จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 454 โอสถไร้เทียมทาน
ตอนที่หาที่พำนักของเซียนพบในที่สุด ใจของหวางซืออวี่กอดความหวังที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ ทว่าเมื่อได้เห็นท่านเซียนแล้ว ความหวังในใจนางก็หม่นแสงลงทันตา เพราะชายชราที่เหมือนสิ้นลมได้ทุกเมื่อคนนี้พูดจาเหมือนลมรั่ว ต่อให้เคยโดดเด่นเป็นหนึ่งกำราบใต้หล้ามาอย่างไร ตอนนี้กลับมีดินเหลืองฝังกลบจนถึงในคอแล้ว จะไปทำอะไรได้
ทว่าไม่คิดเลย พอจักรพรรดิเซียนหมิงกวงคนนี้เอ่ยปากก็บอกความพิเศษของร่างกายหมิงเยวี่ยออกมาหมด จากนั้นยังบอกว่าร่างกายของเธอเองไม่ใช่ว่าฝึกฝนไม่ได้ แต่เป็น ‘กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสง’
กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสงคืออะไร?
หวางซืออวี่ไม่รู้
แต่เธอรู้ ฟังจากน้ำเสียงของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงแล้ว ตนเองเหมือนว่าจะฝึกฝนได้
ตั้งแต่เธอมาถึงโลกใบนี้ นี่คือข่าวที่น่าดึงดูดใจมากที่สุด
เมื่อก่อนถูกปรามาสมามากมาย ต่อให้เป็นหลี่มู่ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาเรื่องร่างกายของเธอได้ ทำให้หวางซืออวี่แทบจะหมดหวัง ผลทารกก็ยังรังเกียจนาง ฟ้าสาปสวรรค์ลงทัณฑ์ ราวกับเธอเป็นคนบาปอย่างไรอย่างนั้น ทว่ายามนี้ หลังจากความมืดมิดอันนานแสนนาน ในที่สุดรุ่งอรุณก็มาถึงแล้วหรือ?
“อาวุโส ข้าไม่มีสำนักไม่มีพรรค ไม่สามารถบำเพ็ญวรยุทธ์ได้ ข้า…ฝึกฝนวิชาของท่านได้จริงหรือ?” เสียงของหวางซืออวี่สั่นเครือเล็กน้อย
“ฝึกได้ วิชาธรรมดาเจ้าไม่อาจฝึกฝนได้แน่นอน เพราะเส้นลมปราณเจ้าหยุดนิ่ง ตันเถียนแห้งเหือด มีกายจรัสแสงแต่กำเนิด เสมือนเหล็กชั้นดี” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงหายใจหอบ พูดไม่กี่คำก็ต้องหยุดครู่หนึ่ง “นั่นเป็นเพราะร่างกายของเจ้า เป็นหนึ่งในร่างทำศึก….ที่แข็งแกร่งที่สุดประเภทหนึ่งในจักรวาลนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ขอแค่ได้ฝึกฝนวิชาที่ถูกต้อง เจ้าก็จะเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดได้”
“นี่มัน…จริงหรือ?” หวางซืออวี่รู้สึกเหมือนเห็นภาพฝันที่ต้นร้ายปลายดี กลัวว่าทั้งหมดจะเป็นเพียงความฝัน
หลี่มู่ที่อยู่อีกด้าน ในใจเต็มก็ไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง
ปัญหาเรื่องการฝึกของหวางซืออวี่เป็นความทุกข์ในใจเขามาโดยตลอด ถึงแม้เพื่อนนักเรียนเก่าคนนี้ ปกติแล้วจะแสดงท่าทีที่ดูเหมือนไม่ได้ร้อนใจอะไร ทว่าพลังจิตวิญญาณของหลี่มู่แข็งกล้านัก สัมผัสความรู้สึกในใจเธอได้ว่าร้อนรนเพียงไหน
ทว่าหลี่มู่ก็ทดลองด้วยวิธีมากมายแล้ว แต่ล้วนไม่ได้ผล
ขนาดพบตำราลับวิถียุทธ์และวิชาเซียนมากมายในมิติเก็บของของพวกเยวี่ยกั๋วเซียง จักรพรรดิฉินหมิง กับหญิงชราไม้เท้าดำซึ่งเป็นผู้ฝึกตนจากนอกพิภพ ก็ไม่พบวิธีที่จะเปลี่ยนร่างกายหวางซืออวี่ให้สามารถฝึกวิชาได้
ตอนนี้ ในที่สุดก็แก้ปัญหาได้แล้วหรือ?
