จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 493 สามคําถาม
ตอนที่หลี่มู่กลับมาถึงห้องในโรงแรมว่านฝู หวางเจิ้นได้ฟื้ นขึ้น มาแล้วตามคาด ยิ่งไปกว่านั้นกําลังวังชายังดูไม่เลวอีกด้วย ด้วยการ ประคองของไป๋หรูตอนนี้สามารถลงจากเตียงมาเดินได้แล้ว
ส่วนที่ยืนอยู่อีกด้านคือหวางซืออู่ที่กําลังตกอยู่ในความตกตะลึง ยินดีปรีดาอย่างเหลือคนา
ตอนนี้อารมณ์ของหวางเจิ้นและหวางซืออู่ได้สงบลงพอควรแล้ว
ทั้งครอบครัวกําลังเฝ้ารอหลี่มู่อย่างร้อนรน เมื่อได้ยินเสียงเคาะ ประตู ไป๋หรูจึงเปิดประตูทันที “อ๋า เสี่ยวมู่ เธอกลับมาแล้ว”
หลี่มู่หิ้วเอากล่องซุปปลาและซุปไก่เข้ามา มองผาดหนึ่งแล้วเอ่ย ขึ้นว่า “กลับมาแล้วครับ ดูเหมือนลุงหวางจะฟื้ นฟูได้ไม่เลวเลย กิน อาหารบํารุงกันเสียก่อน…พวกเราค่อยมานั่งคุยกัน”
“เซียนเทพหลี่…ขอบคุณเซียนเทพหลี่มาก ที่ช่วยชีวิตบิดาผม เอาไว้ ผม…” หวางซืออู่พุ่งเข้ามาอย่างซาบซึ้งที่สุด เสียงตุบดังขึ้น คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อคํานับ
“เอ๋? เดี๋ยวก่อน อย่าๆๆ ผมรับไม่ไหวหรอก…” หลี่มู่ยกมือ พลังอัน อ่อนโยนวูบหนึ่งหลั่งไหล ประคองตัวของหวางซืออู่ขึ้นมา เอ่ยต่อว่า “ผมกับเสียวอวี่เป็นเพื่อนกัน ถ้าเขารู้ว่าพี่มาคุกเข่าให้ผม กลับไปคงได้ โดนดึงจนหูฉีกแน่”
ให้ตายเถอะ คนนี้อาจจะเป็นพี่เขยในอนาคตก็ได้นะ ใครจะกล้าให้ เขาคํานับกัน
หวางซืออู่มองหลี่มู่ด้วยความซาบซึ้งในใจ
เขาเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าไม่มีเทพยดาเซียนอะไรอยู่ แต่พลังเมื่อครู่ ที่ประคองตัวเขาขึ้น เป็นพลังที่คนธรรมดาไม่สามารถทําได้จริงๆ เหมือนกับพวกมายากลอย่างไรอย่างนั้น
“ฉันรู้จักเธอ เธอคือหลี่มู่จากหมู่บ้านวัดหรานเติงสินะ” หวางเจิ้น ยืนมั่นคง หายใจหอบอยู่บ้างแต่กําลังวังชาดีอยู่
เขาตอนนั้นก็เป็นอาจารย์อยู่ในโรงเรียนหลี่มู่ ถึงแม้จะไม่เคย สอนหลี่มู่แต่ก็รู้จักเด็กคนนี้ หลี่มู่ในตอนนั้นก็เป็นนักเรียนยอดเยี่ยมของ ชั้นปี และเนื่องจากเป็นเด็กกําพร้าไม่มีบิดามารดา ดังนั้นอาจารย์หลาย คนในโรงเรียนจึงล้วนดูแลเอาใจใส่เด็กคนนี้
“อาจารย์หวาง ได้พบกันอีกแล้ว ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ครับ?” หลี่มู่นําเอาซุปไก่ซุปปลาส่งให้ไป๋หรู ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ดีขึ้นมากเลยล่ะ ไม่ใช่แค่ฟื้ นฟูกลับมา แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองหนุ่ม ขึ้นหลายสิบปีเลยทีเดียว” นิสัยใจคอของหวางเจิ้นดีมาก ทรงภูมิและร่า เริง ตอนนี้ไม่เหลืออาการทอดถอนของคนที่พึ่งผ่านภัยพิบัติมาเลย แม้แต่น้อย
