปลอดภัย
ในเมื่อพวกหลี่มู่ผ่านสนามรบเก่าบนทะเลทรายไปได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าแผนที่เส้นทางเซียนนั้นถูกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่ทางตันแน่ จะต้องผ่านไปได้ ผู้ฝึกตนที่มาจากนอกพิภพไม่มีเหตุผลที่จะสู้ชนพื้นเมืองต่ำต้อยอย่างหลี่มู่ไม่ได้
ทว่า เรื่องราวกลับไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่ซุนจี้คิดเอาไว้
ทั้งที่เนตรเวทของเขาสามารถสำรวจหาเส้นทางปลอดภัยได้แท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไม บนเส้นทางปลอดภัยที่ว่ากลับสัมผัสพบสนามพลังจิตสังหารของสนามรบเก่าตามลำดับก่อนหลังหลายครั้ง ทำให้เกิดการสังหารจากพลังทำลายล้าง สู้สุดชีวิตเสียของล้ำค่าไปหลายชิ้นถึงจะพอเปลี่ยนเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้ แต่ลูกศิษย์ข้างกายก็ตายไปแล้วอีกหกคน…
“ย้ากกก สมควรตาย หลี่มู่ ข้าจะฆ่าเจ้า”
ซุนจี้โมโหเดือดดาล เขารู้แล้วว่าเป็นหลี่มู่ที่วางกับดักไว้ในสนามรบเก่า และเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง ทำให้เนตรเวทของเขาเกิดความคลาดเคลื่อน
“ย้ากกก หลี่มู่ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้”
ห่างออกไปยี่สิบลี้ข้างหน้า ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงก็คำรามอย่างคลุ้มคลั่งเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสขั้นนักรบจากสำนักมารฟ้าผู้นี้ก็ตกหลุมพรางของหลี่มู่หลายต่อหลายครั้ง ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ลำบากเหนื่อยยากยิ่งนัก
ผู้แข็งแกร่งจากนอกพิภพตกอยู่ในความหงุดหงิดอย่างหนักหน่วง
ในตอนนี้ ขั้วอำนาจผู้ฝึกตนนอกพิภพหลายสิบกลุ่มที่ตามมาทีหลังข้ามผ่านเนินทรายเทพโบราณถือธงศึก เข้ามาในสนามรบเทพมารบนทะเลทรายแห่งนี้ได้แล้ว
จำนวนคนประมาณสามสี่ร้อย ในนั้นมีปรมาจารย์ค่ายกลสามคนร่วมมือกันฝ่าสนามพลังบนเนินทราย รวดเร็วเป็นอย่างมาก
นอกพิภพอย่างไรก็มีคนมากความสามารถ
เผชิญหน้าอุปสรรคสนามพลังจิตสังหารของสนามรบเทพมารบนทะเลทราย สำนักใหญ่นอกพิภพทั้งหลายเลือกร่วมมือกันชั่วคราว
ผู้ฝึกตนของสำนักพวกนี้เดินหน้าไปได้รวดเร็วว่องไว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ผู้ฝึกตนสำนักต่างๆ ที่มาถึงทีหลังใกล้จะตามคนของสำนักมารฟ้าและวังประสานฟ้าทันแล้ว
เวลานี้เอง…
“ผู้อาวุโส ท่านดู” ลูกศิษย์วังประสานฟ้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
คนอื่นๆ ก็มองไปตามทิศที่ลูกศิษย์คนนี้ชี้ เห็นในทรายห่างออกไปสามจั้งมีป้ายไม้เล็กๆ ปักอยู่ บนนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘ที่ฝังศพบรรพชนวังประสานฟ้า’ อะไรพวกนี้เอาไว้ และทิ้งท้ายไว้ว่า ‘ท่านปู่หลี่มู่อยู่ยืนยง’
“สมควรตาย” คนที่ตามมาทีหลังตามทัน ซุนจี้แต่เดิมก็หงุดหงิดอยู่แล้ว พอได้เห็นก็โมโหเดือดดาล ใช้ฝ่ามือหนึ่งฟันออกไป กระแสปราณสะเทือนป้ายไม้จนแหลก แต่เสี้ยวขณะเดียวกันนี้เขาก็พลันตั้งสติได้ ร้องขึ้นว่า “แย่แล้ว…”
ยังพูดไม่ทันจบ
ทรายรอบๆ หอบม้วน โครงกระดูกเทพโบราณสีเหลืองทองหลายสิบร่างยืนขึ้นท่ามกลางเม็ดทราย จิตสังหารอันน่าหวาดกลัวโถมปะทุราวคลื่น
ทันใดนั้น….
