จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 466 คิดบัญชีทีละราย
เมื่อเห็นสายตาของหลี่มู่กวาดลงมา พริบตานั้นเหล่าผู้บําเพ็ญ สํานักนอกพิภพล้วนเกือบจะตกใจจนฉี่ราด
การตายของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง พวกเขาล้วนเห็นอยู่คาตา
สุดยอดวิถียุทธ์ที่ร้ายกาจคนหนึ่งเช่นนี้ ถูกหลี่มู่ตีเหมือนกระสอบ ทราย ท้ายสุดก็ถูกตีจนระเบิดตายไปทั้งเป็น…อย่างน้อยในสิ่งที่พวกเขา เห็นก็เป็นเช่นนี้
อํามหิต
อํามหิตเกินไปแล้ว
ในสายตาของเหล่าผู้บําเพ็ญนอกพิภพ หลี่มู่ได้ถูกยกระดับจาก กระสอบทรายน่าแกล้ง กลายเป็นราชามารไปแล้ว
“พวกเจ้าเมื่อครู่ไม่ใช่ว่าจะสังหารข้าเหมือนสุนัขไม่ใช่หรือ?” หลี่มู่ หัวเราะอย่างไม่มีเจตนาดี ใบหน้าหลงระเริงกับยิ้มชั่วร้าย เอ่ยต่อว่า “มาสิ ข้าให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่ง เข้ามาสังหารข้าเลย”
เหล่าผู้บําเพ็ญนอกพิภพหน้าถอดสี กล้าตอบกลับเสียที่ไหน?
โดยเฉพาะคนที่เอะอะดุร้ายที่สุดก่อนหน้าอย่าง ‘ดาบมาร’ จ่างซุน ฉางคง และชายหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ สีหน้าทั้งเขียวทั้งแดง เพราะทั้ง หวาดกลัวและผวา สีหน้าบิดเบี้ยวไปหมด อยากจะตบฉาดเข้าที่หน้า ตัวเองเสียจริง
ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็คงจะหลบอยู่ด้านหนึ่งเงียบๆ ไปแล้ว
ทําไมจะต้องรนหาที่ตายด้วย
เวลานี้ คนมากมายล้วนอิจฉาชายชุดดําสะพายดาบกับสองสาวพี่ น้องนั่นขึ้นมาแล้ว
อย่างไม่ต้องสงสัย คนเหล่านี้ตอนที่เผชิญกับการสุ่มชี้ก่อนหน้า ของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง ล้วนปฏิเสธที่จะลงมือต่อหลี่มู่ พวกเขา เดิมพันถูกแล้ว เชื่อมั่นว่าหลี่มู่ในตอนนี้จะไม่มีทางทําอันตรายพวกเขา
ตูม!
หลุมลึกที่เกิดขึ้นจากการตบของฝ่ามือยักษ์กระดูกขาวที่อยู่ห่าง ออกไป วานรยักษ์สีทองเหลืองได้กระโดดขึ้นมา
ขนสีทองทั่วตัวของเขาค่อยๆ หดลงไป หางก็หายไป ร่างกายหด เล็กลงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ กลับมาเป็นชายชราร่างสูงใหญ่
แสงสีทองกลุ่มหนึ่งพันรัด ปิดบังร่างกายอันเปลือยเปล่า เพียงไม่นานก็ ได้ลอยเป็นเสื้อผ้าขึ้นมาหนึ่งชั้น คลุมร่างเขาเอาไว้
“ท่านปู่หม่า” นันนันพุ่งเข้าไปด้วยอาการดีอกดีใจ กระโดดขึ้นไป บนหัวไหล่ของชายชราสกุลหม่า “ท่านปู่หม่าไม่เป็นไรใช่ไหม เมื่อครู่คน เลวคนนี้ดึงข้าไว้ไม่ยอมให้ข้าไปช่วยท่าน” สาวน้อยชี้ไปยังหลี่มู่ด้วย ท่าทีขึงขัง
ชายชราสกุลหม่ามองไปที่หลี่มู่ผาดหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน
เขาถึงแม้จะถูกสะกดอยู่ใต้ดิน แต่รับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก ทั้งหมด
แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท้ายสุดหลี่มู่จะระเบิดพลังสังหารจักรพรรดิ เซียนหมิงกวงลงได้
นี่มันไม่น่าเชื่อเอามากๆ เขารู้ถึงที่มาของจักรพรรดิเซียนหมิงกวง ด้วยเหตุนี้จึงรู้ว่าคนที่อยู่ในขั้นนี้ หากคิดจะสังหารมันลําบากขนาดไหน ระดับเทวะก็ยังไม่แน่ว่าจะทําได้ ทว่าชายหนุ่มนักโทษผู้ผิดบาปคนนี้ กลับ….