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเผยยิ้มใจดีบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่น กล่าวตอบว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง กายศักดิ์สิทธิ์จรัสแสงเป็นถึงกายศักดิ์สิทธิ์เชียว ไม่ว่าร่างกายใด เมื่อเกี่ยวข้องกับคำว่าศักดิ์สิทธิ์จะเป็นหนึ่งในร่างชั้นยอดของจักรวาล หมื่นปีจะพบสักครั้ง ขอแค่ฝึกฝนวิชาของข้า ตีฝ่าด่านแรกไป ก็จะพัฒนารุดหน้าเร็วยิ่ง….เด็กน้อย เจ้ายินดีฝากตัวเป็นศิษย์ข้าหรือไม่?”
หวางซืออวี่หันไปมองหลี่มู่ตามสัญชาตญาณ
หลี่มู่ยิ้มพลางพยักหน้าให้
ตุบ!
หวางซืออวี่คุกเข่าลงบนพื้น พูดอย่างศรัทธาเลื่อมใส “ข้าหวางซืออวี่ ขอฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงพยักหน้าขณะหายใจหอบ เอ่ยว่า “อืม ก้มศีรษะคารวะบุญคุณอาจารย์ อาจารย์คนนี้รับเจ้าเป็นศิษย์แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเข้าเป็นศิษย์ข้าต้องปฏิบัติตามวินัยของข้า หากล้มบรรพจารย์ ทรยศสำนัก ฟ้าดินจะประณามเจ้า” เขาพูดกฎสิบห้าข้อออกมาด้วยอาการหายใจหอบ ทั้งหมดเป็นความคิดเก่าแก่โบราณ แต่ไม่ได้ฝ่าฝืนศีลธรรมฟ้าดิน พูดจบแล้วจึงถามอีกครั้ง “เจ้ายอมรับใช่ไหม”
“ศิษย์ยอมรับเจ้าค่ะ” หวางซืออวี่น้อมคำนับ
เรื่องด่วนเรียบง่ายไว้ก่อน กฎข้ออื่นละเอาไว้ชั่วคราว
หลี่มู่เห็นว่าจักรพรรดิเซียนหมิงกวงสีหน้าเริ่มแย่ลงเนื่องจากพูดติดต่อกัน ลมหายใจอ่อนระโหย กังวลว่าเขาจะหายใจต่อไม่ไหว จึงรีบเอาโอสถเทพบางส่วนที่ได้จากฟ้านิจนิรันดร์ออกมา
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็ไม่รอช้า กินโอสถเทพลงไปหลายเม็ด สีหน้าจึงดีขึ้นบ้าง
ทว่าเขาพักผ่อนไปครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะ ปฏิเสธโอสถเทพที่หลี่มู่ส่งมาให้อีก บอกว่า “ขอบคุณเด็กน้อยอย่างเจ้ามาก อาการบาดเจ็บของข้าอยู่ที่รากฐานพลัง โอสถสมุนไพรเหล่านี้แม้จะไม่ใช่ของธรรมดา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่โอสถไร้เทียมทาน ยากจะชดเชยรากฐานพลังของข้าได้ คล้ายดื่มเหล้าพิษเพื่อดับกระหายเท่านั้น”
ขณะที่เขาพูด แขนซ้ายกวัดแกว่งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ลมพัดเข้ามาเลิกแขนเสื้อเขาเปิดขึ้น สิ่งที่อยู่ข้างใต้คือท่อนแขนขาดที่ไม่มีฝ่ามือ ตรงรอยตัดกล้ามเนื้อฝ่อดุจส้มที่แห้งเหี่ยว ไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าถูกตัดขาดไปนานมากแล้ว
จักรพรรดิเซียนที่มีอภินิหารไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีมือได้อย่างไรกัน?
