จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 474 ดาบรับใช้แห่งเรือนดาบ
เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบแปด
ห่างจากวันที่กําหนดให้ท่านหญิงหวนจูต้องออกเรือนสู่ตระกูล หนานกงอีกสามวัน
ในเมืองใหม่ซ่งเหนือที่สร้างขึ้นห่างลงไปด้านใต้หนึ่งร้อยลี้ของเมือง หลินอันในอดีต เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขึ้น ซ่งเหนือที่เพิ่งจะสงบ ลงได้ไม่ถึงสองปีกลายเป็นเหมือนถูกน�าร้อนราดขึ้นมาจากการมาเยือน เมืองใหม่ของหนานกงฉุนเหลียงผู้นําตระกูลหนางกง ขั้วอํานาจทุกฝ่าย ขุนนางน้อยใหญ่ ล้วนคิดอยากจะสัมผัสกับเจ้าผู้ครองคนใหม่คนนี้และ เข้าหาด้วยเจตนาดี
ยอดฝีมือของตระกูลหนานกง ได้ตั้งหลักปักฐานที่พระราชวัง โดยตรง
ผู้นําตระกูลหนานกงฉุนเหลียงขึ้นนั่งเสมอภาคกับจักรพรรดิซ่ง เหนือด้วยท่าทีโอ้อวด
คนในราชสํานักซ่งเหนือทุกคนล้วนโมโหแต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ตระกูลหนานกงในปัจจุบันพิชิตอยู่เหนืออํานาจราชวงศ์ไปแล้ว
ส่วนยอดคนอันดับหนึ่งหนานกงอวี่กลับไม่ปรากฏกายออกมา
“เทพสงครามของตระกูลหนานกงเรา กําลังเพาะบ่มจิตกระบี่เพื่อ เตรียมตัวออกสู่ทางช้างเผือก แน่นอนว่าก่อนที่จะออกจากโลกใบนี้ เขา ต้องจัดการอุปสรรคบางอย่างเสียก่อน”
คนของตระกูลหนานกงประกาศต่อภายนอกอย่างหยิ่งยโส
คนทุกคนล้วนเข้าใจ ว่า ‘อุปสรรค’ ที่พูดมานั่นหมายถึงใคร
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คนทุกคนล้วนรุ้สึกว่าในอากาศเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตึง เครียด
…
จวนปาเสียนอ๋อง
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าหนีไปเถอะ” ปาเสียนอ๋องกําลังเตือนหวางซืออวี่
ก่อนหน้านี้เขาได้หน้ามืดตามัวไปช่วงหนึ่งเพราะเรื่องของหลี่มู่ ใช้ ลูกสาวของตนเองให้เป็นประโยชน์ ในใจรู้สึกละอาย ตอนนี้จึงคิดอยาก ให้ลูกสาวบุญธรรมได้ออกไปอย่างปลอดภัย ต่อให้ต้องงัดกับทั้งราชวงศ์
ซ่งเหนือเขาก็ไม่ยี่หระ ซ่งเหนือในปัจจุบันนี้มีเพียงแต่ชื่อเท่านั้น เขาหู ตาสว่างแล้ว
หวางซืออวี่อยู่ในชุดราชวังสีขาว นั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้า สางผม ตัวเองด้วยท่าทีอ่อนช้อย
เวลาสองปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้บน ตัวของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งซ่งเหนือเลย ซ�ายังยิ่งเปล่งประกายแพรว พราวมากกว่าเดิมเสียอีก สาวงามอายุสิบแปดปี นับเป็นจุดสูงสุดของ ช่วงเวลาความงามในชีวิต โดยเฉพาะหลังจากกลับมาจากสุสานเทพ เมื่อสองปีก่อนหน้า บนตัวหวางซืออวี่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่อธิบาย ออกมาไม่ได้
“ท่านพ่อบุญธรรม วางใจเถิด” หวางซืออวี่หันหน้ากลับมายิ้ม เอ่ย ต่อว่า “เรื่องนี้ ท่านไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ข้ามีความคิดเป็นของตนเอง แล้ว”
ระหว่างที่พูด ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าลอยเข้ามา
คนใช้ในบ้านรีบร้อนเข้ามาส่งข่าว ว่าหนานกงฉุนเหลียงผู้นํา ตระกูลหนานกงเข้ามาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง โดยไม่รอการแจ้งทราบ แต่บุกเข้ามาด้านในจวนอ๋อง ตรงมายังสวนดอกไม้ด้านหลังที่หวางซื ออวี่กําลังบําเพ็ญเข้าฌาน
“อา เป็นยอดสาวงามจริงๆ เสียด้วย” หนานกงฉุนเหลียงดูแล้ว เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่า ใบหน้าถือว่าหล่อเหลาอยู่ เมื่อเห็น หวางซืออวี่เป็นครั้งแรก ใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงตัณหาราคะ “สวยงาม กว่ารูปวาดเสียหนึ่งพันเท่า ไม่สิ หนึ่งหมื่นเท่า”
หวางซืออวี่มองผู้นําตระกูลโบราณที่เย่อหยิ่งไม่เห็นใครในสายตา คนนี้ ถอนใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า “มีชีวิตอยู่มันไม่ดีหรือ?”