อดทอดถอนไม่ได้ วิธีที่นักโทษผู้ผิดบาปเหลือเอาไว้ช่างร้ายกาจยิ่ง นัก
มองออกว่า วัวดํานักโทษผู้ผิดบาปในครั้งนั้นแบ่งร่างพลังวิถียุทธ์ เอาไว้ส่วนหนึ่ง กรอกเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม แต่ว่าหลี่มู่ที่ถูกเรียกว่า นักโทษผู้ผิดบาปคนนี้ก็ทวนสวรรค์ได้จริงๆ น่าจะมีวิธีการอื่นอะไรอยู่ อีก ถึงสามารถสังหารจักรพรรดิเซียนหมิงกวงลงได้อย่างหมดจด ทําใน สิ่งที่ระดับเทวะก็ยังทําไม่ได้ออกมา
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ชายชราสกุลหม่ามีลางสังหรณ์ ภัยพิบัติลมฝน ครั้งหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะหนุ่มน้อยนักโทษผุ้ผิดบาปคนนี้ จะถา โถมเข้าสู่ทางช้างเผือกในระยะเวลาอันใกล้
ทว่าในใจของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกรังเกียจขับไล่อะไรกับตัวตน นักโทษผู้ผิดบาปของหลี่มู่นัก
เพราะเขาผลบุปผา ตัวตนและตํานานในทางช้างเผือกผืนนี้ จริงๆ แล้วไม่ได้แตกต่างจากนักโทษผู้ผิดบาปเลย ล้วนแบกหน้าที่และ ความผิดบาปที่ถูกผู้อื่นคอยบีบคั้นกดดันเช่นเดียวกัน ถูกใส่ร้ายป้ายสี เหยียดหยาม พันธนาการตัวตนเอาไว้กว่าพันปี ไม่เคยได้มีอิสระ
พวกบุคคลยิ่งใหญ่ที่คอยควบคุมทางช้างเผือกผืนนี้มีท่าทีเช่นไร เขายังเข้าใจชัดเจนยิ่งกว่าชายหนุ่มนักโทษผู้ผิดบาปที่ ‘มึนตึง’ คนนี้
“ขอบคุณมาก” ชายชราสกุลหม่าพยักหน้าให้หลี่มู่ จากนั้นไม่พูด ไม่จา แบกนันนันบนบ่าหันหลังเดินก้าวใหญ่ออกไปทันที
“เจ้าคนเลว ครั้งนี้เจ้าได้รับกรรมสนองแล้ว เกือบจะถูกคนอื่น สังหาร ได้รับบาปก็ถือว่าชดเชยให้กัน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังช่วยท่านปู่ หม่าไว้ นันนันจะฝืนยอมให้อภัยเรื่องที่เจ้าแย่งเอี๊ยมไปก็แล้วกัน…คิกๆ ต่อไปถ้าหากเจ้ากล้ามาที่เขาผลบุปผา ข้าจะเลี้ยงผลท้อนะ”
สาวน้อยนันนันขี่คอชายชราสกุลหม่า หันศีรษะกลับมาโบกมือให้ห ลี่มู่
ใบหน้าของนางยังมีคราบน�าตาที่เป็นห่วงชายชราก่อนหน้านี้อยู่ ระยิบระยับแวววาว เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นร้อยยิ้มใสบริสุทธิ์ ใบหน้า กลมมนดวงตาโต ผิวขาวนวลราวกับตุ๊กตาเคลือบ ในดวงตาปิดบัง อารมณ์ไว้ไม่ได้ ทุกอย่างแสดงออกผ่านสีหน้าหมด
หลี่มู่รีบประสานมือต่อแผ่นหลังของชายชราสกุลหม่า เอ่ยขึ้นด้วย เสียงอันดัง “ท่านอาวุโส ขอบคุณบุญคุณที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้”
เขาขอบคุณออกมาจากใจจริง
ถ้าไม่ใช่เพราะชายชราสกุลหม่าปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ดึงดูดเอาความสนใจของจักรพรรดิเซียนหมิงกวงไป เปิดโอกาสให้ชิง เฟิงเข้าไปทําลายผนึกใต้ดิน มิเช่นนั้นหลี่มู่ก็ยังไม่รู้ว่าตนเองจะต้องยอม
ต่อไปจนถึงระดับไหน ถึงจะสามารถดึงดูดความสนใจทั้งหมดของ จักรพรรดิเซียนหมิงกวงไปได้
ถึงอย่างไรเจ้าเฒ่าคนนี้ก็เป็นถึงจักรพรรดิเซียนเลยนะ จิตสัมผัส เฉียบคมอย่างมาก ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวเช่นใดก็คงจะจับสัมผัสได้ ทั้งหมด และเพียงแค่เขาพบเข้า เรื่องในวันนี้จะราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร น่ากลัวว่าคนที่พ่ายแพ้อาจจะเป็นหลี่มู่เองเสียด้วยซ�า
ชายชราโบกมือตอบอย่างไม่หันหลังกลับ เดินต่อไปไม่หยุด
“ท่านอาวุโสสามารถบอกชื่อเสียงเรียงนามได้หรือไม่ ภายภาคหน้า หากมีเรื่องใดที่จะใช้งานข้า สั่งลงมาได้ทันที” หลี่มู่เอ่ยขึ้นเสียงดัง
เมื่อได้รับบุญคุณ ต้องตอบแทนเท่าทวี
นี่คือหลักการของหลี่มู่
บุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจน
“ท่านปู่หม่าบอกว่า วันนี้เจ้าก็ช่วยเหลือเขา ดังนั้นไม่ต้องขอบคุณ เขา” เสียงของนันนัน ดังมาจากเส้นขอบฟ้า เอ่ยต่อว่า “ถ้าอยากรู้ชื่อ ของท่านปู่หม่า ก็ต้องดูว่าคนเลวอย่างเจ้า จะมีความกล้ามาหาเขาที่เขา ผลบุปผาในดาราจักรจื่อเวยหรือไม่ คิกๆๆ”
ท้ายสุด หนึ่งชราหนึ่งเด็กน้อย ได้ออกจากเขาห้าองคุลีที่กลายเป็น ซากปรักหักพังไปแล้ว
หลี่มู่เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่
“พี่มู่ นายเป็นอย่างไรบ้าง?” หวางซืออวี่ที่ในที่สุดก็พ้นจาก พันธนาการ พุ่งตรงเข้ามาอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ ใบหน้าร้อนรนและเป็นห่วง คราบน�าตาบนใบหน้ายังไม่แห้งดี
หลี่มู่ยิ้มๆ วุ่นวายอยู่กับบาดแผลบนใบหน้า สูดปากออกมาด้วย ความเจ็บ ยกมือขึ้นเช็ดน�าตาแทนนาง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร แค่ กลัวเป็นแผลเท่านั้น ต้องบํารุงอีกเสียหน่อยจึงจะฟื้ นคืน…ยังไม่พูดเรื่อง นี้ดีกว่า ขอเราไปคิดบัญชีกับแกะห่อพัสดุก่อน”
พลังวิถียุทธ์ร่างแบ่งวัวดําที่กรอกเข้าไปในร่างของหลี่มู่ เวลามี จํากัด ไม่สามารถคงไว้ได้นาน
“ว่ามา พวกเจ้าต้องการจะตายอย่างไร?” หลี่มู่มองเหล่าผู้บําเพ็ญ เอ่ยขึ้นว่า “มีแค้นตอบแทนด้วยแค้น มีโทษตอบแทนด้วยโทษ พวกเจ้า เลือกได้ว่าบุกเดี่ยวหรือลุยหมู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนไม่ใช่คู่มือของข้า”
“อย่ารังแกกันมากไปนัก” ผู้บําเพ็ญสํานักนอกพิภพคนหนึ่งมองห ลี่มู่ พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “พวกข้าทําเรื่องผิดไป แค่ขอโทษไม่พอหรือ ไรกัน?”
ตูม!
หลี่มู่ชกเขาจนระเบิด
“กับพวกปัญญาอ่อนเช่นนี้ ขี้เกียจเสวนาด้วยจริงๆ” หลี่มู่ลอยตัว ขึ้นบนอากาศดูดเอาอุปกรณ์สิ่งของที่หล่นออกลงมาจนเรียบ จากนั้นส่ง ต่อไปให้หมิงเยวี่ย “แบ่งประเภทไว้ เดี๋ยวค่อยๆ จัด”
“ได้เลย” หมิงเยวี่ยหน้าชื่นตาบาน
กลุ่มเป่าสีดีดร้องทั้งสี่ ก็หน้าแดงด้วยความดีใจ
ฟื้ นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
ใช้คํานี้มาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของพวกเขา ถือว่าถูกต้อง อย่างที่สุด
จากการที่หลี่มู่ได้ชัยมา ฐานะของพวกเขาก็พลิกกลับอย่างสิ้นเชิง
ทั้งสี่คนอดดีใจกับความฉลาดและโชคดีในการเลือกของตนเอง ก่อนหน้าไม่ได้
ถ้าหากพวกเขาตอนนั้นเลือกที่จะทิ้งหลี่มู่ ตอนนี้หากจะได้รับการ ยอมรับจากหลี่มู่ก็คงยากแล้ว และถ้าไม่ถูกหลี่มู่ยอมรับ ก็จะถูกเหล่าขั้ว
อํานาจจากดาราจักรวีรชนไล่สังหาร ยายก็ไม่รักน้าก็ไม่เอา อยู่ตรงไหน ก็ไม่ใช่คน
ตอนนี้กอดขาหลี่มู่เอาไว้ ภายภาคหน้ายังมีมีทางหนีทีไล่ดึง สถานการณ์กลับมา สํานักกําเนิดฟ้าอาจจะมีความหวังสร้างตัวใหม่อีก ครั้ง
“หลี่มู่ อย่าได้สังหารกันถึงที่สุดเลย ภายภาคหน้าเจ้ายังต้องออก จากโลกใบนี้ เข้าสู่ดาราจักรเทพวีรชน ศัตรูมากมายร้อยพัน อนาคตใน ดาราจักร หากเจ้ามีแต่ศัตรูก็จะก้าวต่อได้อย่างลําบาก” ผู้บําเพ็ญนอก พิภพคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมอง ชกออกไปอีกหมัดระเบิดร่างเขา ดูดเอา สมบัติบนตัวเขามาจนหมด
“ตอนนี้มาพูดไร้สาระกับข้าแบบนี้หรือ?” หลี่มู่ทําให้หนังหน้าและ มาตรวัดความฉลาดของคนเหล่านี้ร้อนรนขึ้นมาจริงๆ เอ่ยว่า “ต่อให้ข้า ไม่สังหารพวกเจ้า ต่อไปภายหลัง พวกเจ้าจะปล่อยข้าไปหรือ?”
“ข้าสาบาน…” ผู้บําเพ็ญนอกพิภพคนหนึ่งรีบร้อนยกนิ้ว ทําท่า สาบาน
ตูม!