หลี่มู่เอ่ยขึ้น “ผมรู้ว่าท่านลุงท่านป้าและพี่เสียวอู่ อยากจะรู้ สถานการณ์ของเสียวอวี่ ดังนั้นขอเริ่มพูดจากเรื่องนี้ก่อนก็แล้วกัน จริงๆ แล้วในปีนั้น ตอนที่เสียวอวี่มาหาผมที่วัดหรานเติง พวกเราสองคนเข้า ไปเดินเล่นในภูเขาเซ่าจู่ จู่ๆ ก็พบกับรอยแยกมิติลึกลับ และถูกดูดเข้า ไปด้านใน…”
เขาดัดแปลงเรื่องราวเล็กน้อย และเล่าเรื่องที่พบเจอในปีนั้น ออกมาเสียรอบหนึ่ง
ตอนที่พูดถึงหวางซืออวี่ถูกปาเซียนอ๋องรับไปเป็นธิดาบุญธรรมจน กลายเป็นจวิ้นจู่ของจักรวรรดิใหญ่ไป ครอบครัวหวางเจิ้นก็ถอนใจโล่ง ออกมา ไป๋หรูกุมมือของหวางเจิ้นเอาไว้แน่น ส่วนหวางซืออู่ที่เป็นชาย ชาตรีก็ยังอดตารื้นขึ้นมาไม่ได้
หลายปีมานี้ ฝันร้ายในจิตใจของครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดก็คือหวางซื ออวี่
ความระทมและทรมานจากการที่ไม่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ให้ทั้ง ความหวัง และทั้งมองไม่เห็นความหวัง สู้รู้ข่าวว่าหวางซืออวี่ไม่อยู่แล้ว และสิ้นหวังไปเลยยังดีเสียกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ฝันเห็นว่า หวางซืออวี่อาจจะกําลังได้รับความทรมานและการเหยียดหยามอยู่ในที่ ใดที่หนึ่งบนโลก รสชาติเช่นนั้นมันเพียงพอที่จะทําให้คนที่แข็งแกร่งยัง พังทลายลงมาได้
ทว่าตอนนี้ พวกเขาในที่สุดก็โล่งใจเสียที
อภินิหารที่หลี่มู่แสดงออกมาก่อนหน้า ทําให้พวกเขาเชื่อถึงเรื่องที่ ฟังแล้วเหมือนเทพนิยายโกหกไร้สาระอย่างสนิทใจ
“เสียวอวี่ตอนนี้กําลังอยู่ในช่วงสําคัญของการบําเพ็ญวิชา ไม่ สามารถปลีกตัวออกมาได้ ดังนั้นจึงฝากผมให้เอาสมบัติจากโลกเซียน มากมายมาให้ รอเธอฝึกบําเพ็ญจนสําเร็จและออกจากด่าน ก็จะ สามารถกลับมาหาท่านลุงท่านป้ากับพี่เสียวอู่ได้”
หลี่มู่พูดไป พร้อมกับหยิบเอาของขวัญที่หวางซืออวี่เตรียมไว้ให้ ออกมาจากช่องว่างมิติจนหมด
นอกจากโอสถเทพ ยาลูกกลอน อัญมณีบางส่วน ยังมีพวก เครื่องเงินเครื่องทองอีกมากมาย รวมไปถึงยันต์และตราหยกที่ผ่านการ
เล่นแร่แปรธาตุอย่างง่ายๆ บางส่วน เมื่อพกติดตัวไว้ สามารถทําให้ ร่างกายแข็งแรงขจัดโรคภัยได้
ด้วยฐานะของหวางซืออวี่ในซ่งเหนือ การหาสิ่งของเหล่านี้ ไม่ได้ เหลือบ่ากว่าแรงอะไรเลย
หวางเจิ้นทั้งสามคน มองหลี่มู่หยิบสิ่งของออกมาจากอากาศจน ตาลาย
ในนั้น ยังมีจดหมายฉบับหนึ่งที่หวางซืออวี่เขียนให้กับทุกคน
ขณะที่มองเห็นลายมือบนจดหมายฉบับนี้ ไป๋หรูในที่สุดก็กลั้น น�าตาไว้ไม่ไหว ลายมือนี้มันช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน ห้าปีเต็มแล้ว ใน ที่สุดนางก็ได้เห็นลายมือของลูกสาวตนเองเสียที
หวางเจิ้นก็มีน�าตาคลอเบ้าเช่นกัน
หลี่มู่ยิ้ม กระตุ้นตราหยกชิ้นหนึ่ง
“ในนี้ยังมีคําพูดส่วนหนึ่งที่หวางซืออวี่จะพูดกับพวกท่านด้วย”
