จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 490 เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวมู่ คืนนี้พวกเราจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนนายก็แล้วกัน ในวัดนี่มีผี อาละวาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว นายอยู่คนเดียวไม่ค่อยปลอดภัย” ชายหนุ่มคนหนึ่งรูปร่างกลางๆ ในชุดพรางราคาถูกกําลังล้างหน้าเพื่อ ขจัดคราบดินโคลนออก หัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องหรอก เชา พวกนายกลับไปเถอะ” หลี่มู่ยิ้มตอบ “อีกสอง วันก็ต้องออกไปทํางานแล้วนี่ ได้ข่าวว่านายกําลังคบกับสาวจากเจียงหู คนหนึ่ง สิ้นปีก็จะแต่งงานแล้ว อย่าให้คนอื่นเขารอนายอยู่ในเมืองสิ”
ชายหนุ่มคนนี้ชื่อว่าหวางซือเชา และพวกคนหนุ่มที่กําลังยิ้มอยู่ ล้วนเป็นเพื่อนเก่าของหลี่มู่สมัยก่อนทั้งสิ้น เป็นนักเรียนมัธยมต้นใน หมู่บ้านด้วยกัน หลังจากจบมัธยมปลาย สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย แต่ว่า ไปเรียนรู้เรื่องการทําอาหารจนได้งานที่ไม่เลวนักในเมืองเป่าจี
วันนี้ได้ยินว่าหลี่มู่กลับมาแล้ว หวางซือเชาจึงขับรถมาหา โดยเฉพาะ นัดฟาเสี่ยวมาช่วยเหลือจัดการวัดหลานเติง ไมตรีจิต ของฟาเสี่ยวในอดีตก็ไม่เคยลืมเลือน พอมาเห็นตอนนี้ก็ยังเต็มไปด้วย มิตรไมตรี
“เหอๆ ก็จริง เสี่ยวมู่อยู่คนเดียวก็ระวังหน่อยนะ จริงด้วยเบอร์ โทรศัพท์ของนายคืออะไรนะ? ยังไม่มีเวลาเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเรามา หาจะติดมาให้นายแล้วกัน เราไปก่อนนะ” หวางซือเชาเอ่ยขึ้น
หลี่มู่ขอบคุณกับเหล่าเพื่อนบ้านอีกครั้ง “ขอบคุณทุกคนที่มาช่วย บูรณะวัดมากๆ เอาอย่างนี้ รอผมจบเรื่องวุ่นๆ แล้ว มากางโต๊ะสรวญเส เฮฮากันหน่อย” ปูโต๊ะงานเลี้ยง เป็นวิถีการขอบคุณญาติมิตรในหมู่บ้าน ที่สืบทอดปฏิบัติกันมา
ทุกคนล้วนหัวเราะร่ากันอย่างคึกคัก
“เช่นนั้นต้องมากินด้วยสักมื้อแล้ว เสี่ยวมู่ตอนนี้ดูอนาคตสดใสอยู่ นะ” คุณปู่จางสูบไปบ์ควันขโมง เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
หลังจากฟ้าเริ่มมืด ทุกคนก็แยกย้าย
หลี่มู่ซ่อมแซมต่อจนได้รูปร่างของวัดหรานเติงแล้วจึงเข้าพัก
ฟ้ายามค�าคืนค่อยๆ มืดสนิท
สายไฟได้ลากใหม่แล้ว หลีมุ่แขวนโคมไฟใหญ่เอาไว้ด้านในเรือน จากนั้นถอดชุดคลุมออก เริ่มฝึกฝนวิชาในป่าที่ใช้จอบขุดวัชพืชออกไป เหมือนดั่งเช่นเมื่อห้าปีก่อน ตั้งท่า ‘หมัดยุทธ์แท้’ ออกมา
หนึ่งกระบวนหนึ่งท่า ต่อด้วยอีกท่า ฝึกออกมาทั้งหมดเจ็ดกระบวน ซ�าไปซ�ามา เหมือนเป็นการอบอุ่นร่างกาย
บนดาวโลกถึงแม้จะมีพลังวิญญาณขึ้นบางส่วน แต่ก็ยังห่างชั้นกับ ที่แผ่นดินใหญ่เสินโจว ขณะที่หลี่มู่แสดง ‘หมัดยุทธ์แท้’ ก็รู้สึกได้ว่ามัน ยากลําบากกว่าตอนอยู่บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว ประสิทธิภาพการ ฝึกฝนก็ห่างชั้นกันมาก