คนแบบไหนที่ตัดมือเขาได้
หลี่มู่เห็นแล้วหัวใจสะดุดกึก
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่มู่ จึงยกแขนซ้ายขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่ด้วนไร้มือ สีหน้าปลงอนิจจังสุดแสน ระลึกความหลังอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ “ปีนั้นข้ากับมารตนนั้นสู้ศึกจนถึงที่สุด ไม่มีทางเลือกต้องตัดมือซ้ายทิ้ง เปลี่ยนให้เป็นเขาห้าองคุลีเพื่อสะกดมารร้ายตนนั้นไว้ มือไม่อาจงอกกลับมาใหม่ได้อีก...” ระหว่างพูดเขาทอดถอนใจไม่หยุด
ทุกคนได้ยินแล้วใจสะท้าน
ที่แท้เขาห้าองคุลีนี้มาจากมือซ้ายของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเองหรือ?
ไม่แปลกใจเลยที่ยอดเขานี้มองไปแล้วเหมือนมือของมนุษย์…อืม ผลลัพธ์ก็คือแปรสภาพมาจากมือของมนุษย์จริง จักรพรรดิเซียนหมิงกวงใช้มือข้างหนึ่งของตนสะกดมารร้ายไว้ ถือว่าเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนัก
“เมื่อครู่ท่านอาจารย์พูดถึงโอสถไร้เทียมทาน หมายถึงอะไรหรือ?” หวางซืออวี่พลันถาม
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเผยสีหน้าห่อเหี่ยว ตอบว่า “โอสถไร้เทียมทานเป็นรากวิญญาณแห่งฟ้าดิน ชีพจรวิญญาณแห่งจักรวาล บ่อเกิดวิญญาณแห่งดาราสมุทร แก่นวิญญาณแห่งดวงดารา เมื่อได้รับมาหนึ่งสามารถพลิกจากตายเป็นฟื้นได้ แต่ว่าโอสถเซียนระดับนี้หาได้ยากยิ่ง หากไม่ใช่วาสนาระดับฝืนชะตาสวรรค์ ต่อให้เป็นคนยักษ์ใหญ่สายวิชาเซียนก็ยากที่จะได้มาครอง”
รากวิญญาณแห่งฟ้าดิน?
สมองของหลี่มู่คิดถึงสิ่งหนึ่งทันที
หวางซืออวี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง กล่าวว่า “รากวิญญาณแห่งฟ้าดิน ก่อนหน้านี้พี่มู่เคยบอกว่าต้นผลทารกก็เป็นรากวิญญาณแห่งฟ้าดินนี่” เธอมองจักรพรรดิเซียนหมิงกวง “ท่านอาจารย์ ผลทารกใช่โอสถไร้เทียมทานที่ท่านพูดถึงหรือไม่?”
“เจ้าก็รู้จักต้นผลทารกด้วยหรือ? ก็ยังได้มายากนัก ต้นไม้นี้คือรากวิญญาณแห่งฟ้าดินจริง ในสุสานเทพมีสถานที่หนึ่งที่มีต้นไม้นี้อยู่ เพียงแต่ว่าสุสานเทพถึงอย่างไรก็เป็นพื้นที่ของคนตาย ถูกคนที่สร้างสุสานใหญ่นี้ดูดพลังชีวิตไป ต้นผลทารกนั้นก็กลายเป็นหินไปแล้ว น่าเสียดาย” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
หวางซืออวี่บอก “ท่านอาจารย์ บนต้นไม้นั้นออกผลถึงสี่ลูก พวกเราพบมันตอนที่ไปถึงด้วย…”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงตะลึงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เป็นไปได้อย่างไร…แล้วผลมันเล่า?”