ในตราหยกฉายภาพเคลื่อนไหวออกมา ร่างสวม ‘ชุดเซียนสีม่วง’ ราวกับเป็นภาพของเทพธิดาเก้าชั้นฟ้า ปรากฏขึ้นในภาพที่ฉาย เหมือนกับการใช้วิดิโอคอลอย่างไรอย่างนั้น แน่นอนว่าเนื้อหาคําพูด ได้ ถูกบันทึกเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ในแผ่นดินใหญ่เสินโจวแล้ว
…
…
วัดหรานเติง
“เจ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่หนีไปแล้วหรอกนะ?” นักพรตหน้าดําวัย กลางคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถงหน้าประตูเริ่มหมดความอดทน มองลงไปที่ ทางเดินในหมู่บ้านตีนเขา
“หนีไม่รอดหรอก ทางเข้าออกทั่วเมืองเป่าจีถูกปิดเอาไว้หมดแล้ว คนจากตระกูลใหญ่ทั้งสามแห่งตะวันตกเฉียงเหนือก็มากันหมด ไหนจะ ยังมีอารามเมฆาเคลื่อนของพวกเรา แล้วยังมีวัดลาปู้เหลิงจากเซี่ยเหอ คนจากเขาคงต้ง กระทั่งสํานักชมดาราหนึ่งในเจ็ดสํานักก็ยังส่งคนมา… ทั่วทั้งเมืองเป่าจีตอนนี้เป็นเหมือนกับตาข่ายผืนใหญ่ไปแล้ว ต่อให้มีปีก ก็หนีไม่รอด แล้วเจ้าเด็กคนนั้นจะหนีไปได้อย่างไร”
นักพรตหน้าม้าเอ่ยขึ้นข้างๆ อย่างเชื่อมั่น
คนจากอารามเมฆาเคลื่อน หลังจากออกมาจากเขาไม่จี นั่งรถมา หนึ่งชั่วโมง เดินทางมาด้วยความเร็วสูง ในที่สุดช่วงกลางวันจึงมาถึงยัง วัดหรานเติง
แต่ว่า พวกเขาพบกับกลุ่มคนชุดดําสะพายดาบและสาวสวย ร้อนแรงที่มาถึงที่นี่ก่อนแล้ว หลังจากคุมเชิงอยู่พักหนึ่งจึงได้มีข้อตกลง ร่วมกัน
ตาข่ายไร้รูปร่างขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ได้กางออกภายในเมืองเป่าจีนี้ แล้ว
จับตัวหลี่มู่มาก่อน จากนั้นค่อยไต่สวน ข้อมูลที่ได้มาค่อยแบ่งกัน
“จริงด้วย สาวสวยปากแดงร้อนแรงเมื่อครู่คนนั้น น่าหลงใหลจริงๆ ของชั้นเยี่ยมเลย” นักพรตหน้าดําวัยกลางคนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จุ๊ ปากเอ่ยขึ้น
นักพรตหน้าม้าหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยว่า “อยากตายหรือไงกัน? นั่น เป็นคนจากตระกูลหลี่แห่งฮว๋าซานเลยนะ มานินทาลับหลังแบบนี้ เดี๋ยว ก็ไม่ได้ตายดีหรอก”
นักพรตหน้าดําวัยกลางคนทําหน้าเหยเก เอ่ยต่อว่า “อารามเมฆา เคลื่อนของพวกเราจะไปกลัวตระกูลหลี่ทําไม? ศิษย์น้อง เจ้าก็ระวังตัว เกินไปแล้ว ข้าได้ยินมาว่าแม่หม้ายดําตระกูลหลี่คนนี้ มีหนุ่มคอย ปรนเปรอตั้งมากมาย…” พูดยังไม่ทันขาดคํา ปัง เสียงปืนดังขึ้น หัวเข่า ของนักพรตหน้าดําถูกยิงไปหนึ่งนัด คุกเข่าลงกรีดร้องออกมา
ห่างออกไปสิบเมตร สาวสวยปากแดงร้อนแรงเป่าควันจากปาก กระบอกปืนลูกโม่ ‘ซูเปอร์เรดฮอว์ค’ เบาๆ ยิ้มไปทางนักพรตทั้งสอง “ขอโทษด้วย ปืนมันลั่น…”
ปืนลูกโม่ซูเปอร์เรดฮอว์คเป็นปืนที่มีอานุภาพแรงที่สุดในโลกถูกจัด ไว้อันดับที่สี่ กระสุนนัดนี้แทบจะระเบิดเอาขาซ้ายของนักพรตหน้าดํา ตั้งแต่หัวเข่าลงมา เหลือไว้เพียงเนื้อหนังที่ยังติดกันอยู่ นักพรตหน้าม้า ข้างๆ ตกใจจนแทบจะเป็นบ้าไปเลย
