จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 456 มรดกค่ายกล
ไม่นานนัก จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็เลือกสมบัติล้ำค่าได้สามสิบหกชนิด เป็นยารักษาเสียส่วนมาก ถึงแม้จะไม่อาจเทียบได้กับโอสถไร้เทียมทานที่เขาเอ่ยถึง แต่ก็มีสรรพคุณปรับเสริมรากฐานในระดับหนึ่ง นับว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน
เขากินยาพวกนี้ลงไปอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ปรับลมหายใจ ฟื้นฟูพลังฝึกต่อ
อักขระเต๋าอันน่าหวาดกลัววนล้อมแน่นขนัดอยู่รอบกายจักรพรรดิเซียนหมิงกวง น่าครั่นคร้ามกว่าตอนที่ดื่มเลือดหมิงเยวี่ยแล้วปรับลมหายใจครั้งแรกมาก ทุกอักขระละเอียดยิบประหนึ่งแฝงด้วยไฟอัสนีของจิตสูงสุดแห่งมรรคา เดี๋ยวเก็บซ่อนเดี๋ยวปลดปล่อย เดี๋ยวหดเดี๋ยวขยาย หล่อหลอมร่างกายของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงไม่หยุด
พลังฟ้าดินรอบเขาห้าองคุลีบิดม้วนตีเกลียวออกมาเหมือนคลื่นวนยักษ์กลางทะเล โดยมีจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะผสานเข้าไปในกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ปรับเสริมรากฐานพลังของเขาควบคู่ไปกับสรรพคุณจากเม็ดยา
‘พลังเซียน’ เป็นกลุ่มเป็นสายทะลักออกมาจากในร่างของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
ที่เรียกว่าพลังเซียน อันที่จริงแล้วหลักๆ เป็นเพราะไม่ว่าจะพวกหลี่มู่หรือผู้ฝึกตนนอกพิภพ ก็ล้วนไม่เคยเห็นพลังชนิดนี้มาก่อน
นั่นเป็นพลังระดับขั้นสูงขึ้นไปอีก ละม้ายผ้าโปร่งบางและก็คล้ายกลุ่มควัน เป็นเพียงแค่เส้นสาย ประหนึ่งล่องลอยไม่แน่นอน เหมือนแค่สายลมพัดก็จะปลิวกระจาย แต่กลับทำให้คนทั้งหมดที่นั่นรู้สึกตื่นตระหนกยำเกรง ราวกับว่าเพียงถูกเศษเสี้ยวพลังนั้นพัดผ่านก็จะจมมิดไปตลอดกาล
พลังฟ้าดินเสมือนลมพายุ เริ่มหมุนวนโดยมีจักรพรรดิเซียนหมิงกวงเป็นศูนย์กลาง
คนทั้งหลายยากจะทานทนต่ออานุภาพกดดันนี้ได้ ต่างถอยหลังไปสองลี้
ใบหน้าของทุกคนฉายแววตกตะลึง
พวกเขาตื่นตะลึงกับความแข็งแกร่งของพลังจักรพรรดิเซียนหมิงกวง นี่เป็นตัวตนอีกระดับหนึ่งโดยสิ้นเชิง อยู่เหนือกว่าระบบวิถียุทธ์ของทั้งเขตดาราเทพวีรชนไปอีก
เวลาผ่านไป
การปรับลมหายใจของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงหยุดลง
ยามนี้ สายตาของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงมองกลับมายังพวกหลี่มู่ นัยย์ตาฉายความเคียดแค้น เขาพลิกมือชักดาบยาวข้างหลังออกมา และเดินไปทางพวกหลี่มู่ทีละก้าว
คลื่นพลังฝึกขั้นนักรบ ต่อให้ถูกแรงกดดันไร้รูปร่างในเขาห้าองคุลีควบคุมเอาไว้ก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
