จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 491 น่าสงสารเหล่าบิดามารดาในโลกหล้านี้
หลี่มู่มาถึงหน้าประตูบ้านหวางซืออวี่ เคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีใคร ตอบรับ เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยู่บ้าน
ตอนนี้เอง มีคุณปู่มือถือกรงนกคนหนึ่งเดินมาจากตึก เห็น เหตุการณ์ดังนั้นก็เอ่ยขึ้น “พ่อหนุ่ม มาหาอาจารย์หวางเรอะ?” ตอนนั้น บิดาของหวางซืออวี่เป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนมัธยมเกาซิน เพื่อนบ้าน ล้วนเรียกเขาว่าอาจารย์หวาง
หลี่มู่พยักหน้า
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลยนี่นา เธอเป็นอะไรกับ อาจารย์หวาง?” คุณปู่ถือกรงนกถามอย่างสงสัย
หลี่มู่หัวเราะตอบไป “ผมเป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้นของเสี่ยวอวี่ ตอนนี้เรียนจบเพิ่งกลับมาเมืองเป่าจี เลยมาเยี่ยมอาจารย์หวางสัก หน่อยฮะ”
“อ้อ เป็นเพื่อนนักเรียนนี่เอง หลายปีมานี้ไม่ได้ติดต่อกันแล้วล่ะสิ? มิน่าเล่าถึงไม่รู้ หนูอาจจะไม่รู้สินะ บ้านนี้ขายไปแล้ว ปีที่แล้วอาจารย์ หวางประสบอุบัติเหตุ ได้ยินว่ากลายเป็นอัมพาต ตอนนี้ยังนอนพักฟื้ น
อยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย ภรรยาเขาขายบ้านเพื่อรวบรวมเงิน คอยดูแล เขาอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ตลอด” คุณปู่ถือกรงนกเล่า
หลี่มู่หน้าเปลี่ยนสี
ทําไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้
“เฮ้อ บ้านอาจารย์หวางเป็นคนดีทั้งบ้าน ชอบช่วยเหลือคนอื่น ความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านก็ดี น่าเสียดาย เมื่อห้าปีก่อนหลังจากที่ลูก สาวของเขาเสี่ยวอวี่หายตัวไป คนทั้งบ้านก็มีชีวิตไม่ดี อาจารย์หวาง ลาออก เที่ยวตามหาลูกสาวทั่วทั้งประเทศ แต่ก็หาไม่เจอ เมื่อปีที่แล้ว หลังจากกลับมา ทั้งคนดูเหม่อลอย ถูกรถเก๋งที่ฝ่าไฟแดงมาชนบาดเจ็บ สาหัส อีกฝ่ายยังชนแล้วหนี” คุณปู่ถือกรงนกเป็นพวกพูดมาก พอพูด แล้วก็หยุดไม่อยู่ “พี่ชายของเสี่ยวอวี่สอบโรงเรียนตํารวจได้ บอกว่า หลังจากจบแล้วจะไปตามหาน้องสาว…เฮ้อ น่าเสียดาย คนดีมักไม่ได้ดี”
หลี่มู่ได้ยินแล้วก็อึ้งตะลึง รีบถามขึ้น “อาจารย์หวางอยู่ที่ศูนย์เวช ศาสตร์ฟื้ นฟูเขตจินไถใช่ไหม? ผมจะไปเยี่ยมสักหน่อย”
“ใช่ ที่นั่นแหละ อยู่ตึกผู้ป่วยใน ชั้นสิบ แผนกพักฟื้ น ห้องสิบสาม พวกเพื่อนบ้านมักจะไปเยี่ยมบ่อยๆ ช่วงนี้อาจารย์หวางดูแล้วผอมไป ทุกทีๆ หมอบอกว่าร่างกาย อวัยวะเริ่มล้มเหลว น่ากลัวว่าคงจะอยู่ ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว…”
คุณปู่ถือกรงนกส่ายหน้าถอนหายใจ เดินขึ้นตึกไปแล้ว
