จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 477 คนที่มาจากภูเขา
ตระกูลหนานกงก็จบสิ้นในเวลาอันรวดเร็วจริงๆ
หลังจากนั้นหนึ่งวัน เหล่าขั้วอํานาจ สํานักและจักรวรรดิที่พวกเขา ไปมีเรื่องไว้ กระทั่งยังไม่ทันจะได้รุมยําสุนัขตกน�า สํานักของตระกูล หนานกงก็ได้ถูกคนลึกลับที่ทั่วร่างห่อหุ้มด้วยแสงสีม่วงทั้งตัวคนหนึ่ง โจมตีจนย่อยยับ
แสงกระบี่ส่องประกาย เลือดสาดซ่านกระเซ็น
เข่นฆ่าสังหารตลอดทางอย่างไม่หยุด นอกเรือนในเรือน ทุกที่ล้วน เต็มไปด้วยเสียงน่าเวทนา
ทุกสิ่งของตระกูลพันปี ค่ายกลมากมายถูกกระตุ้น ศิษย์ของตระกูล หนานกงนับไม่ถ้วนบุกตลุยและตั้งรับเหมือนกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่เสียดายชีวิต ก็ยังไม่สามารถต้านทานร่างเงาสูงโปร่งที่ล้อมไปด้วย แสงสีม่วงทั่วร่างคนนี้
เปลวเพลิงเผาไหม้
เปลวไฟพุ่งขึ้นฟ้า กลืนเอาครอบครัวอํานาจราชศักดิ์พันปีนี้ไป ทั้งหมด
“ใครกัน? เจ้าเป็นใคร?”
ท้ายสุดเหลือเพียงหนานกงฉุนเหลียงคนเดียว ผมเพ้า กระเซอะกระเซิง ทั่วร่างเต็มไปบาดแผลส่งเสียงคําราม ค�ายันร่างด้วย กระบี่ที่หักราวกับสัตว์ป่าที่สู้สุดใจ
เขามองร่างเงาสีม่วงในเปลวไฟที่กําลังบีบเข้ามา ทั้งหวาดกลัวทั้ง เดือดดาล
เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น คนทั้งหมดตายเรียบ ทั้งระดับบนและ ล่างของตระกูลหนานกงล้วนถูกสังหารจนสิ้น ไม่เหลือแม้สุนัขหรือไก่ แต่กลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย พลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่าย วิธีการ โหดเหี้ยมเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง
อีกฝ่ายไม่พูดจา แสงม่วงบนร่างสว่างขึ้นเล็กน้อย
“เป็นเจ้า?” ม่านตาหนานกงฉุนเหลียงหดฉับพลัน มองเห็นใบหน้า ของอีกฝ่ายภายใต้แสงสีม่วง เผยให้เห็นสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
แสงกระบี่สายหนึ่งสว่างวาบ
ศีรษะของผู้นําตระกูลพันปีคนนี้ลอยคว้างขึ้น
พริบตาสุดท้ายของชีวิต เขาไม่กล้าที่จะเชื่อว่าฆาตกรที่สังหาร ตระกูลหนานกงจะเป็นคนผู้นี้
มีชีวิตอยู่นั้นดีกว่าตั้งมากมาย น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสเลือกอีก ……
หลี่มู่ยืนอยู่ด้านหน้าหน้าผาหลังเรือนดาบ ทอดสายตามองออกไป ยังเขาขาวพิสุทธิ์ที่เมฆหมอกล้อมรอบ ยืดร่างตรงเหมือนอารมณ์ ชุด ขาวบนร่างโบกลมสะบัด มีปราณแห่งการหลุดพ้นในตนเองอยู่
เวลาสองปี เขาปิดด่านฝึกดาบ วิถียุทธ์รุดหน้าอย่างมาก รูปร่าง ภายนอกก็เติบโตเปลี่ยนแปลง