ฝึกไปครู่หนึ่ง หลี่มู่กลับมายังห้องทําสมาธิ เปิดโทรทัศน์เพื่อเริ่มดู ข่าวสาร
คนในหมู่บ้านดูแลหลี่มู่ดีมาก ตลอดทั้งช่วงบ่ายไม่เพียงแต่มาช่วย ลากสายไฟ กระทั่งสายอินเทอร์เน็ตก็จัดการให้ ตอนนี้เรื่องการจัดการ สิ่งอํานวยความสะดวกเหล่านี้จะทําเอาง่ายๆ ไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ความเร็วอินเทอร์เน็ตยังอยู่ระดับความเร็วแสง สถานีที่เลือกชมได้ก็มี นับร้อย
“ด้านล่างมีข่าวฉุกเฉินแทรกประกาศขึ้นมาแถวหนึ่ง…”
ภาพของโทรทัศน์เปลี่ยนไปกะทันหัน
“เนื่องจากจุดมืดดวงอาทิตย์ได้เข้าสู่ช่วงปะทุ ส่งผลให้ท้องฟ้าทั่ว โลกที่สูงกว่าพันเมตรขึ้นไปเกิดความปั่ นป่วนของสนามแม่เหล็ก อุปกรณ์ไฟฟ้าเกิดการขัดข้อง นับตั้งแต่บ่ายวันนี้เป็นต้นไป สนามบิน
ภายในประเทศทั้งหมดจะหยุดทําการ จากข้อมูลของหน่วยงานการบิน พลเรือน ไม่เพียงแต่ภายในประเทศจีนเท่านั้น ในอนาคตอีกระยะหนึ่ง อุปกรณ์การบินทั่วโลกจะถูกระงับการใช้งานชั่วคราว ประชาชนใน ประเทศสามารถเลือกโดยสารรถไฟและรถยนต์เพื่อเดินทาง พาหนะทั้ง สองชนิดนี้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ”
การปรากฏของข่าวนี้ จู่ๆ ได้ดึงดูดเอาความสนใจของหลี่มู่ไป
เครื่องบินหยุดบิน?
ยิ่งไปกว่านั้นยังอีกระยะหนึ่งที่ไม่สามารถบินได้?
เขาคิดขึ้นออกทันที เมื่อคืนวานนี้ ตอนที่ตนเองบินมาจากกานซู่ ใช้ เวลามากกว่าที่ตนเองประมาณไว้พอสมควร น่ากลัวว่าจะไม่ใช่เรื่อง ง่ายๆ อย่างที่ข่าวประกาศออกมา
แต่ในข่าวบอกว่า เหมือนกับรถไฟและรถยนต์ไม่ได้รับผลกระทบ?
หรือว่าการบินบนท้องฟ้าจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาด แต่การ เดินทางบนพื้นจะไม่มีปัญหา?
นี่มันแปลกๆ แฮะ
……
“จะติดต่อกับหลี่มู่คนนี้ที่พวกเธอพูดถึงได้อย่างไร?”
ในห้องประชุมฐานปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน ขณะที่หลู่ปิงมาพบ กับซูชั่วและซ่งชางหลินอีกครั้ง อารมณ์สีหน้าได้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม อย่างมาก
“เสี่ยวมู่บอกว่า ถ้าหากจําเป็น สามารถไปยังวัดหรานเติงที่เมือง เป่าจีเพื่อหาเขาได้” ซูชั่วเคยเป็นทหาร ดังนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้า ผู้บังคับบัญชา จึงไม่มีการลังเลสองจิตสองใจ พูดออกมาตรงๆ ทันที
หลี่มู่หลังจากที่ทิ้งที่อยู่เอาไว้ ก็บอกกับซูชั่วและซ่งชางหลินว่าเรื่อง นี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเป็นความลับ สามารถบอกกับคนอื่นได้
หลู่ปิงเอ่ยต่อ “เขาบอกว่าจะยินยอมรับใช้ประเทศชาติใช่ไหม?”