หนานกงฉุนเหลียงตะลึงเล็กน้อย หัวเราะร่าขึ้นมาทันที
“เจ้าจะบอกว่า หลี่มู่คนนั้นจะมาช่วยเหลือเจ้าหรือ? ฮ่ะๆ สาวน้อย คนงาม วันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานอีกแล้ว หลี่มู่ตอนนี้เป็นเพียงนกที่ หวาดกลัวลูกธนู พึ่งพาไม่ได้อีกต่อไป ในของเจ้ายังมีเขาอยู่เช่นนั้น หรือ? เหอๆ ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรสิ่งที่ข้าอยากได้ก็เป็นเพียงร่างกายของ เจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ใจของเจ้า การครอบครองหญิงสาวที่มีเจ้าของอยู่แล้ว สิ ถึงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดของผู้ชายบนโลกใบนี้”
เขามีท่าทีที่ไม่ปิดบังการใช้อํานาจระรานแต่อย่างใด
หวางซืออวี่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ผู้นําตระกูลหนานกง ที่แต่ก็เป็น พวกเศรษฐีใหม่ไร้มารยาทเท่านั้น สองปีก่อนหน้า ตระกูลหนานกงของ ท่านตัวสั่นงันงกอยู่ต่อหน้าหลี่มู่ แค่สบตาก็ยังไม่กล้าจะมองเขา มา
ตอนนี้กลับกําเริบเสิบสานเกะกะระราน จงรู้เอาไว้ ก่อกรรมมากกรรม จะทําจนตัวตาย ฉลาดมากมักจะถูกความฉลาดทําให้หลงผิด”
ท่าทีจิตใจการพูดของนาง ราวกับเทพธิดาเก้าชั้นฟ้าจ้องมองลงมา ที่คนบ้านนอกคอกนาไร้มารยาทอย่างเหยียดหยามก็มิปาน
หนานกงฉุนเหลียงดูแลตระกูลหนานกงมาเกือบร้อยปี ถือเป็นคนที่ มีฐานะใหญ่โต ทว่าไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่ถูกหญิงสาววัยรุ่นที่ไม่มีวร ยุทธ์ใดๆ แม้แต่น้อยจ้องมอง ในใจกลับเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่ รู้ที่มาได้
“เหอๆ ดี ดีมาก หวังว่าในคืนส่งตัว เจ้าจะยังพูดกับข้าด้วยท่าที เช่นนี้ได้อยู่”
หนานกงฉุนเหลียงหรี่ตามอง หัวเราะเย็นชาขึ้นมา
ก็แค่หญิงสาวคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้งามอีกสักเพียงไหน ก็เป็นเพียง แค่สิ่งที่ต้องคล้อยตามผู้ชายอยู่ดี
……
สองวันต่อมา
บนยอดเมฆ แสงจันทร์สว่าง
เรือเหาะอันสวยหรู ลอยอยู่ท่ามกลางเมฆขาว
“พี่ ทําไมจึงต้องอ้อมค้อมเป็นเขาโค้งเช่นนี้ สู้เข้าไปสังหารเจ้าคน ขลาดหลี่มู่ในเมืองขาวพิสุทธิ์เลยไม่ดีกว่าหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดหรูหราคนหนึ่ง หน้าตาละม้ายคล้ายกับหนานกงอวี่ ยืนอยู่บนดาดฟ้าหัวเรือ ในดวงตาเปล่งประกายด้วยความเทิดทูนชื่นชม จ้องมองหนานกงอวี่ในชุดเขียวที่ยืนตระหง่านอยู่บนหัวเรือ
หนานกงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองน้องชายตนเองผาดหนึ่งจากนั้น เอ่ยขึ้นว่า “ในเมืองขาวพิสุทธิ์มีค่ายกลวิถีสวรรค์อยู่ ข้ายังมองไม่ออก จะบุกเข้าไปอย่างสะเพร่าไม่รัดกุมไม่ได้ หลี่มู่คนนี้จะดูถูกไม่ได้โดย เด็ดขาด”
“แต่ว่าพี่ชาย ท่านก็เป็นถึงขั้นทะลวงสวรรค์แล้ว เป็นคนไร้เทียม ทานแห่งใต้หล้าไปแล้ว…”