เขาถูกชกระเบิดไปอีกคน
หลี่มู่ดูดเอาสมบัติของคนคนนี้เข้ามา เอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ เชื่อคําสาบานของคนสองหน้าอย่างพวกเจ้า”
“ดูท่าพวกเราคงไม่มีทางรอดแล้ว พวกเราเข้าไปสู้กับเขาพร้อมกัน เลยดีกว่า” ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เคยประกาศศักดาว่าจะสังหารหลี่มู่ เพื่อจักรพรรดิเซียนหมิงกวงก่อนหน้า ตะโกนปลุกปั่ นคนอื่นๆ
ตูม!
ถูกชกระเบิดเช่นกัน
“หมูอ้วนกอดกันขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ก็ไม่ใช่คู่มือของราชสีห์ ตื่นกันเสีย ที เลิกฝันได้แล้ว” หลี่มู่เย้ยหยันอย่างไม่เกรงใจ ดูดเอาสมบัติของคนนี้ เข้ามา
“อ๊า…” มีคนที่ทนรับกับแรงกดดันเช่นนี้ไว้ไม่ไหว จิตใจพังทลาย กรีดร้องเสียงแหลม หันหลังหนี
ตูม!
ระเบิดตามไป
สมบัติหล่นเข้าใส่มือหลี่มู่
“ควรอภัยก็ควรให้อภัย…” ตูม!
“เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ พวกเรา…” ตูม!
“ถุด เจ้ามารคลั่งสังหารคนเช่นเจ้า ไม่มีทางตายดี” ตูม!
“ไม่ๆๆ ข้ายังไม่อยากตาย ช่วยข้าด้วย อย่าสังหารข้า ข้ายอมเป็น วัวเป็นควาย…”
ตูม!
หลี่มู่หนึ่งหมัดหนึ่งคนราวกับทุบแตงกวา ซัดพวกผู้บําเพ็ญหน้าไม่ อายกลุ่มนี้ระเบิดไปทีละคน
ท้ายสุด เหลือเพียง ‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคง ชายหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ จักรพรรดิฉินหมิง ชวีอ๋องเจียงชิงหรวน องครักษ์ติดตามชุดดํา รวมไป ถึงผู้แข็งแกร่งสํานักค่ายกลสวรรค์อีกสิบกว่าคน
พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไม่พูดอะไรไร้สาระออกมาก่อนหน้า ยืนนิ่ง อยู่กับที่ ทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธแค้น ทั้งสิ้นหวัง แต่ว่าไม่กล้าที่จะเอ่ยปาก ออกมา
เพราะพวกเขามองกฎเกณฑ์ออกแล้ว ใครพูดคนนั้นก็ถูกหลี่มู่ชก
ผู้บําเพ็ญนอกพิภพนับร้อยถูกหลี่มู่สังหารทิ้งเหมือนฟันต้นกุยช่าย จนเหลือเพียงสิบกว่าคน เป็นไอสังหารอันป่าเถื่อนจริงๆ
ในอากาศ คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแทงจมูก
พื้นที่ซากปรักหักพังของเข้าห้าองคุลีคล้ายกับลานเชือดหมูอย่างไร อย่างนั้น
ที่เหลืออยู่สิบกว่าคน ล้วนตกใจจนจะเป็นบ้ากันหมดแล้ว
สายตาของหลี่มู่แฉลบไปบนร่างทั้งสิบกว่าคนนี้ ไม่พูดจา ล้วงเอา ดาบยาวที่เก็บได้จากเมืองรอบนอกในช่องเก็บของมิติออกมา ฟาดฟัน ไปยังจ่างซุนฉางคง
“เจ้า…” จ่างซุนฉางคงตกใจ ชักดาบรับขึ้นมาด้วยสัญชาติญาณ
ชิ้ง!
คมดาบประสานกัน
จ่างซุนฉางคงที่เดิมทีสิ้นหวังไปแล้ว กลับค้นพบอย่างประหลาดใจ ที่ตนเองสามารถรับดาบนี้ไว้อยู่
เกิดอะไรขึ้น?
เพียงไม่นาน เขาก็รู้สึกว่าพลังวิชาดาบของหลี่มู่ ราวกับว่าไม่ได้ แข็งแกร่งไร้เทียมทานแหมือนเมื่อก่อนหน้าแล้ว พละกําลังเหมือนจะ อ่อนแอลง
การค้นพบนี้ทําเอาเขาลิงโลด
หรือว่าพลังด้านนอกที่กรอกเข้ามาในตัวหลี่มู่ ในที่สุดก็อ่อนแอลง แล้ว?