ซูชั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ซ่งชางหลินเอ่ยตอบ “เสี่ยวมู่บอกว่า เขาก็เป็นลูกหลานของพระ เจ้าหวงและเหยียน(คนจีน) ดังนั้นหากประเทศชาติต้องการ เขาจะไม่ นิ่งดูดายแน่นอน”
หลู่ปิงเอ่ยต่อ “หวังว่าเขาจะสามารถออกจากภูเขามาได้…พวกเธอ สองคนไปเตรียมตัวเสีย พรุ่งนี้เช้า ผู้บังคับบัญชาจะเดินทางไปเยี่ยม
เยือนที่วัดหรานเติงด้วยตนเอง หวังว่าพวกเธอทั้งสองจะติดตามไปด้วย ได้ ถึงอย่างไรก็มีเพียงพวกเธอที่รู้จักหลี่มู่”
ซูชั่วเหมือนเข้าใจอะไรขึ้นมา เอ่ยว่า “ประเทศเราวุ่นวายขึ้นเร็ว ขนาดนี้เลยหรือ? เป็นเพราะเรื่องของฮาร์บินเจอร์ใช่ไหม?”
หลู่ปิงพยักหน้าเอ่ยตอบ “ยอดฝีมือจากเจ็ดประเทศมหาอํานาจ ล้วนเข้ามาแล้ว ยอดฝีมือระดับเอสจากองค์กรแห่งความจริง อัศวินโต๊ะ กลม สวนใบเมเปิล แผ่นน�าแข็ง กลุ่มมังกรดํา กลุ่มนักปราชญ์นับสิบคน ล้วนแทรกเข้ามาด้วยวิธีการต่างๆ ประกอบกับการเปิดของวิมาน เทือกเขาฉินใกล้เข้ามา ดังนั้นคนของพวกเราได้ถูกทําลายลงไป บางส่วนจนใช้งานไม่ได้แล้ว ถ้าหากหลี่มู่เป็นอย่างที่พวกเธอพูดจริง มี พลังไร้เทียมทาน ก็อาจจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้”
“ฉันไป” ซูชั่วพยักหน้าเอ่ยขึ้นทันที
ทหารหญิงที่ผึ่งผายงดงามคนนี้ ส่วนลึกในใจก็ยังหวังว่าหลี่มู่จะ สามารถรับใช้ประเทศชาติ ในเมื่อครั้งนี้ฝ่ายทหารได้ยื่นเจตนาดีให้ก่อน ดังนั้นเธอจึงยินยอมที่จะไปพูดกล่อมหลี่มู่ด้วยตนเอง
……
“ใครกัน ใครมาสังหารศิษย์น้องของข้า?”
นักพรตวัยกลางคนร่างเหมือนหอเหล็กใบหน้าเหมือนถ่านดําคน หนึ่ง พุ่งเข้าไปด้านในโรงพยาบาล จ้องมองเถี่ยจวิน จางโหย่วฟาเหล่า ‘สี่ยอดเพชร’ ที่ถูกพันแผลจนเหมือนบ่ะจ่างอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเคร่ง ขรึม เอ่ยปากถามขึ้น
“เป็นๆ…เป็นเทพเซียนคนหนึ่ง…” เถี่ยจวินคิดย้อนกลับไปยังฉาก ในวันนั้น ดวงตายังคงหวาดกลัว
“ไร้สาระ เทพเซียนอะไร? ศิษย์น้องของข้านี่ล่ะเทพเซียน” นักพรตดําวัยกลางคนเดือดดาลขึ้น คิดว่าทั้งสามคนกําลังเล่นละครตบ ตาตนเอง
จางโหย่วฟารีบร้อนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นเสียรอบหนึ่ง
“เพ้อเจ้อ บนโลกนี้จะมีคนเช่นนั้นได้อย่างไร?” นักพรตหน้าดําวัย กลางคนฟังจบ ก็มีสีหน้าอารมณ์เหมือนพวกแกมาลบหลู่สติปัญญาของ ข้าอยู่หรือ หัวเราะเย็นชาเอ่ยขึ้น “ดาบถลาลม? ทําไมไม่บอกว่าเขา กระโดดขึ้นเครื่องบินบินหนีไปเลยล่ะ?”