“ไร้เทียมทานในใต้หล้าไม่ใช่สิ่งที่พูดออกมาจากลมปาก แต่เป็น การใช้ดาบใช้กระบี่ฟาดฟันออกมา ขั้นทะลวงสวรรค์ก็ไม่ใช่เทพเจ้า” หนานกงอวี่สีหน้าเงียบสงบ เอ่ยต่อว่า “น้องอวิ๋น หากยังไม่ประมือด้วย ห้ามดูถูกอีกฝ่ายโดยเด็กขาด ข้ากับหลี่มู่ก็ไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไร นัก ครั้งนี้ที่บีบเขาให้ออกมาจากเขาและรับมือกับเขา ก็แค่คิดอยากจะ จัดการปัจจัยที่ยังไม่มั่นคงให้กับตระกูลหนานกงของพวกเรา ก่อนที่ข้า
จะออกจากโลกนี้ไปสู่แดนเซียนเท่านั้น ขอแค่หลี่มู่ตายไป ตระกูลหนาน กงจึงจะสามารถรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งได้”
หนานกงอวิ๋นจิ๊ปากอย่างไม่ศรัทธา
เขาตอนนี้อยู่ในท่าทีเกะกะระรานไม่เห็นใครในสายตา สองผู้ แข็งแกร่งขั้นทะลวงสวรรค์ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวมีเพียงสองคน จิน ชื่อต้าเผิงเหนี่ยวก็พ่ายแพ้ให้แก่พี่ชายตนเองไปแล้ว หลี่มู่คนนั้นจะสัก แค่ไหนกัน ทะลวงสวรรค์หรือก็ไม่ใช่ ถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี
“พี่ชาย หลังจากท่านสังหารหลี่มู่ไปแล้ว ยกเมืองขาวพิสุทธิ์ให้ข้า นะ” เขาลิงโลดขึ้นอีกครั้ง
หนานกงอวี่มองเขาอย่างพูดไม่ออก ทว่ายังคงพยักหน้าตอบกลับ “ได้”
ในฐานะที่เป็นผู้นําตระกูลหนานกงฉุนเหลียงที่เจ้าชู้มากภรรยา มี ลูกหลานมากมาย แต่มีเพียงหนานกงอวิ๋นคนนี้เท่านั้น ที่เป็นน้องชาย ของหนานกงอวี่ที่มีบิดาและมารดาคนเดียวกัน ดังนั้นหนานกงอวี่ผู้พี่ จึงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่บริสุทธิ์ ความรู้สึกของพี่น้องสองคน เป็นไปด้วยดีตลอดมา
แต่ไหนแต่ไร ล้วนคอยดูแลและตามใจหนานกงอวิ๋น
น่าเสียดายที่หนานกงอวิ๋นมีนิสัยเป็นลูกผู้ดีมีเงิน ไม่มี ความก้าวหน้า เป็นเพียงแค่โคลนที่ติดอยู่ตามกําแพง
“พี่ชาย ถ้าพรุ่งนี้หลี่มู่ไม่ปรากฏตัวล่ะ จะทําอย่างไรกัน?” หนาน กงอวิ๋นถามขึ้นอีก
หนานกงอวี่หัวเราะตอบว่า “เขาจะปรากฏตัวแน่นอน”
เขาสามารถยืนยันได้ว่าหลี่มู่จะต้องปรากฏตัว ในฐานะที่เป็นคู่ต่อสู้ เขาให้ความสําคัญกับหลี่มู่มาก นั่นคือชายหนุ่มที่หยิ่งยโส ต่อให้ต้องรบ จนตัวตายก็ไม่มีทางที่จะหดหัว
เขาประเมินหลี่มู่ไว้สูงมาก สูงเสียยิ่งกว่าจินชื่อต้าเผิงเหนี่ยว
นี่คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากเขาทะลวงเข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ และเป็นสาเหตุที่ทําให้เขาต้องเตรียมตัวอยู่นาน กระทั่งต้องเลือกจิน ชื่อต้าเผิงเหนี่ยวมาเป็นคู่ต่อสู้การลับกระบี่ จากนั้นจึงค่อยเข้าไปรับมือ กับหลี่มู่
พรุ่งนี้จะต้องเกิดศึกใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
หนานกงอวี่เฝ้ารอศึกนี้อย่างใจจดใจจ่อ มีความมั่นใจเป็นอย่าง มาก
ดังนั้นคืนนี้เขาจึงพาน้องชายไม่ได้เรื่องคนนี้ออกมาเที่ยวเล่นตอน กลางคืน พูดคุยสัพเพเหระเพื่อหย่อนใจ ปรับสภาพสภาวะ
ในชีวิตของคนเรา จะมีสักกี่ครั้งสามารถยืนอยู่บนความรุ่งโรจน์ สูงสุดได้?
