จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 470 สิ้นสุดสุสานเทพ
เจียงชิงหรวนมองเงาที่อยู่บนพื้น อึ้งไปเล็กน้อย
ตาสองสี ขนเงางามสีเทาค่อนดํา ร่างอันอวบอ้วน สี่ขาใหญ่โต แข็งแรง ลิ้นคาวสีแดง เขี้ยวอันคมกริบ…
เอาเถอะ เจียงชิงหรวนที่เอาแต่ปลอบใจตนเองเพราะจินตนาการ ไปว่าต้องออกมาน่ากลัวโหดร้าย ทว่าเจ้าสิ่งที่เหมือนจะเป็นหมาป่าก็ ไม่ใช่ จะเป็นสุนัขก็ไม่เชิงตรงหน้านี้ มันเชื่อมต่อไม่ติดกับรูปร่างแห่ง มังกรที่นายท่านเคยบรรยายเอาไว้เลยนี่นา
“โฮ่ง!”
‘มังกร’ จ้องมองมาที่เจียงชิงหรวน ในดวงตามีคําถาม ราวกับจะ บอกว่าเจ้าอัญเชิญข้าออกมาทําไม
เอาเถอะๆ
เจียงชิงหรวนยืนยันว่าสิ่งมีชีวิตนี้เป็น ‘มังกร’ ที่เขาอัญเชิญออกมา ไม่ต้องสงสัย เป็นสิ่งที่นายท่านวางเอาไว้ ‘มังกร’ อาจจะเกิดการ เปลี่ยนแปลงไป แต่ไม่ว่าอย่างไรพลานุภาพของร่างมันยังคงไม่มีปัญหา
ดังนั้นเขาจึงคํารามขึ้นด้วยเสียงอันดัง “จงฟังการอัญเชิญของข้า สังหารศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้เสีย อย่าทําลายร่างกายของพวกเขา…”
‘มังกร’ มองจ้องมองไปทางพวกของหลี่มู่ตามปลายนิ้วของเจียงชิง หรวน
ตอนนี้เองที่หลี่มู่ได้ยืนยันแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตอะไรปรากฏ ออกมาอีก จ้องมองไปยังสิ่งที่ถูกเรียกว่า ‘มังกร’ หัวเราะออกมาจนแทบ น�าตาเล็ด
“ฮ่าๆ นี่มัน…ฮ่าๆ เจ้าคือมังกรหรือ?” หลี่มู่กุมท้องเอ่ยขึ้นกับเจียง ชิงหรวน “เจ้าคงไม่ใช่ตัวตลกที่ลิงส่งมาสินะ นี่มัน..ขําจะตาย ขําจะตาย อยู่แล้ว”
นี่มันมังกรอะไรเสียที่ไหน
นี่มันเจ้านายพลฮัสกี้
เจ้านี่หายไปตั้งแต่อยู่ที่เมืองหลินอันในซ่งเหนือถึงนานสองนาน และก็ไม่รู้ว่าไปที่ใด ทําไมจู่ๆ จึงถูกเจียงชิงหรวนใช้เขี้ยวสัตว์สีเลือด อัญเชิญออกมาได้เช่นนี้
เบื้องหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ทว่าตอนนี้ จากการปรากฏตัวของฮัสกี้ แรงกดดันไอสังหารที่ครอบ ฟ้าคลุมดินภายในรัศมีร้อยลี้ค่อยๆ สลายไป ราวกับว่าซึมเข้าไปใน ร่างกายฮัสกี้จนหมด
เจียงชิงหรวนจ้องมองหลี่มู่ ยิ้มเย็นชาเอ่ยขึ้น “กบในกะลา พวก โง่เง่า เจ้าจะมารู้ถึงความน่ากลัวของมังกรได้อย่างไร รอให้มังกรแสดง พลังคุกคามระดับเทพออกมา เจ้าจะต้อง…เจ้าๆๆ…มังกร เจ้า…”
เขาพูดมาได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็ใบ้กิน ดวงตาแทบจะถลนออกมา
เนื่องจากสิ่งที่เขาเห็น ‘มังกร’ กลับวิ่งกุลีกุจอไปอยู่ด้านหน้าหลี่มู่ เอาศีรษะเข้าไถตัวหลี่มู่อย่างสนิทสนม จากนั้นยื่นลิ้น ‘แดงคาว’ ออกมา เลียแผลบๆ ที่ฝ่ามือ นั่งยอง สะบัดหางเอาใจอย่างรุนแรง…
นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
เจียงชิงหรวนต่อให้ปัญญาอ่อนอีกเพียงไหน ก็คงจะมองออกว่า เรื่องมันไม่ถูกต้องเสียแล้ว
แต่เขาก็ยังคิดไม่ออก ว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันแน่?
