จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 462 มีคุณสมบัติพอหรือไม่?
หวางซืออวี่ตาแทบจะถลนออกมา ต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต
ทว่าจะดิ้นรนให้หลุดจากวิชาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงได้อย่างไร?
หยาดน้ำตาแวววาวไหลอาบบนแก้มขาวนวลงดงามของเธอ
เธอเคยโกรธที่ตัวเองไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้มาหลายครั้ง ไม่หนักมาก แต่ว่าครั้งนี้มันรุนแรงเหลือเกิน
ถ้าหากตนมีพลังที่แข็งแกร่ง ก็จะไม่ต้องเป็นตัวถ่วงพวกหลี่มู่ และคงไม่ต้องมาเห็นคนที่ตัวเองชอบที่สุดถูกเล่นงานจนยับเยินเช่นนี้ต่อหน้าต่อตา แต่ว่ากลับช่วยอะไรไม่ได้เลย
“คุณชาย…” หมิงเยวี่ยทนไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำตาไหลริน พุ่งเข้าไปด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ “ข้าจะสู้สุดชีวิตกับคนสารเลวเช่นพวกเจ้า”
“สะกด!” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงยกมือ ใช้วิชาสะกดร่างอีกครั้ง ตรึงหมิงเยวี่ยให้ค้างนิ่งอยู่ที่เดิม “เด็กน้อย เจ้าไม่ใช่ผู้ผิดบาป อย่าได้เข้าใจตัวเองผิดไป”
หอกอัสนีทะยานในมือกัวอวี่ชิงพลันสำแดงพลัง ปกป้องหมิงเยวี่ยไว้ทันที
หยวนโห่วเปล่งเสียงคำรามเดือดดาลในลำคอ แผดเสียงพลางเปลี่ยนร่างกลับเป็นวานรภูเขาขนทองตัวยักษ์ โบกกระบองสังหารมารในมือแล้วทะยานขึ้นไปอย่างไม่สนใจตัวเอง ทว่าต้านทานให้หลี่มู่ได้เพียงสามกระบวน ก็ถูก ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงออกดาบซัดจนปลิว
“ฮ่าๆ สัตว์หน้าขนสีทอง สัตว์เลี้ยงของหลี่มู่เช่นนั้นหรือ?” จ่างซุนฉางคงใช้เท้าเหยียบหัวของหยวนโห่ว กดจนจมไปในดิน เอ่ยว่า “ไม่เลว วานรภูเขาพันธุ์แปลกหายาก พอถูไถเอาไปเป็นสุนัขเฝ้าบ้านของข้าได้ ฮ่าๆ”
เขาจงใจเหยียดหยามหยวนโห่วต่อหน้าหลี่มู่ เพื่อกระตุ้นอารมณ์ฝ่ายตรงข้าม
กลุ่ม ‘เป่าสีดีดร้อง’ ทั้งสี่แห่งสำนักกำเนิดฟ้าก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
หากหลี่มู่ตายไป พวกเขาสี่คนก็จบเห่ด้วย
ตั๊กแตนที่อยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน มีเกียรติก็มีพร้อมกัน ถูกทำลายก็ตายพร้อมกัน
“นายท่าน” พวกเขาตะโกนพลางถลาเข้าไป กลับถูกผู้ฝึกตนนอกพิภพสี่คนขวางไว้ การต่อสู้อันดุเดือดจึงเริ่มขึ้น ไม่นานนักก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หากไม่มีอาวุธสมบัติเต๋าอยู่ในมือ น่ากลัวว่าแค่ไม่ถึงห้าสิบกระบวนท่าก็ถูกสังหารแล้ว
หอกอัสนีทะยานในมือของกัวอวี่ชิงมีสายฟ้าไหลเวียน ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างจึงยังไม่ลงมือ
“ฮ่าๆๆๆ…” หลังจากลองหยั่งเชิงอย่างต่อเนื่อง จนแน่ใจว่าหลี่มู่ไม่มีเรี่ยวแรงจะโต้กลับอีก เด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษจึงบุกขึ้นหน้าไปอย่างอาจหาญ ซัดต่อเนื่องหลายสิบหมัดจนร่างของหลี่มู่ลอยขึ้น ส่งเสียงดังไปมาอยู่กลางอากาศ
“เจ้าเก่งนักไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าไร้เทียมทานหรือไร ตอนนี้ทำไมแค่หมัดเดียวก็ต้านไม่อยู่? ฮ่าๆ ขยะอย่างไรก็ยังเป็นขยะ แค่หมัดเดียวของข้าก็รับไม่ไหวแล้ว” เขาลิงโลดอย่างมาก จงใจใช้คำพูดยั่วยุหลี่มู่
ดาบยาวในมือหลี่มู่พยายามต้านไว้อย่างสุดกำลัง
แต่จนแล้วจนรอดก็หมดเรี่ยวแรง ท่าดาบสะเปะสะปะไปหมด จะต้านทานการโจมตีราวพายุห่าฝนของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร?