จิตสังหารอันน่าหวาดหวั่นประดุจอาวุธแหลมคมชี้มาที่หลี่มู่
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวางซืออวี่มองไป “คิดจะฆ่าสหายของข้าอย่างนั้นรึ? ทางที่ดีคิดให้รอบคอบก่อนจะดีกว่า พวกเจ้าสำนักมารฟ้าจะต้านทานการโจมตีจากโทสะของอาจารย์ข้าได้หรือไม่”
จ่างซุนฉางคงชะงักไปเล็กน้อย ค่อนข้างลังเล
ก่อนหน้านี้ จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็แนะนำแล้วว่าหวางซืออวี่คือผู้สืบทอดมรดกวิชาของเขา น้ำหนักของเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว ต่อให้แข็งแกร่งเช่นเขาก็จำต้องให้ความสำคัญ
“ฮ่าๆ ท่านเซียนเข้าใจผิดแล้ว สหายของท่านอายุน้อยมีความสามารถโดดเด่น ด้านค่ายกลก็ไม่เป็นรองใคร สร้างอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเราก่อนหน้านี้ ข้าก็แค่อยากสนิทสนมอีกนิดหนึ่งเท่านั้น” จ่างซุนฉางคงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะเก็บดาบยาวกลับไป
หวางซืออวี่ไม่พูดอะไร
เมื่อครู่นับว่าเธอยืมชื่อจักรพรรดิเซียนหมิงกวงมาแอบอ้างบารมีแล้ว
จ่างซุนฉางคงชี้คนวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตลายเทาเที่ยสามสี่คนในกลุ่มคนข้างๆ เอ่ยอย่างมีความนัยขึ้นว่า “ขอแนะนำเสียหน่อย สามสี่ท่านนี้เป็นปรมาจารย์ค่ายกลของสำนักค่ายกลสวรรค์ ก่อนหน้านี้ได้สัมผัสกับวิชาของหลี่มู่ พูดอยู่ตลอดว่าอยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเขาสักหน่อย พวกเจ้ามิลองทำความรู้จักกันให้ดีๆ เล่า ฮี่ๆ”
ในฝูงชน แววตาที่คนวัยกลางคนสามสี่คนในชุดนักพรตลายเทาเที่ยมองหลี่มู่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ร้อนระอุและละโมบ สีหน้าซับซ้อนมาก
ได้ยินจ่างซุนฉางคงพูดเช่นนี้ ชายวัยกลางคนตาเดียวที่ผมเปลี่ยนเป็นสีเทาขาวแล้วเดินออกมา ประสานมือคารวะเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยด้วยยิ้มเสแสร้ง “ค่ายกลของสหายน้อยแตกต่างไม่เหมือนใคร ทำให้ข้าทึ่งจริงๆ ข้าคือโอวหยางจื้อ ผู้อาวุโสคุมกฎสูงสุดแห่งสำนักค่ายกลสวรรค์ ดวงตาข้างนี้เสียไปเพราะทำลายค่ายกลของสหายน้อย ของกำนัลชิ้นใหญ่ชิ้นนี้ ข้าจะไม่ลืมแน่นอน” ในคำพูดแฝงการประชดแดกดัน
หลี่มู่เข้าใจกระจ่างทันที
มิน่าเล่า ตนอาศัยลักษณะพื้นที่วางค่ายกลไปมากมายขนาดนั้น แต่กลับขวางผู้ฝึกตนนอกพิภพพวกนี้เอาไว้ได้ครู่เดียว ที่แท้อีกฝ่ายมีปรมาจารย์ค่ายกลนี่เอง
ทว่า น่ากลัวว่าความสามารถของคนสำนักค่ายกลสวรรค์จะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร มิฉะนั้นโอวหยางจื้อที่เป็นผู้อาวุโสคุมกฎสูงสุดคงไม่ถูกทำให้ตาบอดไปข้างหนึ่ง