มังกรล่ะ?
ตนเองได้ทําตามวิธีที่นายท่านทิ้งเอาไว้ก่อนจากไปเพื่ออัญเชิญ มังกรแล้ว นายท่านมีตัวตนตั้งระดับไหน ไม่มีทางที่จะมาหลอกตนเอง แน่นอน แล้วขั้นตอนเหล่านี้มันเกิดปัญหาอะไรขึ้นกัน?
พวกของกัวอวี่ชิงอีกด้าน ก็ล้วนขําขึ้นมากับสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกนี้
“เอ๋ เจ้าสุนัขกลับมาแล้ว เจ้าทําไมถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่กัน?” หมิง เยวี่ยวิ่งเข้ามา ลูบขนเงางามของฮัสกี้ หัวเราะคิกคักเอ่ยต่อว่า “ดีจังเลย พาหนะของข้า…ให้ตายเถอะ ทําไมเจ้าถึงได้อ้วนขึ้นขนาดนี้? ยังกับหมู วันปีใหม่เลย”
“โฮ่ง!” นายพลฮัสกี้เอียงคออย่างไม่พอใจ แบะปาก “อย่าเอาข้า ไปเทียบกับหมู”
หลี่มู่ลูบศีรษะของฮัสกี้บ้าง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทําไมกลายเป็นมังกรไป ได้กัน?”
“มังกร?” เจ้าฮัสกี้ปากเรอออกมา เอ่ยว่า “ตอนข้าไปเก็บบอล ไม่ ทันระวังเลยหล่นลงไปในถ�าๆ หนึ่ง แล้วได้พบกับตัวประหลาดตัวหนึ่ง ในนั้น ร่างใหญ่โต นิสัยฉุนเฉียว กินเอา ‘ลูกบอลหนัง’ ของข้าลงไปเฉย เลย แล้วยังหันมาจะกินข้าอีก ดังนั้นข้าก็เลยต้องกินมันไปแทน”
ลูกบอลหนังของมัน ก็คือศีรษะของเหลียงจื้อนั่นเอง
ตอนนั้นในเมืองหลินอัน หวางซื่ออวี่กับหมิงเยวี่ยใช้ธนูยิงศีรษะ ของเหลียงจื้อออกไป ฮัสกี้ชอบเล่นเกมเก็บบอลมาก หลังจากที่ยิงศีรษะ ของเหลียงจื้อออกไปครั้งสุดท้าย ฮัสกี้ที่ออกไป ‘เก็บบอล’ ก็หายไปไม่ กลับมาอีกเลย หาจนทั่วเมืองก็ไม่พบ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน
“เจ้า…เจ้ากินมังกรลงไปแล้วหรือ?” เจียงชิงหรวนเมื่อได้ฟัง ก็ ไม่ได้ตกใจเรื่องที่เจ้าสิ่งมีชีวิตนี้พูดได้เลย แต่กลับเข้าใจถึงเรื่องราว ความจริงโดยประมาณอย่างไม่น่าเชื่อนี้แทน ทว่าก็ยังคงไม่อยากเชื่อ เอ่ยต่อว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะกินมังกรเข้าไปได้อย่างไร เจ้า เจ้า…”
เขาติดอ่างอึกอักจนพูดอะไรไม่ออก
“โอ๋ เจ้านั่นที่ถูกข้ากินชื่อว่ามังกรหรือ อืม รสชาติก็ไม่เลวนัก เจ้ารู้ ไหมว่าที่ไหนยังมีอยู่อีก?” ฮัสกี้มองไปยังเจียงชิงหรวน เอียงคอ ดวงตา เต็มไปด้วยความจริงใจและโหยหา
พูดไปพลาง มันก็ทําการเรอออกมาอีกครั้ง จากนั้นในปากได้ สํารอกเอากระดูกสีขาวชิ้นหนึ่งออกมา
เจียงชิงหรวนสัมผัสได้ในทันที ปราณอันมุทะลุโหดร้ายที่แสนจะ คุ้นเคย ไหลออกมาจางๆ จากกระดูกสีขาวชิ้นนั้น เป็นกลิ่นอายของ มังกรที่ตอบรับกลับมาขณะที่เขาทําการอัญเชิญก่อนหน้านี้
มังกรถูก….ถูกกินไปแล้ว?