เขาสูงขึ้นมาเป็นหกฉื่อกว่าแล้ว ยืดขึ้นมาท่อนยาว ร่างกายสูงโปร่ง ไหล่กว้างเอวแคบ รูปร่างสมบูรณ์แบบ ทุกตารางชุ่นเทียบเท่าได้กับ สัดส่วนทองคํา ผมสั้นในวันวานก็ยาวออก ห้อยลงมาถึงกลางหลัง ใช้ผ้า สีขาวรวบเอาไว้ ทุกเส้นล้วนมีแสงเล็กๆ ส่องประกายเหมือนกับน�าตกสี ดํา
การฝึกบําเพ็ญในสองปี พลังห้าธาตุของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิ อมตะ’ ทั้งหมดฝึกไปถึงระดับสมบูรณ์แล้ว
ระบบวิถียุทธ์ของโลกใบนี้ เมื่อฝึกฝนสามดอกไม้รวบยอดถึงขั้น สูงสุดคือฟ้าประทาน ฝึกห้าธาตุของอวัยวะภายในได้ก็จะเป็นเหนือ มนุษย์
และด้านบนของเหนือมนุษย์ ก็คือเทวะ
เทวะก็เป็นการฝึกฝนปราณแท้เช่นกัน เมื่อสามดอกไม้รวมยอด สมบูรณ์ ห้าธาตุรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว ก็สามารถเข้าสู่ขั้นเทวะ
หลี่มู่หนึ่งปีครึ่งก่อนหน้า ได้เชื่อมโยงกับ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิ อมตะ’ จนเข้าสู่ขั้นเทวะ
และปัจจุบัน เขาฝึกบําเพ็ญอยู่ในขั้นมหาเทวะแล้ว
ก่อนหน้า ตอนที่เขาอยู่ขั้นฟ้าประทาน สามารถข้ามขั้นทวนสังหาร เทวะได้
หลี่มู่ตอนนี้ที่เข้าสู่ขั้นมหาเทวะ ห้าธาตุในร่างกายเชื่อมโยงกัน จน กลายเป็นปราณบริสุทธิ์ อยู่ในระดับที่สามารถก้มลงมองผู้แข็งแกร่งขั้น ทะลวงสวรรค์ได้ทุกคนแล้ว มีเพียงผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบในทาง ช้างเผือก จึงจะเกิดแรงกดดันขึ้นบ้าง ส่วนเรื่องแพ้หรือชนะ จําเป็นต้อง ได้สู้กันเสียก่อนถึงจะรู้
วันก่อน เขากรอกเอาปราณดาบลงไปในตราหยก สั่งให้กิ่งไผ่ผอม สูงไปส่งต่อหน้าหนานกงอวี่ มีความหมายเพื่อยืนยันระดับความซาบซึ้ง ของตนเองตลอดสองปีที่ผ่านมา
แต่หนานกงอวี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นขั้นทะลวงสวรรค์อันดับหนึ่งแห่ง แผ่นดินใหญ่เสินโจว ก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อแสงดาบนี้ ถูกสังหาร ไปในพริบตา
ผลลัพธ์ที่ออกมาทําเอาหลี่มู่ผิดหวังอย่างมาก
บนโลกใบนี้ ไม่มีใครที่จะเป็นคู่มือเขาได้อีกแล้ว
หลายวันมานี้ หลังจากที่เขาออกจากด่าน ได้เริ่มพิจารณาถึง ปัญหาบางอย่าง หยิบเอาตําราลับการบําเพ็ญของสํานักนอกพิภพที่ชิง เฟิงจัดเรียงเอาไว้เป็นระบบมาอ่านเสียรอบหนึ่ง ก็พบว่าการบําเพ็ญวร ยุทธ์ พอถึงท้ายที่สุดแล้ว แม้จะผ่านคนละเส้นทางแต่ก็มาบรรจบที่ เดียวกัน
วิถียุทธ์ดาวดวงนี้ฝึกฝนปราณแท้ เมื่อไปถึงขั้นมหาเทวะก็จะฝึก เอาปราณบริสุทธิ์ออกมา ส่วนเหล่าผู้บําเพ็ญแห่งทางช้างเผือกนอก พิภพเน้นที่การกลั่นพลังปราณสิบสองระดับ ท้ายสุดก็จะฝึกเอาปราณ บริสุทธิ์ออกมาเช่นกัน