“พูดได้ดีๆ ค่ายกลของข้าก็ร้ายกาจจริงๆ นั่นแหละ เจ้าทึ่งก็สมควรแล้ว” หลี่มู่จงใจเอ่ยด้วยยิ้มจอมปลอมเช่นกัน “ศาสตร์ค่ายกลล้ำลึกเกินหยั่ง เจ้าความรู้ตื้นเขิน ตาบอดไปข้างหนึ่งนับว่าปกตินัก และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าที่ลำบากทำด้วยใจใช้วิธีนี้เตือนเจ้า วันหน้าศึกษาเรียนรู้ให้มากๆ เข้า จะได้ไม่ต้องตาบอดอีกข้าง”
“เจ้า…” โอวหยางจื้อโมโหจนแทบพ่นไฟ
ศิษย์คนอื่นๆ ของผู้อาวุโสสำนักค่ายกลสวรรค์ยากจะระงับเพลิงโทสะ อยากแล่หลี่มู่ทั้งเป็นนัก
“ข้าน้อยผู้คุมกฎซ้ายแห่งสำนักค่ายกลสวรรค์เฉียนเจิ้นอวิ๋น ขอถามสักหน่อย สหายน้อยหลี่ ความชำนาญด้านค่ายกลของเจ้าร่ำเรียนมาจากที่ใด เป็นศิษย์ใครสำนักใด?” ชายวัยกลางคนอีกคนที่บนหน้ามีจุดกระใหญ่ๆ หลายจุดประสานมือคารวะอย่างเกรงใจ ท่าทีดูเป็นมิตรยิ่งนัก น้ำเสียงถ่อมตนเป็นพิเศษ
หลี่มู่ตอบไปตามปาก “ไม่มีครู ไม่มีสำนัก เรียนเอาเอง”
“อ้อ เช่นนั้นแล้ว หรือสหายน้อยจะบังเอิญได้เจอโอกาสวาสนา ได้รับสืบทอดค่ายกลมาอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของคนหน้ากระเฉียนเจิ้นอวิ๋นฉายความยินดี
นัยน์ตาของคนสำนักค่ายกลสวรรค์คนอื่นๆ ก็มีประกายร้อนระอุเคลื่อนไหวเช่นกัน
หลี่มู่ไม่อยากพัวพันกับคำถามนี้ต่อไป จึงเอ่ยเรียบๆ “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
เฉียนเจิ้นอวิ๋นเห็นหลี่มู่ตอบแบบนี้ ในใจก็ยิ่งมั่นใจกว่าเดิม
อันที่จริงในระหว่างการทำลายค่ายกลก่อนหน้านี้ คนสำนักค่ายกลสวรรค์ทั้งหลายต่างตกใจกับค่ายกล กลไก และวิชาทั้งหลายที่หลี่มู่ทิ้งเอาไว้มาก สำนักพวกเขาฝึกฝนค่ายกลและสนามพลังอย่างยากลำบาก มีชื่อในเขตดาราเทพวีรชนด้วยความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้ ทั้งยังเป็นสำนักที่สำนักทั้งหลายอยากจะคบค้าเอาใจ ต่อให้เป็นพวกสำนักมารฟ้า หรือวังประสานฟ้า ทะเลโลหิต ร้อยวิญญาณ ก็ยังต้องคำนับถอยให้สามส่วน เพราะไม่ว่าจะเป็นค่ายกลของสำนัก การหลอมอาวุธลงอักขระ การสำรวจแหล่งแร่ หรือการหาเส้นชีพจรพิภพล้วนแต่ต้องใช้ค่ายกลทั้งสิ้น จำเป็นต้องอาศัยพลังของสำนักค่ายกลสวรรค์ แต่พวกเขาที่ใช้วิชาค่ายกลหาเลี้ยงชีพกลับไม่เคยเห็นค่ายกลที่หลี่มู่วางไว้พวกนั้นเลย เป็นศาสตร์ใหม่โดยสิ้นเชิง ไม่สิ พูดได้ว่าเป็นศาสตร์ค่ายกลที่ระดับความล้ำลึกอยู่เหนือแก่นแท้ของสำนักค่ายกลสวรรค์เสียอีก
หากไม่ใช่ว่าพลังฝึกของหลี่มู่ไม่สูงพอ ขอบเขตพลังไม่ลึกล้ำ พวกเขาก็ไม่มีทางทำลายค่ายกลพวกนั้นได้เลย ทั้งยังมากพอที่จะฝังพวกเขาไว้ตามทางได้ด้วย