สีหน้าของเจียงชิงหรวนในสายตาหลี่มู่ อยู่ในท่าทีประมาณว่า ‘อะไรนะ?…ต้าชิงล่มสลายแล้วหรือ?[1]’
อันที่จริง ที่หลี่มู่ขําจนน�าตาแทบจะเล็ดออกมา ก็เพราะตัวเขาเอง คิดว่าเรื่องนี้ทั้งหมดมันดูงี่เง่าพิลึก
ใครจะคิดไปถึง ว่าพลังที่แผ่ออกมาสั่นฟ้าสะเทือนดิน สิ่งที่ถูก เรียกว่าเป็น ‘มังกร’ ที่ทําเอารัศมีกว่าร้อยลี้ราวกับกลายเป็นห้วงแห่ง แรงกดดันจิตสังหาร จะกลายมาเป็นเจ้าสุนัขฮัสกี้ที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ ราวตัวนี้
มันใช้อะไรถึงได้กินมังกรตัวจริงนั่นลงไปได้?
หลี่มู่ยังคงคิดไม่ออก
แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้คือ…อันตรายได้ถูกกําจัดไปหมดแล้ว
หลี่มู่มองไปทางเจียงชิงหรวน
อีกฝ่ายค่อยๆ ได้สติกลับมาจากความตกใจและความไม่อยากจะ เชื่อ จ้องตอบสายตาของหลี่มู่ สีหน้าหวาดกลัวปรากฏขึ้นฉับพลัน
ไพ่ลับไม้ตายใหญ่สุดของเขา ได้ถูกเขียนเครื่องหมายมหัพภาคลง ไปด้วยเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ แล้วตอนนี้จะทําอย่างไรกัน?
ในสมองของเจียงชิงหรวนขบคิดแทบแตก ก็ไม่มีวิธีใดๆ ออกมา เลย
ใบหน้าของเขาฉีกยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากนั้นเอ่ยขึ้นมาตาม มาตรฐาน “ระหว่างพวกเรา น่าจะเกิดความเข้าใจผิดอะไรขึ้น… เอ่อ เจ้ากับข้าก็คนบ้านเดียวกัน พวกเราไม่ต้องสังหารกันให้ตายไปข้างจริง ไหม? สู้มานั่งร�าสุราสนทนาพาทีกันดีกว่า”
หลี่มู่สั่นศีรษะ
ตอนนี้เขากลายมาเป็นแมวไล่จับหนูบ้างแล้ว
เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามาเจียงชิงหรวน
อีกฝ่ายร้องเสียงประหลาด หันตัวหนีไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ทว่าต่อให้เร็วอีกเพียงไหน ก็ไม่มีทางเร็วไปกว่า ‘หอกอัสนีทะยาน’ ในมือกัวอวี่ชิง
หลี่มู่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
เพียงไม่ถึงสิบชั่วหายใจ กัวอวี่ชิงก็หิ้วเจียงชิงหรวนที่เหมือนกับ สุนัขตายกลับมา
“เดี๋ยวก่อน ฟังข้าก่อน อย่าเพิ่งสังหารข้า ข้ารู้เรื่องอีกมากมาย เจ้า ต้องสนใจแน่…” เจียงชิงหรวนมองหลี่มู่ ความหวาดกลัวเต็มทั่วใบหน้า ดิ้นรนร้องขอชีวิต