เสียงปืนทําให้คนทั้งหมดทั้งในและนอกวัดหรานเติงตกใจ
เสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้น
…
…
“ต่อจากนี้เจอเรื่องอะไร สามารถมาหาผมได้ตลอดเวลา เบอร์ โทรศัพท์ของผมคือ…” หลี่มู่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์มือถือของตนเอาไว้และ ปลีกตัวออกมา
ส่วนพวกของหวางเจิ้งทั้งสามคน ตั้งแต่เดินไปส่งหลี่มู่จนกลับเข้า มา ก็ยังคงตกอยู่ในความยินดีปรีดา
พวกเขาตอนนี้ในที่สุดก็ยืนยันได้ ว่าหวางซืออวี่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ และยังมีความหวังที่จะกลับมาอีกด้วย
เรื่องทั้งหมดนี้ ราวกับฝันไป
เมื่อเห็นบิดามารดาที่ยังอยู่ในความปีติ หวางซืออู่ก็ผ่อนลมหายใจ ออกมา
เขาทนไม่ไหวคิดอยากจะเอาข่าวนี้บอกต่อกับซูอวี้ถงเพื่อนหญิง ของตนเอง
ทว่าขณะที่ล้วงเอาโทรศัพท์ออกมา ก็คิดไปถึงคําพูดของอธิบดีซู ฮั่นเหว่ย และได้เกิดอาการลังเลขึ้นมา
ทว่าท้ายสุด เขายังคงกัดฟันและโทรออกไปยังหมายเลขที่คุ้นเคย
แต่ว่า อีกฝ่ายยังคงเงียบฉี่ ไม่มีคนรับสาย
หลังจากการโทรติดต่อกันสามถึงสี่ครั้ง ใบหน้าของหวางซืออู่จึง ปรากฏความทุกข์ขึ้นมา
…
…
“อธิการซู ท่านนี้คือรองผู้บัญชาการฝ่ายสนับสนุนเชิงกลยุทธ แห่งชาติฟ่านจู่อั๋ง”
ในการเดินทางมายังวัดหรานเติง ในรถบัสขนาดกลางสีเหลืองครีม ที่มองผิวเผินแล้วธรรมดาๆ ซูชั่วในเครื่องแบบทหาร บุคลิกองอาจในท่า ทํางานราชการ แนะนําชายหนุ่มที่นั่งอยู่แถวหลังให้กับซูฮั่นเหว่ย
ซูฮั่นเหว่ยรู้สึกเครียดเล็กน้อย
เขาไม่คิดเลยว่า นายทหารระดับสูงที่มีชื่อคนนี้ จริงๆ แล้วยังดูอายุ น้อยอยู่มาก น่าจะประมาณสามสิบกว่าเท่านั้น ศีรษะผมสั้นหนาแน่น ใบหน้าเหลี่ยม ตาโตคิ้วเข้ม ขอบมุมแบ่งชัดเจน ค่อนข้างน่าเกรงขาม มี ความรู้สึกเป็นทหารที่มีความหนักแน่นและพลัง
“เคารพท่านผู้นํา” ซูฮั่นเหว่ยทําวันทยาวุธที่ไม่ค่อยจะได้ มาตรฐานนัก
ฟ่านจู่อั๋งทําวันทยาวุธกลับด้วยความเป็นมาตรฐานสูงสุด จากนั้น ได้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านอธิการไม่ต้องเป็นพิธีมากนัก ผมมาครั้งนี้ เพียงแค่จะมาหาคนคนหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่การเดินทางส่วนตัว ดังนั้น จึงไม่ได้แจ้งมา รบกวนท่านอธิการซูเสียแล้ว”
“นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทําอยู่แล้ว” ซูฮั่นเหว่ยยังคงอดเครียดไม่ได้
ฟ่านจู่อั๋งตอบกลับ “อธิการซู ท่านทํางานที่เมืองเป่าจีมาสิบห้าปี แล้ว เคยได้ยินว่าอาจารย์หลี่ในวัดหรานเติงก่อนหน้านี้เคยเลี้ยงเด็ก กําพร้าคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่มู่ไว้บ้างหรือไม่?”