หลี่มู่รีบไปจากเขตสุ่ยอีฟาง เรียกรถแท็กซี่ไปศูนย์เวชศาสตร์ฟื้ นฟู เขตจินไถทันที
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หลี่มู่ก็มาปรากฏตัวที่หน้าแผนกพักฟื้ นชั้น สิบ ห้องสิบสาม
นี่เป็นห้องพักฟื้ นผู้ป่วยเดี่ยว พ่อของหวางซืออวี่เข้ามาพักฟื้ น เพราะอุบัติเหตุรถชนกลายเป็นชายนิทรา เพราะสถานการณ์ค่อนข้าง แย่ จึงต้องสอดท่อ จําเป็นต้องมีอุปกรณ์รักษาบางอย่าง จึงไม่อาจอยู่ที่ บ้านได้ ต้องอยู่ที่นี่เท่านั้น
หลี่มู่เคาะประตูเบาๆ
“เชิญเข้ามาค่ะ” เสียงสตรีที่ฟังดูเหนื่อยอ่อนดังออกมาจากข้างใน
ตอนหลี่มู่เปิดประตูเข้ามา กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่เป็นเอกลักษณ์ โรงพยาบาลเท่านั้นก็กระแทกจมูกมา
ไป๋หรูแม่ของหวางซืออวี่นั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือผอมแห้งเหมือนกิ่ง ไม้ของสามีเอาไว้ กําลังเช็ดน�าตา สภาพโทรมล้าเป็นที่สลด หันกลับมา มองหลี่มู่แวบหนึ่ง ใบหน้าฉายแววสงสัย “เธอคือ…”
เสี้ยวขณะนี้หลี่มู่มีความรู้สึกปวดใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
ในสมัยเรียนตอนนั้นเขาเคยเจอพ่อแม่ของหวางซืออวี่
หวางซืออวี่ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวได้รับการขนานนามว่าเป็นสาว งามอันดับหนึ่ง แค่ดูจากพันธุกรรมก็รู้แล้ว อาจารย์หวางเจิ้นเมื่อห้าปี ก่อนเป็นชายงดงามวัยกลางคนที่บุคลิกสง่าอ่อนโยนทรงภูมิ เขียนพู่กัน จีนงดงาม มีลักษณะอย่างศิลปิน ส่วนไป๋หรูนั้นเปิดสถานดูแลสตรีหลัง คลอดไม่เป็นสองรองใครในเมืองเป่าจี
แต่ตอนนี้หวางเจิ้นนอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง ผอมหนังหุ้ม กระดูก พลังชีวิตเหมือนเทียนกลางสายลม เหมือนว่าจะดับลงได้ทุกเมื่อ ส่วนไป๋หรูเหลือประกายงดงามอย่างห้าปีที่แล้วเสียที่ไหน ใบหน้าทุกข์ ระทม ผิวพรรณหมองหม่น ผมงดงามหงอกขาวไปครึ่งหนึ่ง
“คุณน้า ผมเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของเสี่ยวอวี่ มาเยี่ยมคุณน้ากับ คุณอา” หลี่มู่วางถุงผลไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียง แล้วเอ่ย “ไม่รู้ว่าคุณน้าจํา ผมได้ไหม ผมชื่อหลี่มู่ แต่ก่อนเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเสี่ยวอวี่”
ในดวงตาของไป๋หรูฉายประกายวาววาบ
เหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงผุดลุกขึ้นจับหลี่มู่เอาไว้ ถามอย่าง ตื่นเต้น “เสี่ยวมู่? เป็นหนูจริงๆ หรือลูก กลับมาแล้วหรือ? สูงขึ้น แถม หล่อขึ้นด้วยนะเนี่ย…หนูเห็นเสี่ยวอวี่ของน้าบ้างไหม? ตอนนั้น ใน บรรดาเพื่อนักเรียน เสี่ยวอวี่กับหนูความสัมพันธ์ดีที่สุดแล้ว ได้ยินคน
บอกว่า ก่อนที่เสี่ยวอวี่จะหายตัวไปเขาไปหาหนู หนู…เจอเขาบ้าง ไหม?”