“ให้ตายเถอะ นี่กล้าเลียนแบบบทพูดข้าเสียด้วย” หลี่มู่ดุขึ้น ยกมือ ตบฉาดลงไป
ก่อนหน้านี้เขาใช้บทพูดนี้ ยื้อเวลากับจักรพรรดิเซียนหมิงกวง ตอนนี้เจียงชิงหรวนหันมาใช้ไม้เดียวกับเขา
“เจ้าฟังข้าก่อน ข้า…” เจียงชิงหรวนยังคิดที่จะกล่อมหลี่มู่
ปึก
หลี่มู่ก็ไม่อยากจะพูดไร้สาระกับเขา ฟาดลงไปที่ ‘คนปลิ้นปล้อน’ จนสลบ ลงยันต์เต๋าไว้ในร่างของเขา ปิดผนึกพลังบําเพ็ญทั้งหมดเอาไว้ จากนั้นโยนไปให้กลุ่มเป่าสีดีดร้องทั้งสี่ดูแล เอ่ยต่อว่า “ไปเถอะ พวก เราออกจากที่นี่กันก่อน”
เขาไม่อยากจะอยู่ในสถานที่นี้อีกแล้ว
เพราะความรู้สึกบอกกับหลี่มู่ว่า สถานที่แห่งนี้ไม่เป็นมงคล จะต้อง มีอันตรายปรากฏขึ้นมาอีก
คนทั้งกลุ่มรีบร้อนเก็บกวาดสนามรบ จากนั้นพุ่งทะยานกลับไป ตามทางที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พวกของหลี่มู่ออกไปไม่ถึงชั่วหนึ่งถ้วยชา บนฟ้าของ ซากปรักหักพังเขาห้าองคุลี มีรอยแยกสีดําเส้นหนึ่งแหวกความว่าง เปล่าเปิดออกมา จากนั้นดวงตาข้างหนึ่ง ราวกับดวงตะวันที่จุดท้ายสุด แห่งฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่ปรากฏขึ้นในรอยแยก ได้จ้อง มองลงมายังซากปรักหักพังเขาห้าองคุลี
ดวงตาดวงนี้ใหญ่โตมโหฬาร ราวกับเป็นดวงดาวดวงหนึ่งที่ลอยอยู่ ก็มิปาน
“หมิงกวงตายแล้วหรือ? สิ่งที่นายท่านทิ้งไว้ก็ไม่เหลือแล้วด้วย… กาลเวลาอันยาวนานนี้ เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกันแน่?”
หลังจากที่กวาดตามองแล้ว ดวงตามโหฬารอันน่ากลัวก็ค่อยๆ ปิด ลง สลายหายไป
ด้านหลังของรอยแยกสีดําคือดาราสมุทรอันไร้ขอบเขต เพียงไม่ นานรอยแยกนี้ก็ได้หายตามไป
……
หนึ่งชั่วยามต่อมา
พวกของหลี่มู่เดินออกมาจากโลกใบเล็กแห่งต้นผลทารก มาถึง สวนผลไม้ชองวัดห้าแผ่นดิน
ในสวนผลไม้ มีเงาผู้คนมากมาย
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บําเพ็ญนอกพิภพ และมีบางส่วนที่เป็นจอม ยุทธ์จากโลกใบนี้
เมื่อเห็นพวกของหลี่มู่เดินออกมา สวนผลไม้ที่เอะอะอึกทึกได้เงียบ สงบลงอย่างฉับพลัน สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังร่างของหลี่มู่
“มีคนออกมาแล้วหรือ?”
“สถานการณ์ด้านในเป็นอย่างไร?”
“เจ้า…เจ้าคือหลี่มู่”
“คนอื่นๆ ล่ะ?”