“เอาล่ะ ข้าเองดีกว่า” นักพรตเฒ่าผมขาวรวบมวยคนหนึ่งเดินเข้า มา จ้องมองที่เถี่ยจวินเอ่ยขึ้นว่า “จงมองตาของข้า…” ในดวงตาของ เขาเหมือนกับมีกระแสไหลวน ทําเอาสายตาของเถี่ยจวินค้างแข็งไป ทันที ราวกับถูกควบคุมอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ครู่ต่อมา
นักพรตเฒ่าดึงสายตากลับด้วยสีหน้าตกตะลึง
เขาใช้วิชาดวงตานี้กับดวงตาของจางโหย่วฟาและคนอื่นอีกครั้ง อ่านเอาความคิดของอีกฝ่าย นี่เป็นวิชาอ่านจิตใจที่มีเพียงคนที่บําเพ็ญ มาอย่างลึกซึ้งจึงจะใช้ได้
ครู่ต่อมา สีหน้าเคร่งขรึมของนักพรตเฒ่าก็ยิ่งเข้มหนักกว่าเดิม
“อาจารย์ นี่มัน…” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนจ้องมองนักพรตเฒ่า
“กลับ” นักพรตเฒ่าหมุนตัวเดินออกไป
“เอ๋?” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนไม่เข้าใจ เอ่ยขึ้นว่า “แต่ว่าศิษย์ น้องลู่เขา…”
“หุบปาก” นักพรตเฒ่าเอ่ยต่อ “ให้คนจองตั๋วรถไฟกลับเทียนสุ่ย วันนี้เสีย พวกเราจะกลับอารามเมฆาเคลื่อน บอกกับสกุลลู่ไปว่าเรื่องนี้ พวกเราไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว”
“เอ๋?” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนตกตะลึงในใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหลังจากที่อาจารย์ใช้วิชาอ่านจิตใจแล้ว จะมีผลลัพธ์เช่นนี้
ศิษย์น้องลู่บําเพ็ญอยู่ในอารามเมฆาเคลื่อน แต่ก็ไม่ได้ออกบวช จริงๆ เพราะเกิดในตระกูลที่ร้ายกาจ สลับซับซ้อน มีอิทธิพลอย่างมาก ในฝั่ งตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวศิษย์น้องลู่ตายไป อาราม เมฆาเคลื่อนจึงส่งอาจารย์ที่อยู่ในตําหนักเทพโอสถมาตรวจสอบ ก็ เพื่อที่จะไปอธิบายกับตระกูลลู่ได้ แต่ว่าตอนนี้…
กลับไปเช่นนี้น่ะหรือ?
ดูจากสีหน้าที่ไม่ดีของนักพรตเฒ่า นักพรตหน้าดําวัยกลางคนก็ไม่ กล้าที่จะถามอะไรอีก
“หรือว่าสิ่งที่พวกพิการบนเตียงสามคนนั่นพูดจะเป็นเรื่องจริง?” ในใจของเขาสงสัยถึงขีดสุด
อารามเมฆาเคลื่อนนั้นมีอิทธิพลกับทางโลกอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ ทางฝั่ งตะวันตกเฉียงเหนือ ดังนั้นตั๋วรถไฟความเร็วสูงที่นั่งชั้นธุรกิจจึง จัดซื้อได้อย่างรวดเร็ว…ตอนขามาพวกเขายังนั่งเครื่องบินอยู่ แต่ตอนนี้ ทั่วประเทศสั่งระงับการบิน ดังนั้นการเดินทางที่รวดเร็วที่สุดตอนนี้จึงมี เพียงรถไฟความเร็วสูง
เจ็ดชั่วโมงต่อมา ทั้งสองคนกลับมาถึงอารามเมฆาเคลื่อน
อารามเมฆาเคลื่อนตั้งอยู่บนภูเขาไม่จีอันมีชื่อเสียง เดิมทีเป็นเพียง แค่อารามเต๋าเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง ทว่านับตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว จู่ๆ ชื่อเสียงได้
โด่งดังขึ้น มีคนยอดเยี่ยมออกมามากมาย เหล่าผู้ร�ารวยมีอิทธิพล มากมายในสามมณฑลแห่งตะวันตกเฉียงเหนือก็ล้วนเข้ามาเยี่ยมเยือน
อิทธิพลของอารามเมฆาเคลื่อนในปัจจุบันสามารถพูดได้ว่าเป็น เหมือนกับดวงตะวันบนฟากฟ้า อารามเต๋าได้บูรณะใหม่ถึงสี่ครั้งในสาม สี่ปีที่ผ่านมา ขนาดก็ใหญ่โตขึ้นทุกครั้ง ปัจจุบันมีศิษย์อยู่นับพัน
นักพรตเฒ่าเมื่อกลับไป ก็รีบเข้าไปรายงานกับเจ้าอารามทันที
นักพรตวัยกลางคนยืนอยู่นอกตําหนักฝูซี เมื่อเห็นศิษย์น้องหน้าม้า ก็รีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าเห็นว่าด้านนอกมีรถมาจอดจํานวน มาก มีแขกมาหรือ?”