หวางซืออวี่ก้มหน้าลง
พวกหลี่มู่ก็มึนงงไปนิดเช่นกัน
หมิงเยวี่ยเอ่ยอย่างมึนๆ ว่า “ท่านปู่ ไม่ต้องคิดถึงผลของมันแล้ว ท่านบอกช้าไป พวกเรากินมันหมดแล้ว…ขอโทษด้วยจริงๆ พวกเราก็ไม่รู้ว่าผลไม้นั่นสำคัญต่อท่านขนาดนี้”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงพูดไม่ออก
“ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าต้นไม้หินนั่นจะออกผลทารกมาถึงสี่ลูก ฟ้าดินกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง หรือว่าสุสานเทพแห่งนี้เกิดปัญหาบางอย่างขึ้น?” เขาประหลาดใจ คิดคาดคะเนอย่างระมัดระวังและไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ ทว่าต่อมาก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ “นี่เป็นโชคชะตาที่เขียนไว้แล้ว อยู่ใกล้โอสถไร้เทียมทานเพียงนี้ แต่ไม่มีวาสนากับข้า โชคชะตากำหนดไว้ให้ข้าต้องถูกฝังที่นี่”
ชิงเฟิงกล่าวขึ้นทันใด “ไม่สิ ยังมีผลทารกอีกลูกหนึ่ง”
หลี่มู่ตาเป็นประกาย เอ่ยว่า “ถูกต้อง ยังเหลืออีกหนึ่งลูกที่ไม่ได้ถูกกิน แต่ว่ามุดหายไปใต้ดินแล้ว…” ผลทารกลูกนั้นที่รังเกียจหวางซืออวี่จน ‘หนีไป’ หลบซ่อนอยู่ใต้พื้นดินของสวนผลไม้
หลี่มู่จำได้อย่างชัดเจน ในเรื่องไซอิ๋ว ซุนหงอคงมาอาละวาดในสวนผลไม้ ผลทารกที่ตีตกลงมาแรกสุดก็หล่นลงไปใต้พื้นดิน และเพราะเจ้าผลไม้ลูกนี้ ถึงทำให้จำนวนผลบนต้นไม้ผิดไป เด็กรับใช้นามชิงเฟิงและหมิงเยวี่ยมาเห็นเข้าก็ดุด่าต่อว่า ซุนหงอคงที่รำคาญจึงอาละวาดโค่นต้นผลทารกลง ทว่าต่อมาเจ้าแม่กวนอิมช่วยรักษาต้นผลทารก ผลทารกลูกนั้นที่หล่นลงใต้ดินก็กลับไปงอกใหม่บนต้นไม้
นั่นหมายถึงว่าผลทารกที่ ‘เมื่อเจอดินก็มุดหนี’ แท้จริงแล้วสามารถเก็บกลับมาจากใต้ดินได้
“ใช่ๆๆ ยังมีอีกลูกหนึ่ง” หวางซืออวี่ตาเป็นประกาย รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เสียรอบหนึ่ง
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงได้ฟัง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดี เอ่ยขึ้นว่า “หากเป็นดั่งที่พูดมา สวรรค์ยังเหลือโอกาสเสี้ยวสุดท้ายไว้ให้ข้าสินะ”
หวางซืออวี่กล่าว “เช่นนั้นพวกเราต้องรีบกลับไป ไปสวนผลไม้แล้วหาวิธีนำผลทารกออกมาจากใต้ดิน”
ตอนนี้เอง ชิงเฟิงที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากอีกครั้ง “ดูท่าจะกลับไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้สำนักนอกพิภพเหล่านั้นคงอยู่ไม่ห่างจากเขาห้าองคุลีเท่าไรนักแล้ว”