‘มารดาบ’ จ่างซุนฉางคงกระตุ้นพลังจิต แสดงสิ่งที่ได้เรียนรู้ ออกมา พุ่งเข้าปะทะกับหลี่มู่
แสงดาบวูบวาบ
ท่าดาบของดาบมารราวกับสายฟ้าไหล เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่น แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมถึงที่สุดอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นจ่างซุนฉางคงยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุจิตดาบ หนึ่ง ดาบฟาดฟัน เสียงมารขับขาน ทําเอาภาพที่เห็นตรงหน้าเกิดภาพมายา
ราวกับเป็นเหล่ามารกําลังเต้นระบํา สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ ช่วงชิง ปณิธาน ร้ายกาจไร้เทียมทานอย่างแท้จริง
เพียงพริบตา ทั้งสองได้ต่อสู้กันไปถึงหนึ่งก้านธูป สู้ได้สูสีอย่างไม่มี ใครยอมกัน
‘ดาบมาร’ จ่างซุนฉางคงรู้สึกว่าหลี่มู่ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนไล่ ทุบชาวบ้านก่อนหน้าแล้ว ความเชื่อมั่นในใจปะทุมากขึ้น ดาบมารใน มือโบกสะบัดร่ายระบํา ราบรื่นมากกว่าเดิม ความรู้สึกสบายใจอย่างที่ ไม่เคยมีมาก่อนหน้า ทําเอาเขารู้สึกว่าพลังบําเพ็ญวิชาดาบของตนเองมี เค้าลางว่าจะทะลวงขั้นได้รางๆ…
“ฮ่าๆ เจ้านักโทษผู้ผิดบาปตัวน้อย เจ้าเปลี่ยนมาอ่อนแอแล้ว พลัง ภายนอกร่างกายในที่สุดก็สลายไปแล้วสินะ ไม่มีพลังภายนอกนั่น เจ้าก็ เป็นแค่ลูกโป่งที่ลมรั่วเท่านั้น…” จ่างซุนฉางคงหลังจากทดลองไปหลาย ครั้ง ก็วางใจลง หัวเราะร่าขึ้นมา
เสียงยังไม่ทันขาด
ฉัวะ!
พลังหลี่มู่ระเบิดขึ้น ผ่าฟันแนวตั้ง ตัดสะบั้นดาบมารบนมือของเขา แบ่งร่างของเขาลงมาตั้งแต่ส่วนหน้าผาก แยกออกเป็นสองซีกซ้ายขวา
“เจ้า…” จ่างซุนฉางคงถึงอย่างไรก็เป็นผุ้แข็งแกร่งขั้นนักรบ พลัง ชีวิตมากล้น จึงไม่ตายในทันที ใบหน้าของซีกทั้งซ้ายขวา ปรากฏแวว หวาดกลัวตกตะลึงขึ้นพร้อมกัน เอ่ยขึ้นว่า “เจ้า…เจ้า…”
เขาหวาดผวากระทั่งคําพูดออกยังเปล่งเสียงออกมาไม่ได้
หลี่มู่พูดขึ้นอย่างดูถูก “ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะเห็นการ เปลี่ยนแปลงวิชาดาบของดาบมารล่ะก็ ข้าชกเจ้าระเบิดไปนานแล้ว” เขาเมื่อครู่ได้บีบกดพลังเอาไว้ ไม่ได้สังหารจ่างซุนฉางคงในทีเดียว เพราะว่าคนผู้นี้ ถึงอย่างไรก็เป็นยอดวิชาดาบของสํานักนอกพิภพคน หนึ่ง หลี่มู่อยากเห็นความลี้ลับและการเปลี่ยนแปลงของวิชาดาบเขา
หลังจากสังเกตส่วนสําคัญของดาบมารจนหมด เขาจึงค่อยฟันจ่าง ซุนฉางคงให้ขาดในดาบเดียว จบสิ้นการต่อสู้อย่างหมดจด
จ่างซุนฉางคงก็เพิ่งจะเข้าใจ
ปากทั้งสองซีกของเขาอ้าขึ้นครั้งสุดท้าย เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ถูกหลี่มู่ฟันไม่ยั้งอย่างประณีตจนกลายเป็นเศษเป็นก้อน ภายใต้จิต สังหารที่กลืนกิน วิญญาณก็ค่อยๆ พลังทลายสลายกลายเป็นฝุ่นลอย ตายลงอย่างถาวร
หลี่มู่หยิบเอามิติเก็บของของเขาเก็บเข้ามา
‘จักรพรรดิฉินหมิง’ ที่อยู่อีกด้านหวาดกลัวจนตัวสั่น สีหน้าเหมือน ดิน
เขาตอนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ติดตามคนหนึ่ง
ถ้าหากก่อนหน้าได้พ่นคําที่โหดร้ายออกมา ตอนนี้ต่อให้มัน กลายเป็นก้อนขี้ แล้วถ้าสามารถกลืนมันกลับเข้าไปได้ เขาก็จะไม่ลังเล เลยแม้แต่น้อย ถ้าหากทั้งหมดสามารถเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง เขาไม่มีวันที่ จะเป็นศัตรูกับดาวสังหารอย่างหลี่มู่แน่นอน
แต่ทว่า บนโลกนี้ไม่มียาแก้ความสํานึกเสียใจ
หลี่มู่ก็ขี้เกียจที่จะเสวนาไร้สาระกับเขา ยกมือขึ้นฟัน ด้วยกระบวน ท่าดาบมารที่เพิ่งจะสังเกตมาระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่ ฟันสังหาร จักรพรรดิฉินหมิง จนวิญญาณดับสูญไป
แผนการประกาศศักดากลายเป็นความหวังที่สูญสลายไป
ตอนนี้เอง ชายหนุ่มเผ่าผู้วิเศษยืมโอกาสนี้ เผ่นหนีออกไปด้านนอก ไกลกว่าสองลี้ราวกับภูตวิญญาณ
หลี่มู่ยกมือ
ฟิ้ ว!