เปรี้ยง โครม!
ทั้งสนามรบเก่าของเทพมารเริ่มพังทลายคล้ายโดมิโน จิตสังหารมุ่งต่อสู้และกระแสความปั่นป่วนทุกหนแห่ง รวมถึงพลังรุนแรงในอาวุธสงครามถูกเหนี่ยวนำออกมาหมด ทุกสิ่งในอาณาบริเวณหลายร้อยลี้ระเบิดปานกระทะน้ำมันร้อนจัด เดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
“ฆ่า สู้ตัวตายไม่ถอย”
“รักษาดินแดนบรรพชนเอาไว้ ตายตกไปพร้อมกัน”
“สู้ สู้ สู้ สู้จนถึงคราวสุดท้าย”
“ปกป้องคนรุ่นหลังของเรา”
“ฆ่า”
เสียงโบราณต่างๆ นานาเหมือนข้ามผ่านห้วงเวลายาวนานมา ดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือทะเลทรายผืนนี้ จิตยึดมั่นของนักรบที่ตายไปแล้วถูกเหนี่ยวนำก่อนระเบิดปะทุ ประดุจกองทัพมหาศาลกำลังโรมรันฆ่าฟัน จิตสังหารน่าสะพรึงแปรเปลี่ยนเป็นแท่นโม่หินขนาดยักษ์ จะบดขยี้สรรพสิ่งในทะเลทรายแห่งนี้ให้แหลกละเอียดสิ้น
ผู้คนจากฝั่งต่างๆ ที่แต่เดิมบุกไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น เวลานี้ต้องเผชิญกับเคราะห์มหันตภัย
“เจ้าโง่” ปรมาจารย์ค่ายกลคนหนึ่งตวาดลั่น ก่นด่าซุนจี้ผู้อาวุโสขั้นนักรบแห่งวังประสานฟ้า
……
ห่างออกไปหลายร้อยลี้
หลี่มู่สัมผัสได้ หันกลับไปมองทางทะเลทราย บนใบหน้าฉายรอยยิ้มบางๆ
“คราวนี้ ผู้ฝึกตนนอกพิภพพวกนี้คงกระอักเลือดกันแล้ว”
หลี่มู่เอ่ย
หลี่มู่ไม่มีความรู้สึกดีๆ กับคนพวกนี้แม้แต่น้อย ลำพังแค่สิ่งที่พวกเยวี่ยกั๋วเซียงทำเอาไว้บนแผ่นดินใหญ่ก็เหมือนกับคนฆ่าสัตว์ ไม่มองคนบนโลกใบนี้เป็นมนุษย์ แต่มองเป็นสัตว์ เป็นอาหาร ฆ่าแกงได้ตามใจ พวกนี้ไม่ใช่คนดีอะไรทั้งนั้น หลี่มู่วางแผนจัดการพวกเขาแล้วไม่มีความกดดันในใจแม้แต่น้อย
“พวกเรารีบออกเดินทาง จิตสังหารที่สนามรบเก่าสกัดพวกเขาเอาไว้ไม่ได้นานนัก” หลี่มู่พูดขึ้น
เขาไม่ประมาทคู่ต่อสู้
นอกพิภพจะต้องมีผู้สูงส่ง มีปรมาจารย์ค่ายกลแน่นอน การฝ่าทะลวงค่ายกลออกมาเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
เดินหน้าต่อไป
ตลอดทางมามีอุปสรรคกีดขวางมากมาย มีทั้งหนองน้ำลวงจิต ขุนเขาหน้าผาสูงชัน หุบเหวไอพิษ มีเส้นทางที่ประหนึ่งเขาวงกต ทั้งยังมีเทพโบราณที่ดับสูญเฝ้ารักษาอยู่รอบบริเวณร้อยลี้…
ประมาณครึ่งวันต่อมา พวกหลี่มู่ก็มาถึงดินแดนภูเขาสวยสายน้ำงดงามแห่งหนึ่ง
ภูเขาเขียวขจีที่เหมือนนิ้วมือทั้งห้ากางออกปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกหลี่มู่
เขาเขียวน้ำใส เสียงน้ำตกกระหึ่มก้อง
“ถึงแล้ว” หลี่มู่อึ้งตะลึง
ที่นี่เรียกว่าเขาห้าองคุลี เป็นสถานที่ปลายทางบนแผนที่เส้นทางเซียน
เซียนท่านนั้นอยู่ในเขาห้าองคุลีแห่งนี้