จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 478 เซียนหมอหลิงเซียว
หลี่กังรู้แล้วว่าคนที่มาคือใคร
ใจของเขาสั่นกึก ทว่าหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่เลือกที่จะ หลบหนีและเดินมาถึงยังห้องโถงกลาง
ในห้องโถง
หลี่มู่ในชุดขาวร่างสูงตรง กําลังยืนอยู่กลางห้องโถง มือไพล่หลัง เดินชมการตกแต่งในห้องตามอําเภอใจ ด้านข้างซ้ายขวามีเงาสี่เงายืน อยู่ด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน ทว่ากลิ่นอายล้วนแข็งแกร่ง ประดุจบ่อน�าลึก จนหลี่กังมองไม่ออกถึงตื้นหนา
และในพริบตาที่มองเห็นชวีอ๋องฉู่ใต้เจียงชิงหรวนที่มีสีหน้าทุกข์ ระทม ในใจหลี่กังสั่นขึ้นอีกครั้ง มีความรู้สึกอยากจะหันกลับแล้วหนี ออกไป ทว่าสติท้ายสุดก็ทําเขานิ่งลงมาได้
สองปีก่อนหน้า สุสานเทพได้เปิดขึ้น เจียงชิงหรวนพาคนกลุ่มหนึ่ง เข้าไปในสุสานเทพ นับตั้งแต่นั้นก็เงียบหายไป คนมากมายล้วนคาดเดา ว่าเขาคงจะตายอยู่ด้านในสุสานเทพนั่นแล้ว หลี่กังก็เข้าใจเช่นนั้น เหมือนกัน ทว่าไม่คิดเลย วันนี้จะมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีนักขึ้น หลี่กังแอบส่งสายตาถามไป ยังเจียงชิงหรวน ทว่าเจียงชิงหรวนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับ ราวกับ ไม่รู้จักหลี่กังอย่างไรอย่างนั้น
หลี่มู่หมุนตัวกลับมามองที่หลี่กัง
สําหรับชายคนนี้เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีด้วยนัก เพียงแต่เพราะว่า ตอนที่ตนเองมายังดาวดวงนี้ ได้ครอบครองเอาร่างของหลี่มู่ตัวจริงไป และหลี่มู่คนนั้นก็คือลูกชายของหลี่กัง ดังนั้นจึงยังมีความอดกลั้นต่อ ตัวหลี่กังอยู่
ท่าทีหลุกหลิกของหลี่กังเมื่อครู่ก็อยู่ในสายตาของหลี่มู่ แต่เขาก็ไม่ ใส่ใจอะไร
“ข้าอยากจะตรวจสอบอะไร ท่านก็คงจะเดาได้” หลี่มู่เอ่ยปากขึ้น “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านไม่ต้องคิดว่าจะโชคดีในใจอีก พาข้าไปหา เซียนหมอหลิงเซียวเถอะ”
หลี่กังเดิมทียังคิดที่จะปิดบัง แต่เมื่อได้ยินหลี่มู่พูดเช่นนี้ก็รู้ว่าเจียง ชิงหรวนน่าจะคายความจริงไปจนหมดแล้ว เขาเป็นคนฉลาด จะปิดบัง ต่อไปก็คงไม่มีความหมายอะไร
“ในร่างของข้า มีกู่พิษของเจ้าโจรนั่นวางเอาไว้ พอทรยศนางก็จะ ทรมานอย่างสุดแสน ตายดีเสียกว่าอยู่ จ้ามีวิธีจัดการกับมันไหม?” หลี่ กังเอ่ยขึ้นอย่างไม่อ้อมค้อม
เขาในช่วงนี้ ถูกเซียนหมอหลิงเซียวควบคุมอยู่ เป็นขุนนางของฉิน ตะวันตกในนาม ทว่าลับหลังกลับคอยมอบทรัพยากรและค่าใช้จ่าย ให้กับกลุ่มคนชุดดํา ยังดีที่กลุ่มคนชุดดําไม่มีความคิดที่จะโค่นล้มฉิน ตะวันตก ดังนั้นทั้งสองทางจึงไม่ปะทะกัน ทว่าเป็นถึงขุนนางใหญ่ ชายแดนแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ กลับถูกคนอื่นใช้งานเป็นหุ่นเชิด จะ ทําให้เขารู้สึกยินยอมยินดีได้อย่างไรกัน?