ทุกคนจึงนึกขึ้นมาได้ ด้านหลังยังมีทหารชั่วร้ายอำมหิตไล่ตามมา
ชิงเฟิงมองไปยังจักรพรรดิเซียนหมิงกวงก่อนจะถาม “ผู้อาวุโสมีวิธีที่จะทำให้พวกสำนักนอกพิภพหลีกทาง หรือให้พวกเขาถอยทัพไปหรือไม่?”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงได้ยินก็ตอบว่า “พันปีก่อนหน้า ข้าส่งแผนที่ออกไป คิดจะให้คนภายนอกมาที่นี่เพื่อรับมรดกสืบทอดของข้าออกไป แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองที่บาดเจ็บหนักจะอยู่มาได้ถึงพันปี ตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพใกล้ลาโลกแล้ว หากคิดจะทำให้พวกสำนักนอกพิภพถอยร่นไป…ดูท่าจะยากนัก”
ชื่อเสียงเมื่อกาลก่อน จนแล้วจนรอดก็เป็นดอกเบญจมาศในวันวาน
ในบรรดาสำนักเซียน เพื่อวิชาและทรัพยากร ศึกนองเลือดแย่งชิงแบบไหนบ้างที่ไม่เกิดขึ้น? สำนักเหล่านั้นสามารถทำเรื่องที่บ้าคลั่งใดๆ ก็ได้เพื่อแย่งชิงสิ่งสืบทอด
ชิงเฟิงถามต่อ “ผู้อาวุโส มารร้ายที่ถูกสะกดไว้ในเขาห้าองคุลีเป็นตัวอะไรกันแน่?”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงตกตะลึง เอ่ยตอบว่า “เป็นปีศาจที่หนีออกมาจากดินแดนคนบาปตนหนึ่ง กลืนกินวิญญาณสรรพสิ่ง หากมันเติบโตขึ้นมาสามารถบดขยี้เขตดาราหนึ่งได้เลย…เจ้าถามทำไมหรือ?”
ชิงเฟิ่งยิ้มๆ ตอบว่า “ข้าแค่อยากรู้เท่านั้น”
หวางซืออวี่กล่าว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาอยากรู้อยากเห็นนะ…ใช่แล้ว ข้าจำได้ว่าตอนถูกล้อมอยู่ในอารามอู่จวง คนพวกนั้นพูดว่า ผู้ที่กินผลทารกเข้าไป ร่างกายจะมีฤทธิ์ของโอสถอยู่ เลือดเนื้อก็เปรียบเหมือนตัวโอสถ หากท่านอาจารย์ดื่มเลือดที่แฝงฤทธิ์โอสถลงไป จะฟื้นพลังบางส่วนมาได้ไหม?”
คำแนะนำนี้ของนางทำให้พวกหลี่มู่ล้วนตาเป็นประกาย
ชิงเฟิงขมวดคิ้ว มองไปยังหวางซืออวี่ จากนั้นหันมองหลี่มู่ แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
หมิงเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างทึ่มทื่อว่า “ท่านปู่ วิธีที่พี่สาวข้าพูดใช้ได้หรือไม่ ถ้าได้ละก็ ข้าจะให้ท่านดื่มเลือดของข้าสักเล็กน้อย”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงตอบกลับ “ตามทฤษฎีแล้ว น่าจะฟื้นคืนพลังข้าได้บางส่วน แต่การดื่มเลือดสดมนุษย์ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง…”
“อืดอาดยืดยาดจริงๆ” หมิงเยวี่ยปาดแขนของตัวเองทันใด ก่อนหยิบชามหยกมาใบหนึ่ง รองเลือดไว้ครึ่งชามแล้วยื่นไปให้ บอกว่า “ท่านปู่ เลือดแค่นี้พอหรือไม่?”