ผู้หญิงที่เซียวโทรมเหลือประมาณจับหลี่มู่เอาไว้ แววตาฉายด้วย ความหวังแรงกล้า เหมือนคนจมน�า
หลี่มู่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
ร่องรอยของหวางซืออวี่ พูดไปแล้วค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ
ไป๋หรูเห็นท่าทางลังเลของหลี่มู่ ประกายในตาก็ค่อยๆ หม่นหมอง ลง
เธอปล่อยหลี่มู่ โซเซนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ยิ้มขื่นพลางเอ่ย “เสี่ยวมู่ ขอโทษทีนะ น้าคิดถึงเสี่ยวอวี่เหลือเกิน ควบคุมตัวเองไม่ได้… ทุกครั้งที่คิดถึงเสี่ยวอวี่ ก็คิดว่าบางทีอาจจะลําบากทุกข์ยากอยู่ที่ไหน หรือไม่ก็…ไปแล้ว เสี่ยวมู่ นั่งสิ หนูมาหาพวกเราได้ พวกเราก็ดีใจมาก แล้ว” ระหว่างพูด ใบหน้าของไป๋หรูก็เต็มไปด้วยน�าตา
ความทุกข์ทรมานห้าปี ลูกสาวหายสาบสูญ สามีประสบอุบัติเหตุ โดนชนแล้วหนี…เธอใกล้จะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
ในที่สุดหลี่มู่ก็เอ่ยปาก “คุณน้า ผมมาครั้งนี้ก็เพื่อบอกกับคุณน้าว่า ผมเคยเจอเสี่ยวอวี่ เขาสบายดี”
“อะไรนะ?” ไป๋หรูเงยหน้าขึ้นทันที มองหลี่มู่อย่างตะลึงงัน ถาม อย่างไม่อยากเชื่อ “จริง…จริงหรอ?”
หลี่มู่พยักหน้า
“เสี่ยวอวี่อยู่ที่ไหน? รีบบอกน้าเร็ว เสี่ยวมู่ หนูรีบบอกน้า” ไป๋หรู พุ่งมา มือคว้าแขนหลี่มู่เอาไว้ น�าตาไหลออกมาอีกครั้ง “เสี่ยวมู่ เสี่ยวอวี่ อยู่ที่ไหน เสี่ยวอวี่ไปที่ไหนกัน ทําไมถึงไม่มา…เสี่ยวมู่ บอกน้าเร็ว น้า ขอร้องล่ะ พ่อเสี่ยวอวี่ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ให้เสี่ยวอวี่มาเจอเขา ไม่อย่างนั้น พ่อเขาตายตาไม่หลับหรอก…”
“คุณน้า อย่าเพิ่งตื่นเต้นเกินไป ฟังผมเล่า” หลี่มู่พยุงไป๋หรู “ผม เคยเจอเสี่ยวอวี่ ก่อนกลับมาเสี่ยวอวี่ยังฝากให้ผมเอาของกลับมาให้ พวกคุณน้าด้วย เสี่ยวอวี่ปลอดภัยดี และมีชีวิตอยู่ดี เพียงแต่อยู่ห่างไกล กันมากนัก กลับมาไม่ได้”
หลี่มู่แผ่พลังจิตวิญญาณออกไป ใช้วิชาเวทช่วยไป๋หรูสงบสติ อารมณ์
“ไกลเกินไป? เสี่ยวอวี่อยู่ที่ไหนกันแน่?” ไป๋หรูสงบลงเล็กน้อย แต่ ก็ยังคงอารมณ์พุ่งพล่านอยู่ดี
หลี่มู่ตอบ “คุณน้า เรื่องที่ผมจะบอกต่อไปคุณน้าอาจจะไม่เชื่อ อาจจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อย ดังนั้น ให้ผมพิสูจน์ให้ดูก่อน”
เขายื่นมือแตะไปบนแขนของหวางเจิ้นที่ใกล้จะสิ้นลม พลัง จักรพรรดิเขียวแห่งบูรพาไหลไปตามแขนของหวางเจิ้นช้าๆ ไหลทะลัก เข้าไปในกายของเขา
พลังในอวัยวะทั้งห้าของ ‘คัมภีร์ห้าจักรพรรดิอมตะ’ พลังธาตุไม้ ของจักรพรรดิเขียวแห่งบูรพามีปราณแท้ที่มีพลังชีวิตมากที่สุด มีพลัง ในการรักษาและฟื้ นฟูอันแข็งแกร่ง หากฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด สามารถฟื้ น ชีวิตคนตายได้ รักษาอาการบาดเจ็บแบบนี้ของหวางเจิ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ อะไรเลย