“ตระกูลลู่ กับตระกูลหม่ามาถึงหมดแล้ว คนจากวัดลาปู่เหลิงและ เขาฉีซานก็มาถึงแล้วเช่นกัน ว่ากันว่าจะมาหารือเรื่องวิมานเทือกเขาฉิน จัดกลุ่มพันธมิตรขึ้นแล้วไปขอจํานวนคนจากรัฐบาล และยังได้ยินมาอีก ว่าทางฝั่ งวัดหรานเติงก็มีการเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน” นักพรตหน้าม้า เอ่ยขึ้น
“วัดหรานเติง?” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างประหลาด ใจ “หรือว่าตาแก่ลวงโลกที่ได้กระดูกมังกรไปคนนั้นปรากฏตัวขึ้น แล้ว?”
นักพรตหน้าม้าเอ่ยต่อ “ไม่ใช่เลย ได้ยินมาว่าหลานชายของตาแก่ ลวงโลกที่ไปเรียนหนังสือข้างนอกกลับมาแล้ว เริ่มบูรณะวัดหรานเติง ใหม่ และสานต่อป้ายชื่อของตาแก่ลวงโลกนั่น”
“หลานชายของเขาคนนั้น ไม่ใช่หายสาบสูญไปห้าปีแล้วหรือ?”
“ใช่ ทุกฝ่ายไปสืบหามาห้าปีก็ไม่พบเบาะแสใดๆ แต่ตอนนี้อีกฝ่าย ดันกลับมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ เป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นการจัดวาง ของตาแก่ลวงโลกนั่น ข่าวแพร่ออกไป คนที่เหมือนกันกับเราอีกสาม มณฑลแห่งตะวันตกเฉียงเหนือก็ล้วนตกตะลึงกันหมด มีบางคนรีบตรง ไปยังวัดหรานเติงแล้ว” นักพรตหน้าม้าพูดต่อ “เหอๆ เจ้าเด็กน้อยที่น่า สงสาร ดูท่าจะตกใจจนตายแน่”
“ตกใจจนตายก็ยังดี กลัวจะตกใจแต่ไม่ตายดีนี่สิ เขาจะต้องถูกแต่ ละฝ่ายแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่ เหอๆ วิธีการของบางคนขนาด คนตายยังตัวสั่นเลย” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างมี ความสุขบนความทุกข์ของผุ้อื่น
ระหว่างที่พูด ในตําหนักฝูซีมีเงานับสิบเดินออกมา มีทั้งพระและ ฆราวาส อายุแตกต่างกัน แต่ล้วนมีพลังไม่ธรรมดา เดินมายังลานจอด รถ แต่ละคนล้วนมีคนขับของตนเอง โดยสารรถหรูที่ตกแต่งแล้วออก จากเขาไม่จี บึ่งทะยานตรงไปยังเมืองเป่าจี
…
เมืองเป่าจี เขตเกาซิน
หลี่มู่หาข้อมูลมาพักหนึ่ง จึงได้มาถึงหน้าประตูของเขตเล็กไจ้สุ่ยอี ฟาง
บิดาและมารดาของหวางซืออวี่พักอยู่ที่เขตเล็กแห่งนี้
…………………………………