ดาบยาวในมือพุ่งทะยานออกไปราวกับสายฟ้า เสียบทะลุกลางสัน หลังของชายหนุ่มเผ่าผู้วิเศษ เสียบเขาเอาไว้กับก้อนหินขนาดใหญ่ มือ เท้าชักกระตุกเหมือนกับสุนัขถูกตีจนสันหลังหักก็มิปาน
เวลานี้ พลังร่างแยกวิถียุทธ์ของวัวดําในร่างกายหลี่มู่ยังไม่สลายไป อย่างสมบูรณ์ เมื่อลงมือจึงยังคงเป็นพลังหินทลายฟ้าสะเทือน แล้วชาย หนุ่มเผ่าผู้วิเศษจะหลบหนีไปได้อย่างไร?
“ท่านบรรพบุรุษ…ต่อให้ต้องตาย…ข้าก็จะสาปแช่ง ข้า…ข้าจะทํา ให้เจ้าเจ็บปวดหมื่นเท่า จนต้องรอขอความตาย ข้า…” เขาคิดจะใช้พลัง สุดท้ายของชีวิต ร่ายวิชาสาปแช่ง
ใจของเขาชัดเจนมาก จะสาปแช่งหลี่มู่ที่มีสถานะเช่นนี้คงเปล่า ประโยชน์แน่นอน ดังนั้นเขาจึงเลือกเป้าการสาปแช่งไปที่เด็กรับใช้ บัณฑิตข้างกายหลี่มู่ ยังคงชั่วร้ายถึงที่สุด
แสงสว่างวาบ
หลี่มู่มาถึงด้านหน้า มือกําดาบยาวระเบิดท่าดาบ แสงปะทุขึ้น ไม่ ปล่อยโอกาสให้เขาได้ร่ายคําสาป บดขยี้เขาจนกลายเป็นผุยผงไป
“ตายอย่างไร้คุณค่า”
หลี่มู่ลากดาบยาวหันหลังเดินกลับมา
“ถึงตาพวกเจ้าแล้ว” หลี่มู่เดินไปยังคนของสํานักค่ายกลสวรรค์
โอวหยางจื้อและเฉียนเจิ้นอวิ๋นทั้งสองคน ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรจะ ขอร้องอย่างไรดี ก่อนหน้าพวกเขาทําเกินไป บับบังคับให้หลี่มู่ส่งมอบ วิชา ‘ค่ายกลเต๋าสวรรค์’ ออกมา ในความเป็นจริงคือวางแผนเพื่อจะ เอาวิชาค่ายกลที่สืบทอดของหลี่มู่มา ส่วนตอนนี้?
เขาทั้งคู่อยากจะร้องไห้
คนของสํานักค่ายกลสวรรค์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่เป็นเพียงแค่ฝัน ร้าย รีบๆ ตื่นขึ้นมาเสีย ทั้งหมดล้วนไม่ได้เกิดขึ้น
“เอาตําราลับวิชาค่ายกลของพวกเจ้าส่งมาให้ข้าทั้งหมด พวกนี้ ล้วนเป็นของข้า” หลี่มู่เปิดประเด็นตรงๆ
ตอนนี้ตัวละครได้สลับกันแล้ว เขาเอาเรื่องที่สํานักค่ายกลสวรรค์ เคยทํา ย้อนกลับไปใช้กับพวกเขาตรงๆ
“พวกเรามอบวิชาลับให้ แล้วเจ้าจะปล่อยพวกเราไปหรือไม่…” โอวหยางจื้อตาเดียวจ้องมองหลี่มู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยการประจบและ หวาดกลัว
หลี่มู่ตอบกลับอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “ทุกคนก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่ต้องคอยกอดภาพฝันที่ไม่เป็นจริงอยู่ดีไหม”
โอวหยางจื้อเอ่ยไม่ออก
เฉียนเจิ้นอวิ๋นความคิดคล่องแคล่ว ไม่พูดเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น เอ่ย ขึ้นว่า “ข้ามอบ ข้ายินดีมอบตําราลับทั้งหมด ท่านจอมยุทธ์น้อย ขอ ท่านไว้ชีวิตสุนัขตัวหนึ่งอย่างข้าไว้…”
พูดพลาง เขาก็รีบเอาตําราลับวิชาค่ายกลทั้งหมดมอบออกมา เสริมขึ้นอีกว่า “จอมยุทธ์น้อย ข้ายอมเป็นคนใช้ข้างกายท่านเลย เหมือนกับศิษย์ทั้งสี่แห่งสํานักกําเนิดฟ้านั่น พลังของข้าแข็งแกร่งกว่า พวกเขา ข้าสามารถช่วยท่านได้มากกว่า…”
หลี่มู่ถุยออกมาหนึ่งที เอ่ยขึ้นอย่างเหยียดหยาม “เจ้าพวกชักใบ เรือตามลม เศษขยะละโมบกลัวตายอย่างเจ้า คู่ควรจะมาเปรียบเทียบ กับกลุ่มเป่าสีดีดร้องที่ยินยอมพร้อมตายกับข้าหรือ? เขาเอาหนังหน้า เช่นนี้ให้กับเจ้ากัน?”