ในเมื่อหลี่มู่เป็นบุคคลที่ยืนอยู่ในระดับเทพเซียนแห่งแผ่นดินใหญ่ เสินโจว มีความคิดที่จะรับมือกับกลุ่มคนชุดดํา มันก็เป็นอีกหนึ่งโอกาส ที่อาจจะช่วยเหลือเขาให้หลุดจากการควบคุมได้
เพียงแต่ว่า เรื่องแรกที่ต้องจัดการก็คือปัญหาที่อยู่ในร่างของเขา
ถ้าหากแก้ไขไม่ได้ จะอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี จึงไม่มีความจําเป็นที่ จะต้องยอมแพ้ให้กับปีศาจร้ายตนนี้
หลี่มู่เอ่ยตอบว่า “ท่านวางใจเถอะ ขอแค่มีข้าอยู่ กู่พิษในร่างกาย ท่านจะไม่สามารถทํางานได้”
จิตดาบของเขาตอนนี้เข้าสู่มรรคาแล้ว สามารถสร้างเขตแดนของ ตนเองครอบคลุมรัศมีสามสิบจั้งได้ ในเขตแดนของจิตดาบนี้ สามารถ ควบคุมได้ทุกสิ่ง ต่อให้เป็นกฎเกณฑ์วิถีสวรรค์ เขาก็ยังควบคุมไว้ได้ เพียงแค่อยู่ในรัศมีสามสิบจั้ง กู่พิษจะทํางานได้อย่างยากลําบาก แน่นอน
“ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?” หลี่กังมองหลี่มู่
ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “บังอาจ เจ้ามันตัวอะไร นายท่านมีตัวตนอยู่ระดับไหน ถึงจะต้องมาหลอกลวงเจ้าที่เป็นแค่มด แค่ตุ่นก็ยังไม่ใช่” กลิ่นอายอันทรงพลังราวกับคลื่นซัดทะเลคลั่งตีม้วน เข้ามาในพริบตา ทั่วเมืองฉางอันล้วนเหมือนกับกําลังสั่นเทิ้มภายใต้ คลื่นพลังนี้
หลี่กังก็เป็นผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์แห่งฉินตะวันตก มีชื่อเสียงอยู่ในยุค หนึ่ง ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้พลังของชายจมูกเหยี่ยวงุ้ม ก็เหมือนกับเรือพาย ลําน้อยท่ามกลางพายุลมฝนที่ซัดคลื่นโหมกระหน�าอย่างไรอย่างนั้น มี อันตรายที่จะถูกขยี้ได้ทุกเมื่อ หายใจติดขัดขึ้นมาแทบจะในทันที
เขาหน้าซีดลงในพริบตา และเข้าใจอย่างถ่องแท้ทันทีว่าหลี่มู่ ในตอนนี้ ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ต้องคอยถูกปฏิเสธบ่อยครั้งเพื่อจะไหว้วาน ตนเองให้ตรวจสอบข้อมูลคนอื่นในสมัยที่อยู่ในเมืองฉางอันอีกแล้ว
ข่าวเล่าว่าดาบรับใช้คนหนึ่งแห่งเรือนดาบของหลี่มู่ สังหารหนาน กงอวี่ลงไปได้ และยังมีข่าวอีกว่าดาบรับใช้อย่างเขาคนนั้น ที่เรือนดาบ มีทั้งหมดสี่คน จากที่ได้เห็น ชายจมูกเหยี่ยวงุ้มคนนี้จะต้องเป็นหนึ่งในสี่ ดาบรับใช้แน่นอน
ดาบรับใช้แห่งเรือนดาบยังแข็งแกร่งระดับนี้ ในสองปีที่ผ่านมา พลังบําเพ็ญของหลี่มู่ก้าวไปถึงระดับไหนแล้วกัน?