หลังจากเงียบไปเพียงครู่ คําถามมากมายได้ดังขึ้นกลบทับพวก ของหลี่มู่ทันที
มีคนมองออกถึงตัวตนของหลี่มู่
“ไสหัวไป” หลี่มู่แสดงท่าทีป่าเถื่อน ไม่อยากจะสนใจคนพวกนี้นัก และไม่มีเวลาว่างมาตอบคําถามมากมายอีกด้วย ถึงอย่างไรคนเหล่านี้ที่ หวังดีจริงๆ ก็คงมีไม่เท่าไร เขาจึงลงมือไล่ไปทันที
ทั่วทั้งสวนผลไม้เสียงโอดครวญโหยหวนดังขึ้น ตัวเล็กตัวใหญ่ เกือบร้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้บําเพ็ญนอกพิภพหรือว่าจะเป็นจอมยุทธ์บน ดาวดวงนี้ ล้วนถูกหลี่มู่ตะเพิดออกไปจนหมด
รอบด้านสงบเงียบขึ้นมา
“เอ๋ คนพวกนี้มายืนออกันที่นี่เพราะอะไร? ทําไมถึงไม่เข้าไปใน โลกใบเล็กกัน?” หมิงเยวี่ยถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
ชิงเฟิงไม่พูดอะไร ชี้ไปทางต้นผลทารก
เมื่อทุกคนมองอย่างละเอียด ก็พบว่าใบไม้สีมรกตบนต้นผลทารก ได้หายไปหมดแล้ว
ทุกคนจึงเข้าใจขึ้นมา
คนที่จะเข้าไปในโลกของผลทารก ล้วนต้องใช้ใบไม้หนึ่งใบ แล้วผู้ บําเพ็ญที่เข้าไปตั้งมากมาย เดิมทีก็เป็นต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวอยู่แล้ว ใบไม้ ทั้งหมดจึงถูกเด็ดไปจนเกลี้ยง พวกที่มาถึงทีหลังจึงไม่สามารถเข้าไปได้
แต่ว่า คนที่มาถึงทีหลัง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งจากสํานักนอกพิภพ ก็คงไม่ได้มีฝีมือเกินกว่าดาบมารจ่างซุนฉางคง ภายใต้การถูกบีบกดจาก ‘ค่ายกลสูงสุดสยบมาร’ ล้วนไม่คนามือของหลี่มู่ทั้งสิ้น ไม่คุ้มค่าที่จะมา กังวลแต่อย่างใด
พวกของหลี่มู่เดินออกจากวัดห้าแผ่นดิน เดินออกไปยังใจกลาง ของสุสานเทพ
“โฮ่ง เจ้าได้กลิ่นหอมผลไม้จางๆ ไหม?”
ฮัสกี้จู่ๆ ถามขึ้นอย่างสงสัยกับหมิงเยวี่ยที่ขี่อยู่ด้านบน
หมิงเยวี่ยน้อยสั่นศีรษะ ตอบว่า “ตอนนี้ข้าแค่อยากกินเนื้อ…เจ้านี่ ไม่ได้มีน�าจิตน�าใจเลย ในเมื่อมังกรอร่อยเสียขนาดนั้น ทําไมไม่เก็บมาไว้ ให้ข้าบ้าง แต่กลับกินเองคนเดียวหมดเลย?”
“ข้าถูกขังอยู่ในนั้น ออกมาไม่ได้ หิวจะแย่อยู่แล้ว แล้วจะเหลือไว้ ให้เจ้าได้อย่างไรกัน” ฮัสกี้ขาดความเชื่อมั่น “เจ้าดูสิ ข้าผอมลงตั้งขนาด นี้” มันพูดไปพลางสะบัดก้นที่อวบอ้วนขึ้นมาอย่างชัดเจน
คนทั้งกลุ่มค่อยๆ เดินจากไป
ใต้ต้นไม้ผลทารกที่กลายเป็นหิน ศีรษะเล็กกลมมนศีรษะหนึ่งได้ผุด ขึ้นมาจากในดิน
เป็นเด็กน้อยตัวขาวนุ่มคนหนึ่ง คิ้วดวงตาชัดเจน ดูเหมือนอายุยัง ไม่ครบเดือน สายตาจับจ้องไปที่แผ่นหลังของพวกหลี่มู่ ใบหน้าเล็กทั้ง หวาดผวา ทั้งคาดหวัง ท้ายสุดจึงกัดฟันเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ไล่กวดพวกของหลี่มู่ตามผิวดินไป
นี่คือผลทารกที่รังเกียจหวางซืออวี่จนหนีหายไปในดินผลนั้น นั่นเอง
พริบตาที่มันวิ่งออกมาจากสวนผลไม้ ต้นผลทารกอันใหญ่โต ได้ แปรเปลี่ยนเป็นฝุ่นลอยในพริบตา สลายหายไปจากฟ้าดิน เมื่อเป็น เช่นนี้ โลกใบน้อยทั้งหมดในต้นผลทารกจึงได้สูญสลายไปด้วยเช่นกัน
………………………………………….
[1] อะไรนะ?…ต้าชิงล่มสลายแล้วหรือ? เป็นคําอุทานเปรียบเปรย กับสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อ ในประโยคหมายถึงไม่อยากเชื่อเลยว่ามังกรจะ ถูกกินไปแล้ว เหมือนที่คนจีนโบราณไม่อยากเชื่อว่าราชวงศ์ชิงล่มสลาย ไปแล้