พวกเขาตะลึงกับค่ายกลของหลี่มู่ ดังนั้นจึงสืบข่าวจากทุกฝั่ง เมื่อได้รู้ว่าหลี่มู่เป็นชนพื้นเมืองของดาวดวงนี้ก็ยิ่งตะลึงเข้าไปอีก ด้วยเหตุนี้จึงเดาว่าหลี่มู่อาจจะได้รับมรดกวิชาค่ายกลที่หายสาบสูญ ตำราลับ หรืออะไรอื่นไป
นี่ทำให้พวกเขาอิจฉาตาร้อน
หากแย่งมรดกวิชาค่ายกลที่ครบสมบูรณ์นี้มาได้ จินตนาการได้ว่า พลังของสำนักค่ายกลสวรรค์จะพุ่งเพิ่มอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นจะครอบครองทั้งเขตดาราเทพวีรชนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
เมื่อครู่เฉียนเจิ้นอวิ๋นหยั่งเชิงหลี่มู่ก็เพื่อยืนยันอีกที
ครั้นได้ยินหลี่มู่บอกว่า ‘ไร้อาจารย์ไร้สำนัก เรียนสำเร็จเอง’ อะไรพวกนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคาดเดา
ต้องรู้ไว้ว่าสายวิชาค่ายกลซับซ้อนล้ำลึกมากนัก มีเงื่อนไขเข้มงวดในด้านฮวงจุ้ยภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์คณิตศาสตร์ และการคำนวณโครงสร้างเป็นต้น คนพื้นเมืองตัวเล็กๆ จะศึกษาสำเร็จเองได้อย่างไร?
“ขอเอ่ยตามตรง ค่ายกลที่สหายน้อยหลี่มู่สำแดงเหมือนกับ ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ ในตำราลับค่ายกล ‘สายสวรรค์’ ของสำนักค่ายกลสวรรค์ซึ่งหายไปบนดาวดวงนี้เมื่อหลายร้อยปีก่อนไม่มีผิด สหายน้อยไม่ยินดีที่จะเอ่ย ข้าก็เดาได้ว่าเจ้าจะต้องได้ตำราลับเล่มนี้มา และฝึกฝนจนมีพลังฝึกในวันนี้แน่กระมัง” สีหน้าของเฉียนเจิ้นอวิ๋นเจ็บปวดรวดร้าว เหมือนโศกเศร้าเต็มประดา
หลี่มู่ได้ยินก็อึ้งไปตรงนั้นทันที
อะไร?
เล่นแบบนี้ก็มีด้วย?
ได้ยินเฉียนเจิ้นอวิ๋นเอ่ยอย่างเป็นมิตรต่อว่า “ถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกเราทำลายค่ายกลของสหายน้อยจนเสียหายสาหัส แต่ขอแค่สหายน้อยยินดีมอบตำราลับที่ถือครองไว้คืนให้สำนักค่ายกลสวรรค์ เช่นนั้นบุญคุณความแค้นระหว่างเราก็หายกัน อีกทั้งหากเจ้ายินดีเข้าร่วมสำนัก สำนักค่ายกลสวรรค์ก็ยินดีรับเจ้าและจะมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้”
ผู้ฝึกตนสำนักนอกพิภพคนอื่นๆ ได้ยิน สีหน้าก็เผยแววประหลาด
บางคนแค่ปราดเดียวก็มองทะลุอุบายของเฉียนเจิ้นอวิ๋น
บางคนกลับคิดเป็นจริง สำนักค่ายกลสวรรค์เคยรุ่งเรืองอยู่ช่วงหนึ่งจริง สายสวรรค์เคยมีชื่อมาก ว่ากันว่าเคยเป็นสำนักค่ายกลของแดนดาราจื่อเวย ภายหลังไม่รู้ว่าเพราะอะไร สายนี้ล้มเหลว ดังนั้นจึงค่อยๆ ตกต่ำลง สุดท้ายจากสำนักใหญ่ของแดนดาราจื่อเวย กลายมาเป็นสำนักเล็กๆ ในเขตดาราเทพวีรชน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แผนนี้ของสำนักค่ายกลสวรรค์วางได้ดียิ่งนัก
ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว
ได้ยินถึงตรงนี้ หลี่มู่ก็อดหัวเราะไม่ได้