เมื่อออกจากโลกใบนี้ เขาก็จะเหยียบเข้าสู่เส้นทางแห่งเซียน ในทางช้างเผือกทุกอย่างล้วนต้องเริ่มใหม่จากหนึ่ง ศึกครั้งนี้ เป็นเพียง แค่จุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ในเส้นทางเซียนของเขาเท่านั้น
เรือเหาะลอยอยู่ในชั้นเมฆยามค�าคืน
เพียงไม่นานรุ่งอรุณก็จะมาถึง
จู่ๆ สีหน้าของหนานกงอวี่เปลี่ยนไป จ้องมองไปยังความว่างเปล่า เบื้องหน้า
“พี่ชาย มีอะไรหรือ?” หนานกงอวิ๋นถามขึ้น
ตอนนี้เอง เสียงเอ้อหูอันแปลกประหลาดและรื่นหูเสียงหนึ่ง ราว กับก้าวข้ามผ่านความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ข้ามผ่านพันเขาหมื่นทะเล เข้ามาอย่างไรอย่างนั้น ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ราวกับเสียง ครวญเสี่ยงกู่ร้อง ราวกับความแค้นเคืองเสียงสะอื้น
พริบตาที่เสียงเอ้อหูลอยเข้ามา คนทั้งหมดบนเรือเหาะ จิตใจสั่น หวั่นขึ้นอย่างฉับพลัน เหมือนกับจิตใจถูกคนกระทุ้งจนเกิดระลอกเป็น ชั้นๆ
“ใครกัน?”
หนานกงอวี่แผ่ปราณออกทั่วร่าง ปกป้องเรือเหาะทั้งลําเอาไว้ สี หน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
เสียงเอ้อหูนี้ทําเอาใจของเขาเกิดแรงกดดันขึ้นมา
ท่วงทํานองประหลาดยังคงบรรเลงต่อ
และได้เห็นว่าชั้นเมฆขาวเบื้องหน้าสลายไปอย่างรวดเร็วราวกับ กองหิมะบนเตาทองแดง คนบนเรือเหาะรู้สึกเหมือนตาลาย ร่างผอมสูง เหมือนกับด้ามไม้ไผ่สวมเสื้อผ้าร่างหนึ่งค่อยๆ เดินลอยเข้ามา
“อาดูรจนจิตใจแทบขาดสะบั้น จักหาคนที่รู้ใจเช่นนี้ได้จากที่ใด อีก”
ชายผอมสูงเอ่ยปาก ลอยกลางเวหา ชายผ้าปลิวสะบัด ราวกับเป็น เซียนแห่งสายลม
“เรือเหาะแห่งตระกูลหนานกงอยู่ที่นี่ สุนัขป่าจากที่ใดกันจึงได้กล้า เข้ามาทําตัวเหมือนภูตเหมือนผีเช่นนี้?” หนานกงอวิ๋นทนไม่ไหว เอ่ย ปากด่าขึ้นก่อน
หนานกงอวี่ร้องในใจว่าแย่แล้ว คิดจะห้ามก็ไม่ทัน
“เหอๆ พวกแมลงที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต�า ตระกูลหนานกงมัน ยอดเยี่ยมนักหรือไร?” ชายผมสูงใบหน้ายาวมีรอยยิ้มจิตสังหารที่เย็น ชาปรากฏให้เห็น สายเอ้อหูสั่นเบาๆ เสียงอันน่าอึดอัดปล่อยออกมา
หนานกงอวิ๋นรู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเอง ถูกสั่นสะเทือนอย่าง รุนแรงในพริบตา เหมือนกับจะสั่นสะเทือนจนทะลุช่องอกออกมา ความรู้สึกอันน่ากลัวของการหยุดหายใจถูกส่งเข้ามา ความรู้สึกแห่ง ความตายรุกคืบ หากไม่ใช่เพราะหนานกงอวี่ที่อยู่ข้างๆใช้มือกดเอา ส่วนหัวใจของเขาไว้ น่ากลัวว่าหัวใจของเขาคงระเบิดวิญญาณแตก สลายตายไปแล้วเป็นแน่