ท่ามกลางสะเก็ดไฟจากการต่อสู้ ร่างของหลี่มู่ถูกแรงหมัดที่ไร้สิ้นสุดซัดจนลอยขึ้นกลางอากาศ ร่วงลงมาไม่ถึงพื้น ในชั่วพริบตาไม่รู้ว่าถูกเด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษชกไปแล้วกี่หมัด
“สังหาร!”
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงรวดเร็วดุจสายฟ้า ทะยานขึ้นแล้วฟันลงมาหนึ่งดาบ
ท่าดาบลากยาวมาจากจ่างซุนฉางคงราวกับแม่น้ำโลหิต ตรงไปที่ขาทั้งสองข้างของหลี่มู่ ชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการสังหารหลี่มู่ให้แดดิ้น แต่จะเด็ดแขนขาของเขาออกเพื่อมอบความทรมานและความอับอายให้
เคร้ง!
ในช่วงเวลาสำคัญ หลี่มู่เหวี่ยงดาบต้านการโจมตีครั้งนี้ไว้
ทว่าทั้งตัวเขาถูกพลังมหาศาลของดาบมารซัดกระแทกลงพื้นจนกลายเป็นหลุมใหญ่ นอนแผ่อยู่ตรงก้นหลุม ดาบยาวอาวุธเต๋าชั้นยอดในมือก็ถูกฟันจนมีรอยแตกมากมาย ใกล้จะหักอยู่รอมร่อ…
“ถึงอย่างไรก็ยังเป็นขยะคนพื้นเมืองอยู่ดี พลังเช่นนี้ ช่างอ่อนแอจนน่าเวทนา” ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงยืนอยู่ที่ปากหลุม มองลงมาพลางหัวเราะเย็นชา เย้ยหยันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
‘ไม่…’ หวางซืออวี่คร่ำครวญไร้เสียงอยู่ในใจ
“ฮ่าๆ เจ้าทนนักทนหนาไม่ใช่หรือ? ลุกขึ้นมาสู้ต่อสิ” เด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษสองขาพิการ แต่มาถึงข้างหลุมได้ด้วยความเร็วสูงยิ่ง จากนั้นกระทืบเท้าลงจนผืนดินสั่นสะเทือน แรงสะเทือนนั้นดีดตัวหลี่มู่ลอยขึ้นมาจากกลางหลุม
จากนั้น สิ่งที่รอรับหลี่มู่อยู่ก็คือการโจมตีจากกำปั้นที่รัวไม่ยั้ง
ร่างของหลี่มู่เสมือนตุ๊กตาผ้าขาดที่กระเด็นไปมา ไม่ตกพื้นเสียที เลือดสดกระเซ็นเต็มฟ้า บาดแผลที่น่าสังเวชอยู่แล้วยิ่งดูน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม…
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงก็ลงมือต่อเนื่อง ฟันดาบสังหารไปที่หลี่มู่ จงใจจะทรมานเขา แต่การโจมตีถึงชีวิตทุกครั้ง หลี่มู่มักใช้ดาบยาวในมือรับไว้อย่างฝืนๆ ได้
ผู้ฝึกตนนอกพิภพคนอื่นๆ ก็ลงมือจัดการหลี่มู่เช่นกัน
ทว่าไม่มีใครที่คิดจะสังหารหลี่มู่ให้ตายในทันที
เพราะคนมากมายล้วนมองออกว่าจักรพรรดิเซียนหมิงกวงไม่ต้องการให้หลี่มู่ตายไวนัก ขณะที่หลี่มู่ถูกทารุณทรมาน บนใบหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงปรากฏรอยยิ้มบางแสนประหลาด
จักรพรรดิเซียนคนนี้เหมือนจะชอบชมฉากเช่นนี้มาก และจดจ่อเฝ้ารอการทรมานต่อไป
เป็นเช่นนี้อยู่ราวหนึ่งก้านธูปเต็ม