หลี่กังในที่สุดก็ตระหนักได้ถึงความจริง ว่าทั้งสองคนนั้นอยู่กันคน ละโลกแล้ว
เขาจึงตอบได้เพียง “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะเชื่อเจ้า”
ท้ายสุด เขาก็เลือกประนีประนอม
เพราะไม่มีทุนที่จะไปต่อรอง
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลี่กังพาพวกของหลี่มู่ มาถึงรอบนอกพื้นที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่งใน เมืองฉางอัน
“เจ้าโจรนั่น อยู่ด้านในนี้ แต่ว่าวิธีการของนางแสนแปลก ประหลาด ต่อให้ไม่ใช่พลังวิถียุทธ์ ก็ยังสามารถตรวจสอบคนที่รุกล�าเข้า
มาแม้จะอยู่ห่างออกไปหลายลี้ได้ ดังนั้นจึงต้องคิดหาวิธี….” หลี่กังชี้ ออกไปไกลๆ พร้อมเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไปเถอะ” หลี่มู่เดินมาอยู่ด้านหน้าสุดตรงเข้าไปใน พื้นที่
ในเมื่อสามารถใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสร้างมนุษย์จักรกลขึ้นมา ได้ เช่นนั้นการจะติดตั้งกล้องวงจรปิดก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ คนของดวงดาวนี้ไม่เข้าใจ จึงคิดว่าเป็นอภินิหารที่ยอดเยี่ยม ในใจเกิด ความหวาดกลัว ทว่าหลี่มู่กลับเข้าใจถึงหลักการของมัน เพียงแค่ใช้พลัง จิตกวาดดูหน่อยก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าตรงไหนบ้างที่ติดกล้องวงจร ปิดเอาไว้ จากนั้นใช้ค่ายกลลวงตาก็สามารถปิดกั้นการสอดแนมของ กล้องวงจรปิดได้
แน่นอน นอกเหนือจากกล้องวงจรปิดแล้ว ยังมีค่ายกลสําหรับ ป้องกันบางส่วนอีก ค่อนข้างน่าสนใจ
สําหรับผุ้แข็งแกร่งวิถียุทธ์ทั่วไป ค่ายกลเช่นนี้ค่อนข้างมีพลานุ ภาพ อย่างน้อยก็สามารถสกัดกั้นเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง ทว่าสําหรับหลี่มู่ เพียงแค่โบกมือโบกเท้านิดหน่อยก็พังย่อยยับจนหมด
“นี่เป็นค่ายกลของเผ่าผู้วิเศษ หรือว่ากลุ่มคนชุดดํานี้จะเกี่ยวข้อง กับพวกเผ่าผู้วิเศษกัน?”