‘วิชาก่อนกําเนิด’ ของซินแสเฒ่าเป็นวิธีการหายใจ ก็เป็นการกลั่น ปราณเช่นกัน
ปราณ บ่อเกิดของพลังทั้งหมด
ปัจจุบัน หลี่มู่ได้ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกําเนิด’ จนถึงขั้นที่สี่ ปราณ บริสุทธิ์นั้นอยู่ภายในร่างกาย ไม่ได้ไหลเวียนตามวิชาก่อนกําเนิดอีกแล้ว คอยบํารุงกายเนื้อ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ก็พัฒนาไปอีกขั้น ฝึกฝน ‘สะบั้น พันดารา’ กระบวนท่าที่เจ็ดจนสําเร็จ ความแข็งแกร่งของกายเนื้อถือ เป็นที่สุดของโลกใบนี้แล้ว
“ได้เวลาย�าเข้าสู่ทางช้างเผือกเสียที”
“ซินแสเฒ่าเคยบอกไว้ ให้ข้าย�าเข้าสู่ทางช้างเผือกย้อนกลับไปดาว โลกภายในระยะเวลายี่สิบปี ก็จะสามารถช่วยเหลือโชคชะตาของดาว โลกไว้ได้ แต่ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปเพียงสี่ปีครึ่งเท่านั้น”
หลี่มู่พึงพอใจอย่างมากกับความก้าวหน้านี้
ตอนที่เพิ่งมาถึงดาวดวงนี้ หลี่มู่เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยวัยสิบสี่ปีคน หนึ่ง แต่ตอนนี้เขาใกล้จะอายุสิบเก้าแล้ว เวลาผ่านไปถึงสี่ปี การ เปลี่ยนแปลงของตัวเขานั้นอยู่ในระดับพลิกฟ้าคว�าแผ่นดินเลยทีเดียว
หลังจากย�าเข้าสู่ทางช้างเผือก จะแก้ไขโชคชะตาดาวโลกอย่างไร? จะกลับไปที่ดาวโลกอย่างไร?
นี่คือปัญหาที่หลี่มู่กําลังพิจารณา
ยังดีที่เขาก็ไม่ได้คลําหาด้วยสองตาที่มืดบอด
พวกสิ่งของติดตัวของเหล่าผู้บําเพ็ญนอกพิภพที่ถูกหลี่มู่สังหารใน สุสานเทพนั้น นอกจากทรัพยากร สมบัติและตําราลับการบําเพ็ญแล้ว ยังมีพวกเอกสารกับปูมประวัติศาสตร์อีกมากมาย ที่อธิบายถึงทาง ช้างเผือกนอกพิภพ ซึ่งอย่างน้อยก็เรื่องการวางเค้าโครงขั้วอํานาจและ การจัดแบ่งของดาราจักรเทพวีรชน ได้อธิบายเอาไว้ค่อนข้างชัดเจน
จากการรวมรวมเอกสารและจัดเรียงใหม่ของชิงเฟิง เพียงอ่านก็ เข้าใจ
ในจักรวาลทางช้างเผือก ใหญ่ที่สุดคือดาราจักร หลังจากนั้นจะยึด เอาตามตําแหน่งและเขตที่แตกต่างกัน ดาราจักรยังสามารถแบ่งเป็น ดินแดนดารา ทุกดินแดนดารากินอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไป ด้วยดวงดารามากมาย และในดินแดนดาราขนาดใหญ่ ยังสามารถแบ่ง ออกเป็นเขตดาราที่แตกต่างกันอีก ในเขตดาราก็ยังมีดวงดาวอีกนับ หมื่นอยู่
อย่างเช่นเขตดาราเทพวีรชนที่ดวงดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจวอยู่ ก็ เป็นเขตดาราหนึ่งในดินแดนดาราจื่อเวย มีดวงดาวทั้งหมดสามพันหนึ่ง ร้อยดวง อาณาบริเวณกว้างขวาง คนธรรมดาไม่สามารถจินตนาการไป ได้ถึง