หลี่มู่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะยืนแล้ว
แต่ว่าเขากลับยังคงตอบโต้อย่างเด็ดเดี่ยวในบางจังหวะ ต่อให้ไม่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ ก็แสดงการต่อต้านของตนเองอย่างชัดแจ้ง ไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน
การกระทำเช่นนี้ยิ่งยั่วโมโหพวกจ่างซุนฉางคงและเด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ จึงลงมือหนักข้อขึ้น โหดเหี้ยมยิ่งขึ้น
ในที่สุด เมื่อผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป หลี่มู่ยับเยินเหมือนจะไม่ใช่ร่างมนุษย์แล้ว
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงก็คล้ายหมดสิ้นความอดทนแล้วในที่สุด เอ่ยขึ้นว่า “เอาละ สังหารเขาเสีย”
“รับบัญชา”
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงหัวเราะเสียงดัง ดาบมารในมือระเบิดแสงวาววับในฉับพลัน อักขระเป็นชั้นๆ ไหลวนออกมา พลังอันน่ากลัวทะลักล้น ท่าดาบที่น่าพรั่งพรึงทำเอาผู้ฝึกตนนอกพิภพคนอื่นกระเด็นออกไป ก่อนจะฟันตรงไปยังคอของหลี่มู่
เขาจะใช้วิธีที่หลี่มู่สังหารพวกเจ้าสำนักอาทิตย์ทองมาปลิดชีวิตหลี่มู่
“หนอนแมลงสกปรก จงรับโชคชะตาที่ถูกลิขิตไว้แล้วของเจ้าเสีย”
จ่างซุนฉางคงหัวเราะเหี้ยมเกรียม
หลี่มู่ที่เลือดเนื้อแยกกันไม่ออกแล้วร่วงลงมาจากกลางอากาศ กำลังจะถูกดาบนี้ฟันสังหาร ร่างตายวิญญาณสูญสลาย คนส่วนใหญ่ราวกับมองเห็นภาพศีรษะหลี่มู่ขาดกระเด็นเลือดซ่านกระเซ็นแล้ว
หวางซืออวี่ร้อนใจจนสลบไป
กัวอวี่ชิงลนลานอย่างมาก จะลงหอกก็ไม่ทันกาลแล้ว
ส่วนศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ถูกโจมตีจนนอนพังพาบอยู่กับพื้น โกรธจนตาเบิกโพลง คิดจะไปช่วยก็ช่วยไม่ทัน…
เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตเห็น สิบนิ้วของหลี่มู่ที่แต่เดิมคลายจากดาบโบราณใกล้หักกลับกำด้ามดาบเอาไว้มั่นทันที พลังประหลาดไหลเวียนอย่างไร้สุ้มเสียงภายในร่างกายของเขา…
ทว่าพริบตาต่อมาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้างกายหลี่มู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ร่างนี้เข้าขวางระหว่างดาบมารและตัวหลี่มู่
ร่างของเขามั่นคง สูงใหญ่ ฝ่ามือกว้าง มือข้างหนึ่งยื่นมาประคองตัวหลี่มู่เอาไว้ให้มั่น เวลาเดียวกันมืออีกข้างก็หนีบดาบที่น่าตกใจของ ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงไว้ เหมือนกับคีบใบไม้ที่ร่วงหล่นจากกิ่งก้านอย่างไรอย่างนั้น
“ต้องเข่นฆ่ากันให้สิ้นซากเลยหรือ?”