ไป๋หรูมองการกระทําของหลี่มู่อย่างสงสัย แต่ไม่นาน ใบหน้าของ เธอก็ฉายแววตื่นตะลึงไม่อยากจะเชื่อ
เพราะเธอเห็นสามีที่ผอมหนังหุ้มกระดูก ลมหายใจรวยริน ผิวเริ่มมี น�ามีนวลขึ้นด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ตาที่ลึกโบ๋และแก้มที่ซูบ ตอบอิ่มเอิบขึ้น ผมสีดอกเลาบางก็เปลี่ยนเป็นสีดํา คนทั้งคนเหมือน ลูกโป่งที่สูบลมจนเต็ม ค่อยๆ แข็งแรงขึ้น ใบหน้าก็มีเลือดฝาด ลม หายใจคล่องขึ้นมาก
“เราไม่ได้ฝันไปใช่ไหมนี่ ฉัน…” ไป๋หรูอึ้งไปแล้ว
เธอคิดว่าตัวเองกําลังฝัน
สามีที่แข็งแกร่งเต็มเปี่ ยมไปด้วยกําลังคนนั้นกลับมาแล้ว
แต่ว่า ยังไม่ตื่น
หลี่มู่ค่อยๆ เก็บมือกลับมา
“คุณน้า คุณน้าก็เห็นแล้ว ผมรักษาคุณอาได้ นี่เป็นเรื่องที่ วิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันไม่อาจอธิบายได้ เพราะนี่คือวิชาเซียน ผม กลับมาจาก…อืม กลับมาจากโลกเซียน และเสี่ยวอวี่ก็อยู่ที่นั่น เพียงแต่ เพราะเหตุผลบางอย่างจึงยังกลับมาไม่ได้ชั่วคราว”
ไป๋หรูมองหลี่มู่อย่างตะลึงงัน
คําพูดพวกนี้เหลวไหลเหลือเกิน ทั้งยังหลอกลวงกว่าพวกนักต้มตุ๋น เสียอีก
แต่ว่า เธอเชื่อ
เพราะเธอเห็นสามีที่เกือบตาย ตอนนี้สัญญาณชีพทั้งหมดฟื้ นคืน แล้ว อีกทั้งร่างยังเปลี่ยนมาแข็งแรงขึ้น ถึงแม้จะยังไม่ตื่น แต่สภาวะก็ ดีกว่าเมื่อก่อนไม่รู้ต่อกี่เท่า
นี่เป็นปาฏิหารย์ และทําได้แค่ใช้วิชาเซียนมาอธิบายเท่านั้นแล้ว
“คุณน้า วางใจเถอะ อาการป่วยของคุณอาไม่นานผมก็รักษาหาย ได้ แต่ว่าที่นี่คือโรงพยาบาล หากหมอคนอื่นเห็นคุณอาฟื้ นฟูได้ดีขนาด นี้ นี่มันค่อนข้างน่าอัศจรรย์มากเกินไป อธิบายก็ไม่ค่อยสะดวก ดังนั้น คุณน้าไปทําเรื่องออกโรงพยาบาลก่อน หากเงินไม่พอ ที่ผมยังมี รอพอ ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมจะรักษาคุณอาได้ทันที จากนั้น พวกเรา ค่อยคุยกันเรื่องเสี่ยวอวี่อย่างละเอียด”
หลี่มู่พูดขึ้น “ได้ๆๆ” ไป๋หรูยากจะเก็บความตื่นเต้น ความหวังของชีวิต กลับมาอีกครั้งแล้ว
……
รถออฟโรดหรูหราสีดําคันหนึ่ง และรถตู้ที่ผ่านการปรับเปลี่ยนคัน หนึ่งวิ่งผ่านถนนคดเคี้ยวมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูวัดหรานเติง
ประตูหลังของรถตู้สีดําเปิดออก มีคนหลายสิบคนเดินลงมา ล้วน ใส่สูท สวมแว่นตาดํา กล้ามเนื้อเป็นมัด ร่างกายสูงใหญ่ กลิ่นอาย แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ท่าทางเหมือนบอ ดีการ์ด