ขั้วอํานาจสํานักในเขตดาราเทพวีรชน มีอยู่นับร้อยทั้งเล็กและ ใหญ่
สํานักใหญ่บางส่วนในนั้น มักจะครอบครองดวงดาวหลายดวง ควบคุมปกครองชีวิตมากมาย ขั้วอํานาจเข้มแข็ง เนื้อหาลึกล�า พลังแฝง เพียงพอ ไม่ใช่สิ่งที่ขั้วอํานาจใดๆ ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวจะไป เทียบเคียงได้
แน่นอน ดวงดาวนับพันในเขตดาราเทพวีรชน ก็ไม่ใช่ว่าบนดาวทุก ดวงจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีบางส่วนเป็นดาวที่ตายแล้ว ดาวขยะหรือ ดาวเหมืองแร่ ปราณแห่งความตายคุกรุ่น กฎเกณฑ์วิถีสวรรค์ไม่เหมาะ กับการคงอยู่ของสิ่งมีชีวิต มีเพียงเหล่าผู้บําเพ็ญที่พลังสูงเกินหยั่ง จึงจะ อาศัยอยู่บนดวงดาวเหล่านั้นได้
และผู้บําเพ็ญที่อยู่ต�ากว่าการกลั่นพลังปราณสิบสองระดับ ไม่ถือ ว่าอยู่ในทําเนียบ กระทั่งขั้นแมลงก็ยังไม่ใช่ ทําได้เพียงบําเพ็ญอยู่ใน ดาวแม่หรือหยิบยืมค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างดาว ไปยังดวงดาวอื่น แทน
ดวงดาวก็ยังมีการแบ่งระดับ
พลังวิญญาณของดวงดาวระดับหนึ่งมีปริมาณที่เพียงพอ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีปัจจัยการบําเพ็ญยอดเยี่ยมที่สุด ส่วนดวงดาว ระดับเก้าจัดอยู่ต�าที่สุด
สํานักใหญ่อันดับหนึ่งเขตดาราเทพวีรชนอย่างสํานักมารฟ้า ได้ ครอบครองดวงดาวระดับหนึ่งอยู่สามดวง ส่วนสํานักกําเนิดฟ้ากลับมี เพียงดวงดาวระดับสองดวงเดียวเป็นดาวแม่ เทียบกันแล้วถือว่าห่างชั้น อย่างมาก
ดาวดวงนี้ที่หลี่มู่อยู่ ยังเทียบไม่ได้กระทั่งดวงดาวระดับเก้า เพียง แค่ดีกว่าดาวขยะขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น จัดเป็นดวงดาวครึ่งหนึ่งของ ระดับเก้ายังพอได้
แต่ว่าสามารถคาดคะเนได้ว่า จาการที่พลังวิญญาณของดาวดวงนี้ ‘อยู่ในกระแสน�าขึ้น’ เชื่อว่าอีกไม่นานนัก อย่างมากก็ห้าสิบปี น่าจะ ขยับเข้าไปอยู่ในดวงดาวระดับเก้าได้
ถึงตอนนี้ ก็จะมีการแย่งชิงเกิดขึ้น
สําหรับสํานักทางช้างเผือกแล้ว ดวงดาวที่อยู่ต�ากว่าระดับเก้า ต่อ ให้มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือมีการบําเพ็ญ มีการก่อเกิดของอารยธรรม ก็ ยังไม่คุ้มค่าที่จะแย่งชิงอยู่ดี
ครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะการเปิดของสุสานเทพบนดาวดวงนี้ ไม่มีทาง ที่จะมีผู้บําเพ็ญจากทางช้างเผือกจุติลงมา
แน่นอน สิ่งที่หลี่มู่ไม่รู้ก็คือดาวดวงนี้ยังมีความแปลกประหลาดอยู่
หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งขั้นนักรบจุติลงมา กลับถูกบีบไว้จนย�าแย่ เรื่องนี้มันไม่ปกติ ในดวงดาวระดับต�ากว่าเก้าดวงอื่นๆ ล้วนไม่เคยเกิด อาการเหล่านี้ขึ้น