ชายคนนี้เปิดปาก เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“อึก!” ภายใต้ความหวาดผวา จ่างซุนฉางคงกระทั่งคำพูดก็เอ่ยไม่ออก รู้สึกเพียงพลังที่ตนเองไม่อาจต้านทานได้โถมเข้ามาใส่ราวทลายภูเขาล่มสมุทร ต่อต้านไม่ได้เลย อวัยวะภายในประหนึ่งโดนไฟเผา เขากระอักเลือด ทั้งตัวกระเด็นลอยออกไป
ตุบๆๆ!
ร่างของเขาพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มเผ่าผู้วิเศษที่อยู่อีกด้าน และกระแทกเข้ากับผู้แข็งแกร่งนอกพิภพที่กำลังจะสังหารศิษย์สำนักกำเนิดฟ้าทั้งสี่ คนทั้งกลุ่มกลิ้งอยู่บนพื้นเหมือนน้ำเต้าก่อนจะกระเด็นออกไป
ชัดเจนว่าร่างนั้นจงใจซัดพลังออกมาจึงได้เป็นเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันดังกล่าวทำให้คนทั้งหมดรู้สึกเกินคาดอย่างมาก
ภายใต้เปลือกตาที่มีแผลเหวอะหวะของหลี่มู่ ในดวงตาฉายประกายประหลาดใจ ทว่าก็ยังซ่อนเอาไว้อย่างดี เวลาเดียวกัน พลังประหลาดที่ไหลวนในร่างกายของเขาสลายหายไป นิ้วทั้งห้าที่กุมดาบโบราณไว้คลายลงอีกครั้ง…
“เจ้าคนเลว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เสียงเด็กผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น
นันนันนั่นเอง
ส่วนคนที่ลงมือช่วยเหลือหลี่มู่ ก็คือชายชราแซ่หม่าร่างสูงใหญ่กำยำที่หลี่มู่ปลดรัดเกล้าทองบนศีรษะให้ในวิหารเซียนทะยานก่อนหน้านี้…หรือก็คือ ราชาวานรแซ่หม่าตัวนั้นนั่นเอง
“มีบาปก็สังหาร ดูหมิ่นกันเช่นนี้ ถือเป็นการหยามหมิ่นชื่อเสียงของสำนักในดาราสมุทร” ชายชราแซ่หม่าร่างสูงใหญ่ สีหน้าเคร่งขรึม
ดวงตาทั้งคู่ของเขาราวกับมีประกายส่องสว่าง เพียงกวาดตามองผู้ฝึกตนนอกพิภพในที่แห่งนี้ทั้งหมด ก็ไม่มีใครกล้าสบตาด้วย
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงแววตาเย็นชา พินิจชายชราแซ่หม่าราวกับรู้สึกถึงบางอย่าง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “วานรจากสถานที่นั้นหรือ? ไม่คิดเลยว่าที่นั่นจะยังคงมีวานรขั้นขุนพลที่ยังไม่ถูกสยบอย่างเจ้าอยู่อีก ไม่ยอมใช้ชีวิตเฮือกสุดท้ายในดาราสมุทรให้ดี กลับมาวุ่นวายเรื่องของข้า?”