เขาเหมือนถูกดึงตัวขึ้นจากน�า ทั่วร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ อกสั่นขวัญ แขวนจากนั้นจึงคํารามขึ้นอย่างเดือดดาล “เจ้า…กล้าลงมือกับข้า เจ้า ….พี่ชาย สังหารมันให้ที ข้าจะให้มันไม่ตายดี”
หนานกงอวี่ยืนขวางอยู่ด้านหน้าเขา สีหน้าเคร่งขรึม ไอสังหาร ไหลวนอยู่ในดวงตา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านคือใครกัน?”
เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าบนยุทธจักรมีคนเช่นนี้อยู่ พลังแข็งแกร่ง จนทําให้เขารู้สึกถึงแรงกดดัน
“แค่ดาบรับใช้ตัวเล็กๆ จากเรือนดาบแห่งเมืองขาวพิสุทธิ์เท่านั้น” ชายร่างไม้ไผ่ผอมสูงยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มเหมือนคนชั่วที่เต็มไปด้วย เจตนาไม่ดี เอ่ยต่อว่า “นายท่านของข้าได้ยินว่าตระกูลหนานกงทําลาย พันธนาการ และจะทําสงครามปราบปรามในใต้หล้า จึงได้สั่งข้าให้มา ส่งจิตดาบหนึ่งดาบให้เจ้าได้ชม และให้เจ้าได้รู้ว่า ฟ้านั้นสูงเพียงไหน และแผ่นดินมันต�าเพียงใด”
เรือนดาบแห่งเมืองขาวพิสุทธิ์?
หลี่มู่?
หนานกงอวี่มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที
สิ่งที่ทําเขาประหลาดใจก็คือ ยอดฝีมือเช่นนี้ ระดับเก้ายอดก็ยังสู้ ไม่ได้ ทว่ากลับเป็นเพียงดาบรับใช้ของเรือนดาบแห่งเมืองขาวพิสุทธิ์ เท่านั้นหรือ?
ตอนนี้เอง แสงดาบวูบหนึ่ง พุ่งออกมาจากตราหยกในมือชายร่าง ไม้ไผ่ผอมสูง
แสงดาบสว่างราวหิมะ ประดุจเก้าชั้นฟ้าทางช้างเผือกแห่งจักรวาล ฟาดฟันลงมายังโลกมนุษย์ ตรงเข้ามายังเรือเหาะ
ที่หัวเรือ กระบี่ยาวกลางหลังของหนานกงอวี่ส่งเสียงขึ้น ระเบิด แสงเทพแวววับจับตา
เขาพลิกมือชักกระบี่ยาว ราวกับควบคุมฟ้าดินเอาไว้ในมือ
ร่างไหววูบ หนานกงอวี่ได้ขึ้นมาถึงกลางอากาศ ทั่วร่างกลิ่นอายจิต กระบี่อันร้ายกาจไหลเวียน เจิดจ้าแสบตา บดบังแสงอาทิตย์เช้าตรู่ ราว กับเทพยดาก็มิปาน หัวเราะร่าเอ่ยขึ้นว่า “เพียงแค่จิตดาบวูบเดียว ก็คิด จะรบกับข้าหรือ? หลี่มู่จะหลงตัวเองมากเกินไปแล้ว ก็ดี วันนี้ข้าจะ สังหารดาบรับใช้ของเขาคนหนึ่ง เพื่อแสดงให้เห็นความน่าเกรงขาม แห่งขั้นทะลวงสวรรค์”