เขาขำกับความไร้ยางอายและความจอมปลอมของสำนักค่ายกลสวรรค์จริงๆ
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจะชิงมรดกวิชาค่ายกลของตน แต่ยังแต่งเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ค่ายกลของตนได้มาจากซินแสเฒ่า ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสำนักค่ายกลสวรรค์แม้แต่น้อย สำนักค่ายกลสวรรค์ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็คิดจะแย่งชิงมาด้วยกล
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ไม่อย่างนั้นเอาเช่นนี้ ข้าให้เวลาพวกเจ้าอีกหนึ่งก้านธูป พวกเจ้าคิดให้ดีๆ แต่งเรื่องที่เข้าท่ามาหลอกข้าใหม่ แค่นี้ก็คิดจะหลอกเอามรดกวิชาค่ายกลไปจากข้า ฝีมือต่ำเกินไปหน่อยนะ”
เฉียนเจิ้นอวิ๋นได้ยินก็ไม่โมโห กลับยิ้มหยีตากล่าว “สหายน้อยหมายความเช่นไรกัน หรืออยากจะยึดครองมรดกของสำนักค่ายกลสวรรค์ไม่คืนให้? หรือว่าสหายน้อยดูแคลนตำแหน่งผู้อาวุโส ไม่ยินดีจะเข้าร่วมสำนักค่ายกลสวรรค์? อันที่จริง สหายน้อยศึกษา ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ ของสำนักค่ายกลสวรรค์เรามาได้ถึงระดับนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพอจะมีพรสวรรค์ด้านค่ายกลอยู่บ้าง แต่อย่าได้ละโมบไม่รู้จักพอเลย ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสไปก่อน วันข้างหน้าฝึกวิชาค่ายกลสำเร็จ สร้างคุณูปการให้กับสำนัก จะได้ดำรงตำแหน่งเจ้าสำนักก็นับว่ามีโอกาส มิสู้ลองทบทวนดูอีกสักนิด”
หวางซืออวี่เห็นคนผู้นี้ไร้ยางอายเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยัน “พวกเจ้าบอกว่าเป็นมรดกวิชาของสำนักค่ายกลสวรรค์ มีหลักฐานอะไร?”
เฉียนเจิ้นอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “ศิษย์ระดับบนและล่างหลายหมื่นของสำนักค่ายกลสวรรค์ล้วนพิสูจน์ได้”
“คนของพวกเจ้าจะมาพิสูจน์ได้อย่างไร?” หวางซืออวี่ถามพร้อมหัวเราะเสียงเย็น
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ขอให้สหายน้อยหลี่มู่ยกตัวอย่างสิ่งที่ได้เรียนมา แต่ไม่ใช่ ‘ค่ายกลเต๋าฟ้าวิวัฒน์’ ของสำนักค่ายกลสวรรค์สิ” เฉียนเจิ้นอวิ๋นยิ้มกล่าว “ขอแค่สหายน้อยหลี่มู่บอกที่มาที่ไปของพลังฝึกศาสตร์ค่ายกลได้ พวกเราจะปรักปรำเขาได้อย่างไร?”
ในใจหลี่มู่รู้สึกว่าซวยจริงๆ
ตัวน่ารำคาญแบบนี้โผล่มาจากไหนกัน หน้าด้านไร้ยางอาย กล้าคิดจะมาชิงค่ายกลของตนไป? ทำไมรู้สึกว่าเรื่องค่อนข้างจะหลงประเด็นกันเล่า
ในตอนนี้เอง จักรพรรดิเซียนหมิงกวงที่โคจรพลังปรับลมหายใจมาโดยตลอด ในที่สุดก็เก็บกลิ่นอาย ปรับลมหายใจเสร็จสิ้น
ทั้งตัวเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่