ชายคิ้วตรงจมูกเหยี่ยวงุ้มทั้งสี่คนที่อยู่อีกด้าน รู้สึกซาบซึ้งกับคําว่า ‘นักรบยอมตายแทนได้เพื่อเพื่อนที่รู้ใจ’ จนมีสีหน้าฮึกเหิม
“ใช่ๆๆ ข้าน้อยไม่คู่ควรไปเปรียบเทียบกับพวกเขา…” เฉียน เจิ้นอวิ๋นหน้าชา ฝืนยิ้มออกมาได้น่าเกลียดกว่าร้องไห้
หลี่มู่รู้สึกขยะแขยง ยกมือฟาดดาบส่งเขาสู่ความตาย
โอวหยางจื้อที่อยู่อีกด้านกลัวจนหน้าซีดขาว ร้องขึ้นเสียงดังสลบ เหมือดลงไป
“แกล้งตาย?”
หลี่มู่ไม่สนว่าเขาจะตายจริงหรือแกล้งตาย ฟันซ�าลงไปอีกสามที
ขณะที่เขาอยู่ในโรงเชือดหมูบนดาวโลกก่อนหน้า ความสามารถ การลงมีดซ�าของหลี่มู่อยู่ในขั้นยอดเยี่ยม นักเชือดบางส่วนที่ฝีมือไม่ดี พอบางครั้งไม่สามารถเชือดหมูให้ตายในมีดเดียว กลับยิ่งทําให้หมูดุร้าย ขึ้น ดิ้นรนกรีดร้องจนคนรอบข้างไม่กล้าเข้าใกล้ หลี่มู่พุ่งขึ้นไปลงมีดซ�า สามารถแก้ปัญหาได้ในพริบตา
เพื่อที่จะจะแสดงความเคารพกับยอดฝีมือใหญ่อย่างโอวหยางจื้อ หลี่มู่ครั้งนี้จึงลงดาบซ�าถึงสามดาบ ถือว่าลงดาบอย่างมีมโนธรรมแล้ว
เมื่อแน่ใจว่าโอวหยางจื้อไม่พูดอะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ หลี่มู่จึงใช้ วิธีเช่นเดิม เก็บเอากระเป๋าใส่ของของเขากลับออกมา
ส่วนศิษย์สํานักค่ายกลสวรรค์คนอื่น หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก
หลี่มู่ก็ไม่เกรงใจ สังหารทิ้งทั้งหมดไม่เหลือไว้แม้แต่คนเดียว
“ตายไปให้หมดเถอะ ไปนั่งทบทวนตนเองในยมโลกเสีย”
ถึงอย่างไรเจ้าคนกลุ่มนี้ ก่อนหน้าทั้งปากทั้งหน้าตาก็ล้วน ขยะแขยง ไม่มีใครดีสักคนเดียว สังหารไปไม่มีอาฆาตกันแน่นอน ตาย ก่อนก็เกิดใหม่ก่อน ชาติหน้าก็เป็นคนดีเสีย
ชายชุดดําสะพายดาบรวมไปถึงชายชราข้างกาย และยังมีพี่น้อง สองสาว จ้องมองด้วยอาการใจหวั่นเนื้อเต้น เหงื่อแตกพลักอยู่ในใจ ถึงแม้ก่อนหน้าพวกเขาจะปฏิเสธจักรพรรดิเซียนหมิงกวง ทว่าหลี่มู่ที่ สังหารจนเลือดขึ้นหน้า จัดการพวกเขาไปพร้อมกันล่ะ?
“ท่านที่เหลือไม่ต้องเครียดกังวล” หลี่มู่แสยะปากยิ้ม เอ่ยต่อว่า “ข้าคนนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนมาก ไม่ได้ชอบการเข่นฆ่า สังหาร…ข้าเป็นคนดีคนหนึ่ง”
ทั้งสี่คนเมื่อได้ยิน ในใจเกิดอาการพูดไม่ออก
สุภาพอ่อนโยน?