ระหว่างที่หลี่มู่ครุ่นคิด ดาบรับใช้ทั้งสี่ได้เข้าไปจัดการสังหาร องครักษ์ทั้งหมดด้านในอย่างไร้ซุ่มเสียง คนทั้งหมดผ่านเข้าไปได้อย่าง ไม่มีอุปสรรค เพียงไม่นานก็เข้ามาถึงด้านหน้าอาคารหินสีดําแห่งหนึ่ง
อาคารสีดํานี้ไม่มีอะไรสะดุดตา และไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ
เมื่อเข้ามา ช่องว่างด้านในคับแคบ
หลี่กังแหวกเอาหญ้าสมุนไพรออกไปชั้นหนึ่ง ด้านล่างมีแผ่น กระดานเหล็ก เมื่อเปิดแผ่นเหล็กออก ด้านใต้กลับมีทางเดินบันไดสีดํา สายหนึ่งปรากฏขึ้น
“ฐานบัญชาการของกลุ่มคนชุดดําอยู่ด้านล่างนี้”
หลี่กังนําทางอยู่ด้านหน้า ตรงเข้าไปในทางเดินราวสามสิบจั้ง เดิน ดิ่งลงไปอีกราวสิบห้าจั้ง อาคารเหล็กขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า ดู กว้างโล่ง และไม่มีวัตถุใดๆ อยู่อีก
ที่ส่วนปลายของอาคารเหล็ก เป็นประตูเหล็กขนาดยักษ์สูงเจ็ดจั้ง
ในตาของหลี่มู่เปล่งประกายแปลกประหลาดออกมา
ถึงแม้จะมีเตรียมตัวมาบ้าง แต่ว่าพอมาเห็นสิ่งปลูกสร้างที่มี ลักษณะเต็มไปด้วยความเป็นดาวโลกแล้ว ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึก คุ้นเคยอบอุ่น
หลังจากเข้ามาในทางเดิน ด้านในทั้งหมดเป็นเหมือนกับหลุมหลบ ภัยใต้ดินขนาดใหญ่ และอาคารเหล็กที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก็เป็นเหมือนกับ ป้อมค่ายกองทหารใต้ดิน มีความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์มาก
“ที่หน้าประตูนั่นล่ะ แต่ว่าต้องระวังหน่อย โจรชั่วนั่นควบคุมอาวุธ ประหลาดไว้อย่างนึง…” หลี่กังกําชับอีกครั้ง
ชัดเจนมาก ว่าในส่วนลึกจิตใจเขาแล้ว เซียนหมอหลิงเซียวภรรยา ที่แสนอัปลักษณ์คนนั้น ก็เป็นคนที่ตนเองหวาดกลัวอย่างมากอยู่
แต่ทว่าพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นหลี่มู่เดินเข้าไปด้านหน้าประตูเหล็ก โบกสะบัดมือ คมดาบเปล่งประกายจากปลายนิ้ว ประตูเหล็กหนาสาม ฉื่อได้ถูกตัดออกเป็นประตูเล็กขนาดหนึ่งคนเดินเข้าไปได้อย่างไร้ ซุ่มเสียง
หลี่มู่เดินเข้าไป “รออยู่ด้านนอก”
เสียงของหลี่มู่ ดังแว่วออกมาจากด้านใน ดังนั้นคนทั้งหกจึงรออยู่ด้านนอก ด้านในประตูใหญ่ ไม่มีการเคลื่อนไหวของการต่อสู้แว่วออกมา
ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา “เข้ามาเถอะ” เสียงของหลี่มู่ลอดออกมา
กลุ่มเป่าสีดีดร้องสี่คน พาหลี่กังกับเจียงชิงหรวนทั้งคู่เข้าไป
และหลังจากที่พวกเขาเข้ามา ก็พบว่าการต่อสู้สบายๆ ได้เสร็จสิ้น ลงไปแล้ว ด้านในทั้งหมดนี้ ทําเอากลุ่มเป่าสีดีดร้องทั้งสี่และเจียงชิงหร วนรู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก
“นี่คือ…”
ด้านหน้าเป็นอาคารที่มีลักษณะแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ช่องว่างขนาดใหญ่ ถูกแบ่งออกเป็นบนล่างสี่ชั้น ถูกแยกออกจาก กันด้วยบันไดเหล็กและคานยื่น ประตูและหน้าต่างของห้องบางส่วนทํา จากกระจกใส สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอุตสาหกรรม การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นวิธีที่สูงส่งอย่างชัดเจน ผิวด้านนอกเรียบลื่น คล้ายกระจก มีท่อขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันพาดสลับไปมาเชื่อมต่อกับ เขตที่แตกต่างกัน และยังมีของแปลกประหลาดอีกมากมายแขวนอยู่กับ ช่องว่างในพื้นที่ที่แตกต่างกัน มองแล้วเหมือนกับเป็นของเล่นเหล็ก ดู