“เขตดาราเทพวีรชนมีดวงดาวนับพันดวง ไม่ว่าจะเป็นดาวโลก หรือว่าดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจว ล้วนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่จนจินตนาการไป ไม่ถึง แต่ว่าในดินแดนดาราจื่อเวย เขตดาราเทพวีรชนก็เป็นเพียงแค่ เม็ดข้าวบนทะเลกว้างใหญ่เท่านั้น และดินแดนดาราจื่อเวยที่ยิ่งใหญ่ ขนาดนี้ ในระบบทางช้างเผือกก็ยังเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กเท่านั้น…ความ ใหญ่โตของจักรวาลทางช้างเผือก ทําเอาคนสั่นสะเทือนได้จริงๆ”
หลี่มู่ยืนอยู่ข้างหน้าผา อดทอดถอนออกมาไม่ได้
ในใจเขามีความยินดีอย่างมาก เลือดในกายพลุ่งพล่าน
คลื่นลูกใหญ่ที่สง่างามเช่นนี้ โลกที่ไร้ขอบเขต รอให้เขาไปค้นหา ยังมีเรื่องอะไรที่จะทําให้จิตใจของลูกผู้ชายฮึกเหิมได้ยิงกว่าจินตนาการ ระดับนี้อีก?
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดึงขึ้น
“นายท่าน พาตัวมาแล้ว”
ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มพาตัวเจียงชิงหรวนที่ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ของเรือนดาบมาสองปีเต็ม เดินเข้ามาที่ด้านหลังห่างไปไม่ถึงสี่จั้ง
หลี่มู่ค่อยๆ หันกลับ ส่งสัญญาณให้ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มถอยกลับไป จากนั้นจ้องมองเจียงชิงหรวน เอ่ยขึ้นว่า “ข้าต้องการรู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับ เส้นทางเซียนโบราณในอดีต รวมไปถึงเรื่องทั้งหมดของกลุ่มคนชุดดํา บนโลกนี้ พูดมาเถอะ เรื่องที่เจ้ารู้พูดออกมาให้หมด”
…
…
จักรวรรดิฉินตะวันตก
เมืองฉางอัน
ช่วงท้ายยามเย็น ก็ยังปิดบังภาพความคึกคักของเมืองเก่าแก่นี้ ไม่ได้
นับตั้งแต่จักพรรดิฉินชิงผิงขึ้นดํารงตําแหน่ง ปกครองด้วย คุณธรรม จัดสรรทรัพย์สินอย่างยุติธรรมสู่ประชาชน ดูแลประชาชนฉิน
ตะวันตกที่ถูกทําร้ายจากความวุ่นวายของสงครามกบฏ จนสามารถเดิน ออกมาจากความโศกเศร้า และฟื้ นคืนสู่ภาพความคึกคักในวันวานได้ อีกครั้ง
และเพราะมี ‘เซียนกระบี่ธุลีแดง’ อย่างหลี่กังคอยดูแล และมีเมือง ฉางอันที่ถูกเมืองขาวพิสุทธิ์ทําให้หวาดกลัว จึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ แทบจะไม่มีไฟสงครามเกิดขึ้นเลย ด้วยเหตุนี้ภาพความคึกคักจึงได้อยู่ ในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิฉินตะวันตก
ครั้งนั้น หลังจากที่จักรพรรดิชิงผิงขึ้นครองราชย์ หลี่กังเป็นหนึ่งใน ขุนนางใหญ่ชายแดนที่ยอมรับสนับสนุนเป็นอันดับแรก ช่วงปีที่ผ่านมา ตําแหน่งของเขานั่งอยู่อย่างมั่นคง บารมีเพิ่มขึ้นไม่มีลด สี่ยอดตํานาน วิถียุทธ์ที่เดินออกมาจากการสอบเคอจวี่เมื่อวันวาน ปัจจุบันเหลืออยู่ สองคีน หลี่กังคือหนึ่งในนั้น
เหล่านักการในศาลาว่าการล้วนรู้สึกว่าในหลายปีมานี้ ท่านเจ้า เมืองเหมือนกับจะแก่ลงอย่างรวดเร็ว ผมหงอกมีให้เห็น ใบหน้าปรากฏ ริ้วรอยมากขึ้น
และก็ไม่รู้ว่าข่าวจากที่ไหน บอกว่าท่านเจ้าเมืองกับคนในบ้านผิด ใจกัน ภรรยาของท่านเจ้าเมืองเมื่อสองปีก่อนหน้า ได้พาหลี่สยงลูกชาย ออกไปจากเมืองฉางอัน หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหล่าประชาชนก็ล้วน นํามาวิพากษ์วิจารณ์
ในช่วงนี้ เรื่องราวของท่านเจ้าเมืองกับเทพดาบหลี่มู่ ถูกอนุมาน ออกมาหลายฉบับอย่างเงียบๆ ไหลเวียนกันในหมู่ประชาชน ไม่เพียงแต่ ในเมืองฉางอัน และไม่ใช่แค่เพียงฉินตะวันตก แต่ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ เสินโจว ทุกฝ่ายล้วนมีคนพูดขึ้นในสถานที่แตกต่างกัน กระทั่งถึงขั้น โต้เถียงกันถึงรายละเอียดบางส่วนอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่สิ่งที่ทําให้คนอยากรู้อยากเห็นมากที่สุด ก็คือระหว่างพ่อลูกสอง คนนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะเดินไปสู่บทสรุปแบบไหนกัน
หลี่กังจัดการกับงานราชการของทั้งวันเสร็จสิ้น รู้สึกอ่อนล้า เล็กน้อย
เขาเดินออกจากประตูที่ว่าการเพื่อกลับจวน ขณะเดินเข้าประตู ใหญ่ ก็มีองครักษ์เดินออกมาพอดี
องครักษ์นั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลี่กัง เดินเข้ามาทําความเคารพ ด้วยสีหน้าแปลกประหลาด “นายท่าน ที่บ้านมีแขกมาหา ท่านเจิ้งพา พวกเขาเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ของนายท่านแล้ว และสั่งให้ข้าน้อย ออกมารายงาน นายท่านก็กลับมาพอดี”
“โอ๋?” หลี่กังประหลาดใจเล็กน้อย
เจิ้งฉุนเจี้ยนเป็นคนที่รู้จักน�าหนักในการปฏิบัติ ปกติแล้วหากไม่ ผ่านการประเมินจากเขา น้อยครั้งที่จะพาแขกเข้าไปถึงโถงใหญ่
ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นว่า “แขกมาจากที่ไหนกัน?” องครักษ์ตอบอย่างลังเล “มาจากบนภูเขาขอรับ” ในเขตในเมืองฉางอัน ‘บนภูเขา’ สองคํานี้ หมายถึงเพียงแค่ สถานที่เดียว…เขาขาวพิสุทธิ์ “ใครกัน?” ในใจหลี่มู่สั่นกึก ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง องครักษ์ค้อมตัวตอบ “มากันหลายคน ข้าน้อยล้วนไม่รู้จัก รู้เพียง ว่า ท่านเจิ้งเรียกชายหนุ่มผมสั้นสีดําคนหนึ่งว่านายท่านขอรับ!”
……………………………………