ส่วนคนที่ลงมาจากรถออฟโรดเป็นชายหญิงคู่หนึ่ง รัศมียิ่ง แข็งแกร่ง
ผู้ชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ตพอดีตัว ขับเน้นร่างกายที่สูงโปร่งแข็งแรง กล้ามเนื้อทั่วร่างเต็มเปี่ ยมไปด้วยพลังปะทุ ผมสั้นสีดํา แววตาคมกริบ ประดุจดาบ ที่หลังแบกกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเมตรครึ่งใบหนึ่ง ไม่รู้ว่า ข้างในมีอะไร
ผู้หญิงผมดําหยิกเป็นลอน เครื่องหน้าปราณีต ริมฝีปากแดง หน้าตาเย้ายวน สวยเป็นอย่างมาก สวมเสื้อคลุมดํา กระโปรงสั้นสีดํา ขา ทั้งสองเรียวยาวเหยียดตรง น่องเรียวงาม ไม่ได้สวมถุงน่อง ขาทั้งสอง เปล่าเปลือยเปล่งประกายราวหยก ค่อนข้างเตะตา รองเท้าส้นสูงสีแดง อัตราส่วนสีสันแดง ดํา ขาว ทรงพลังเป็นอย่างมาก เป็นประเภทที่แค่ มองเพียงแวบเดียวก็ทําให้พวกผู้ชายเลือดร้อนพุ่งพล่าน
บอดีการ์ดชุดดําประจําตําแหน่งได้เป็นระเบียบอย่างได้รับการ ฝึกฝนมา สองคนในนั้น ผลักประตูวัดหรานเติงเดินเข้าไปอย่าง ระมัดระวัง
ครู่หนึ่งก็เดินออกมา บอดีการ์ดชุดดําหนึ่งในนั้นเดินออกมา “นาย น้อย คุณหนูจู คนไม่อยู่”
“หืม? หนีไปแล้ว?” ชายตัวสูงที่แบกกล่องดําพูด
บอดีการ์ดเอ่ย “น่าจะไม่ใช่ ดูแล้วน่าจะมีธุระออกไปแล้ว อีกเดี๋ยว น่าจะกลับมา”
ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าคุณหนูจูก็คือผู้หญิงเย้ายวนคนนั้น เอ่ยขึ้นอย่าง ไม่ใส่ใจ “งั้นก็รออีกหน่อยก็แล้วกัน…เขาซ่าวจู่นี่ เมื่อสามร้อยปีก่อนก็ นับว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งเหมือนกัน หันหน้าไปทางทิศใต้ เป็น หนึ่งในแปดสิบเอ็ดทิวสันเขาฉินหลิ่ง พลังฮวงจุ้ยหลอมรวม ภูมิประเทศ ยอดเยี่ยม ทางด้านประวัติศาสตร์วัดหรานเติงก็มีที่มาที่ไปยิ่งใหญ่”
สําเนียงการพูดของเธอก้องกังวานเหมือนเม็ดหยกต้องกระทบจาน หยก ใสน่าฟัง เหมือนนักวิชาการประวัติศาสตร์ที่มีความรู้กว้างขวาง เล่าได้ไม่รู้จบ ฟังเธอพูดก็เป็นการเสพความสุขอย่างหนึ่ง
ชายรูปร่างสูงแบกกล่องดําคนนั้นหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจ ประวัติศาสตร์เท่าใด
เขาเรียกบอดีการ์ดมา เริ่มวางของบางอย่างรอบๆ และภายในวัด หรานเติง มีเพียงผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่มองออกว่า นี่เป็นอาวุธกับดัก และจับตัวที่น่ากลัวเป็นที่สุดและล�าสมัยมาก
บอดีการ์ดสิบคนก็เริ่มจัดเตรียมอาวุธในรถตู้ที่ปรับแต่งหรูหรา เสียงกลไกดังแกร๊กๆ ไม่หยุด ดังก้องกังวานเย็นสะท้าน อุปกรณ์บนร่าง
ของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเป็นปืนสังหารทรงพลานุุภาพที่คนทั่วไป กระทั่งว่าทหารก็สัมผัสไม่ได้
ผู้มาไม่ประสงค์ดี
………………………………………