ถ้าหากไม่ได้เห็นเหล่าผู้บําเพ็ญนอกพิภพนับร้อยตายเรียบด้วยตา ตนเองเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเชื่อเจ้าอยู่บ้างนะ
เจ้ากับคําว่าสุภาพอ่อนโยนมันไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย “เชิญทุกท่านกลับไปได้แล้ว” หลี่มู่ผายมือเชิญ เรื่องต่อจากนี้ เขาไม่อยากให้คนนอกรับรู้
ชายสะพายดาบชุดดําจ้องมองหลี่มู่ พยายามสะกดกลั้นจิตการ ต่อสู้ของตนเอง พูดสามคําอย่างที่เคยชิน “เจ้าแกร่งมาก ข้าจะต้อง พบ เจ้าอีก งานกระบี่ มาวัดกัน…”
พูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกชายชราข้างกายลากออกไปแล้ว
เจ้าบ้านี่ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ เวลาแบบนี้ยังจะไปท้ารบกับคนคลั่ง สังหารเช่นนั้นอีก ถ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วก็ยังลากคนแก่อย่างพวกเราเข้า ไปด้วยได้ไหม
หลี่มู่มองไปทางสองสาวพี่น้องคนพี่ปู้เฟยเหยียน
อีกฝ่ายมีแววหวาดกลัวปรากฏขึ้นให้เห็นทันที
“พี่สาวไม่ต้องกลัวไป ถึงอย่างไรพวกเราก็เคยสนิทชิดเชื้อกันแล้ว นี่นา…ท่านวางใจเดินออกไปเถิด ข้าไม่ทําอะไรลับหลังอยู่แล้ว” หลี่มู่ แสยะยิ้มเผยฟันขาวราวหิมะออกมา
ปู้เฟยเหยียนในใจพูดไม่ออกถึงขีดสุด ยังจะพูดถึงเรื่องนี้อีก? นาง จัดการร่ายคําสาปผนึกวาจาใส่น้องสาวที่กําลังชักดาบจากเอวและ เหมือนจะพูดอะไร จากนั้นลากตัวน้องสาวหันหลังเดินออกไปเช่นกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ออกจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน
ถึงแม้ท่าทียิ้มคิกคักของหลี่มู่จะไม่มีจิตสังหารใดอยู่เลย แต่ว่าที่นี่ เต็มไปด้วยศพและกลิ่นคาวเลือดสังหารคละคลุ้ง มันทําให้ใจของนางไม่ สามารถรับรู้ได้ถึงความปลอดภัยใดๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ ทําเอาหญิงสาวแห่งสวรรค์คนนี้ หวาดเสียวจนทนรับไม่ไหวจริงๆ
“พี่สาวไปดีดีนะ มีโอกาสไว้พบกันใหม่” หลี่มู่โบกมือ
เขารู้สึกดีต่อพี่น้องสองสาวคู่นี้ ไม่ใช่คนเลวอะไร
ปู้เฟยเหยียนไม่สนใจคําพูดนี้ของหลี่มู่ ลากน้องสาวออกไปจาก พื้นที่ราวกับว่าวที่สายป่านขาด เพียงแค่พริบตาก็หายวับไปกับตา
หลี่มู่หัวเราะสั่นศีรษะ จากนั้นเดินไปยัง ‘คนปลิ้นปล้อน’ ชวีอ๋อง เจียงชิงหรวนแห่งฉู่ใต้
คนที่เดินออกมาจากดาวโลก เจียงชิงหรวนคนนี้ เป็นคนทรยศ บรรพบุรุษคนแรกที่หลี่มู่รู้
ไม่ว่าจะเป็นการทรยศเช่นไร ล้วนเป็นสิ่งที่ทําให้คนรับไม่ได้อย่าง ไม่ต้องสงสัย
ซ�ายัง หากวันนี้ไม่ใช่เพราะเจียงชิงหรวนคอยเข้ามาขัดขวางหลาย ต่อหลายครั้ง พวกของหลี่มู่คงไม่ต้องถูกกดดันถึงขั้นนี้…เดิมที
จักรพรรดิหมิงกวงรับปากคําขอของหวางซืออวี่ จนปล่อยให้พวกหลี่มู่ เดินจากไปแล้ว แต่กลับเป็นชวีอ๋องคนนี้ ที่มาเปิดเผยตัวตนนักโทษผู้ผิด บาปของหลี่มู่
“เจ้าเก่งกาจกว่าที่ข้าคิดว่าอยู่บ้าง” เจียงชิงหรวนจ้องมองหลี่มู่ ตรงๆ ใบหน้าเหมือนกับไม่ค่อยมีความยําเกรง บนใบหน้าขาวสะอาดใต้ มงกุฎ ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้จริงใจแม้แต่น้อยเช่นเดิม
หลี่มู่เอ่ยขึ้น “ว่ามา เจ้าอยากจะตายเช่นไร?”
เจียงชิงหรวนยังยิ้มไม่เปลี่ยน เอ่ยตอบว่า “มั่นใจขนาดนี้เชียวว่า จะสังหารข้าได้?”
หลี่มู่พยักหน้า “สังหารเจ้ามันง่ายเหมือนสังหารสุนัขนั่นล่ะ เพียง แค่เจ้ารู้จักดาวโลก ดังนั้นจึงมาเสวนากับเจ้ามากหน่อยเท่านั้น ถ้าหาก เจ้าคิดจะตายสบายหน่อยก็บอกข้ามา ว่านอกจากเจ้ากับอวี๋ฮว่าหลง แล้ว สามคนที่เหลือที่ตื่นจากแท่นบูชา ตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว?”
“เจ้ายังรู้เรื่องของแท่นบูชาด้วยหรือ?” เจียงชิงหรวนมีสีหน้า ประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยขึ้นเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “ก็ถูก เจ้า กับอวี่ฮว่าหลงคนโง่ที่ไม่กลัวตายจนไปงัดกับจักรพรรดิฉินหมิง ดูท่าเขา คงจะบอกอะไรเจ้าหลายเรื่อง บอกเจ้าเลยก็แล้วกัน อืม ข้าเป็นคนแรก
ที่ฟื้ นขึ้นมาจากแท่นบูชา ส่วนที่อยู่ของสามคนที่เหลือหรือ เจ้าลอง เดาๆ ดู?”
หลี่มู่ยิ้มเย็นชา ไอสังหารไหลเวียน
เจียงชิงหรวนยังคงยิ้มหน้าหลอกราวกับยั่วยุ ยิ้มตาหยีเอ่ยต่อว่า “ถูกแล้ว ชี้แนะอย่างเพื่อนเลยนะ จุดจบของพวกเขาไม่ค่อยดีเท่าไร นัก”
……………………………………….