ชายชราแซ่หม่าก็รู้จักจักรพรรดิเซียนหมิงกวง พูดด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “หนุ่มคนนี้มีบุญคุณกับข้า วันนี้ข้าต้องช่วยเขา ชื่อของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงข้าก็รู้จัก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นแต่ก่อน ข้าคงไม่กล้าลูบคมของท่าน แต่ตอนนี้ท่านที่เพิ่งหลุดจากพันธนาการ จะยังเหลือพลังฝึกเมื่อวันวานอยู่สักเท่าไร?”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงส่ายศีรษะ กล่าวว่า “เจ้าช่วยเขาไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นเจ้าก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอ”
ชายชราแซ่หม่าอุ้มนันนันที่นั่งอยู่บนไหล่ของตนลงมาไว้อีกด้าน ให้เด็กน้อยคอยดูแลหลี่มู่ จากนั้นเดินขึ้นหน้าไปสิบก้าว ขวางไว้ที่ด้านหน้าหลี่มู่ ก่อนจะกล่าว “คุณสมบัติพอหรือไม่ใช้ปากตัดสินไม่ได้ ต้องใช้หมัดถึงจะได้”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็ส่งกำปั้นออกไปทันที
หมัดยักษ์เพียงแค่ยกขึ้น รอยประทับหมัดมันวาวก็โจมตีออกไปประดุจดาวตกจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แฝงไว้ด้วยพลังระดับทำลายล้างที่คนอื่นๆ ไม่อาจจะเข้าใจได้ เพียงพริบตาก็พุ่งมาถึงตรงหน้าจักรพรรดิเซียนหมิงกวง
“แสงเงาลอยกระจายไร้รูปร่าง” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงเอ่ยขึ้น
ภายในเสียงที่เปล่งออกมามีพลังไร้รูปร่างไหลเวียน รอยประทับหมัดประดุจหิมะบางละลายใต้รัศมีแสงตะวัน หายไปหมดอย่างไร้ร่องรอยตอนอยู่ห่างจากจักรพรรดิเซียนหมิงกวงราวสามฉื่อ
จนถึงตอนนี้ เสียงของหมัดประทับแหวกผ่านอากาศ รวมถึงอากาศซึ่งระเบิดออกตรงจุดที่วิถีหมัดแล่นผ่านไป เพิ่งจะดังขึ้นข้างหูของทุกคนราวกับเสียงฟ้าร้อง เห็นได้เลยว่าหมัดเมื่อสักครู่มีความเร็วสูงขนาดไหน
ชายชราแซ่หม่าไม่พูดอะไร ย่อกายลงเล็กน้อย และตั้งท่าหมัดแปลกประหลาด จากนั้นเหวี่ยงกำปั้นอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็มีหมัดหลายร้อยโจมตีออกไป ทุกหมัดไม่มีเปลวเพลิงหรือควัน มองไม่เห็นคลื่นพลังลมหมัดใดๆ
ทว่าเบื้องหน้าของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงกลับเหมือนมีฝนตกกระทบผิวน้ำ เกิดคลื่นกระเพื่อมซ้อนเป็นชั้นๆ อย่างไร้สุ้มเสียงขึ้นมาทันที แสงและอากาศดุจถูกบิดจนเบี้ยว
“พลังยิ่งใหญ่แห่งแสงจงรวมมาที่ตัวข้า” จักรพรรดิเซียนหมิงกวงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา นิ่งสงบราวขุนเขา “หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัวมหาราชาตัวนั้นของพวกเจ้า ลำพังแค่เจ้าโจมตีใส่ข้า เจ้าก็ตายไปกว่าหมื่นครั้งแล้ว”
จักรพรรดิเซียนหมิงกวงหวาดกลัวเบื้องหลังของฝ่ายตรงข้ามยิ่งนัก
วานรเหล่านี้ทุกตัวล้วนมีอภินิหารยิ่งใหญ่ เคยอาละวาดในแดนดาราจนเกิดหายนะครั้งใหญ่มาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าสังหารพวกเขา เพราะราชาของวานรฝูงนี้คือตัวตนราวกับสิ่งต้องห้าม เข้าข้างถือหางพวกตัวเองนัก ต่อให้เล่าลือกันว่าราชาวานรที่ลึกลับตัวนั้นถูกกำราบไปเมื่อหลายพันปีก่อน ทว่าในแดนดาราจื่อเวยก็ยังคงไม่มีใครกล้าสังหารวานรเหล่านี้