ประณีตอย่างมาก และยังมีโคมไฟสีขาวแขวนสูงอยู่บนเพดาน ส่อง สว่างความประณีตทั้งหมดออกมา
นี่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่กลุ่มเป่าสีดีดร้องทั้งสี่ไม่เคยเห็นมาก่อน ราว กับเป็นโลกอีกใบ จนอดจุ๊ปากชื่นชมขึ้นไม่ได้
เจียงชิงหรวนถึงแม้จะมีการร่วมมือกับคนชุดดํา รู้ถึงเบื้องหลัง บางส่วน ทว่าก็ไม่เคยเข้ามายังส่วนในของกลุ่มคนชุดดํา ดังนั้นจึงมี ความรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ส่วนหลี่กังนั้น ก่อนหน้านี้ทุกครั้งก็มาถึงเพียงแค่ด้านนอกประตู เหล็กบานใหญ่ ไม่เคยเข้ามด้านใน หลังจากที่ได้เห็น ในใจก็รู้สึก สั่นสะเทือนอยู่บ้าง
บนพื้นมีคนสลบไสลอยู่นับร้อย
ในนั้นส่วนใหญ่ล้วนสวมเสื้อคลุมสีขาวประหลาด คลื่นพลังบนร่าง ไม่ได้แข็งแกร่งนัก และมีองครักษ์สวมชุดเกราะอีกบางส่วน ลักษณะ การแต่งตัวเหมือนคนบนโลกนี้อย่างชัดเจน ล้วนสลบไสลอยู่ด้วยเช่นกัน พลังไม่ธรรมดา อย่างต�าก็อยู่ในระดับฟ้าประทาน
หลี่กังเพียงแค่มองก็พบว่า โจรชั่วที่ตนเองหวาดกลัวที่สุดคนนั้น เซียนหมอหลิงเซียวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเนื้องอก คุกเข่าอยู่ตรงกลาง
ของคนกลุ่มนี้ ใบหน้าหวาดกลัวและเดือดดาล เหมือนกับกําลังดิ้นรนแต่ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด
และรอบตัวของเซียนหมอหลิงเซียว ยังมีมีคนสวมชุดแปลก ประหลาดอยู่อีกหกเจ็ดคน ใบหน้าแตกต่างกัน เพียงอย่างเดียวที่ เหมือนกัน ก็คือนิสัยที่คล้ายคลึงกับหมอเซียนหลิงเซียวอย่างมาก
คนหนึ่งในนั้น คุกเขาอยู่ด้านหน้าสุด ผมทองจอนทอง ตาเขียวผิว ขาว รูปร่างสูงใหญ่ รูปร่างค่อนข้างประหลาด ค่อนข้างเหมือนกับคน จากที่ราบทุ่งหญ้า ทว่ามองละเอียดแล้วก็มีส่วนที่ไม่เหมือนอยู่ อายุ ประมาณสามสิบ คลื่นพละกําลังแข็งแกร่ง เป็นขั้นมหาเทวะคนหนึ่ง
“นายท่าน” ดาบรับใช้ทั้งสี่เดินเข้ามา
หลี่มู่พยักหน้า
ตอนนี้เอง เซียนหมอหลิงเซียวก็ได้มองเห็นหลี่กัง ในดวงตา ไหลเวียนด้วยอาการถึงบางอ้อ เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเป็นหลี่กังที่พา พวกหลี่มู่มา นางยิ่งรู้สึกฮึดฮัดดิ้นรนสุดชีวิตขึ้นมาอีก ในปากส่งเสียงอู้อี้ อู้อี้เหมือนกําลังด่าทออะไรบางอย่าง
ส่วนคนในชุดประหลาดคนอื่น ก็มองไปทางหมอเซียนหลิงเซียว ด้วยสีหน้าแค้นเคืองอาฆาตพยาบาท
หลี่มู่มองพวกเซียนหมอหลิงเซียนที่อยู่ด้านหน้าสุด และสายตาได้ ไปตกอยู่บนร่างของชายร่างสูงใหญ่ผมทองจอนทองคนนั้น เนตร สวรรค์กวาดดู เหมือนมองออกอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงพูดกับตนเอง ขึ้นว่า “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็ถูกครองร่างไป…”
…………………………………