ซูฮั่นเหว่ยคิดอย่างตั้งใจ รีบร้อนตอบกลับ “มีคนชื่อนี้อยู่จริงๆ ตอนนั้นเขามีชื่อเสียงมากในอําเภอรอบๆ เมืองเป่าจีเกี่ยวกับเรื่อง ชัยภูมิฮวงจุ้ย งานมงคลงานฌาปนกิจ…ที่ส่านเป่ยประชาชนล้วนชอบที่ จะทําเรื่องสิริมงคลเหล่านี้ แต่ก็ไม่ใช่เป็นพวกหัวโบราณงมงายอะไร ส่วนหลี่มู่คนนี้ผมก็คุ้นๆ อยู่ เขาเป็นเด็กที่ฉลาดมากคนหนึ่ง แต่ว่าเมื่อ ห้าปีก่อนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เหล่าประชาชนในหมู่บ้านวัด หรานเติงยังมาแจ้งความเรื่องนี้ ทางสาขาก็ได้กระจายกําลังตํารวจออก ค้นหา น่าเสียดายที่ต่อมาก็หาตัวไม่เจอ”
ฟ่านจู่อั๋งมองซูชั่วที่อยู่อีกด้าน พยักหน้าเล็กน้อย
เช่นนั้นก็ถูกแล้ว
ก่อนที่จะมา หน่วยทหารแน่นอนว่าจะต้องทําการตรวจสอบข้อมูล ของหลี่มู่คนนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไร พอได้คุยกับซูฮั่นเหว่ยก็สามารถ ยืนยันอ้อมๆ ได้แล้วว่ามีหลี่มู่คนนี้อยู่จริงๆ หนําซ�าเรื่องเวลายังสามารถ เทียบได้กับเรื่องของหลี่มู่ที่พูดมาก่อนหน้าด้วย
“ท่านผู้นํามาหาตัวอาจารย์หลี่หรือ?” ซูฮั่นเหว่ยทักขึ้นด้วยเจตนา ดี “สามปีก่อนหน้า อาจารย์หลี่ได้ออกไปจากหมู่บ้านวัดหรานเติงแล้ว ว่ากันว่าออกไปท่องโลกกว้าง ตอนนี้น่าจะไม่อยู่”
“ไม่ มาหาหลี่มู่น่ะ แน่นอนว่าถ้าได้เจออาจารย์หลี่ด้วยจะยิ่งดี” ฟ่านจู่อั๋งหัวเราะตอบกลับมา
“อ๋า มาหาหลี่มู่? หาเขาทําไมหรือ? แล้วเขากลับมาแล้วหรือ?” ซู ฮั่นเหว่ยถามขึ้นมา
ซูชั่วมองน้องชายตนเองคนนี้ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม”
ซูฮั่นเหว่ยตะลึงไป รีบร้อนพยักหน้าตอบกลับ “ครับๆๆ”
เขากลัวพี่สาวคนนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนี้ผ่านไปสามสิบปี ไม่คิดว่า พี่สาวจะยังคงเป็นสาวอยู่เช่นนี้ เหมือนกับเมื่อสามสิบปีก่อนไม่ ผิดเพี้ยน ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่าที หน้าตาน�าเสียงเป็นเช่นนั้นที่ เหมือนกันอย่างกับแกะ ซูฮั่นเหว่ยคงจะเข้าใจว่าหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ จริงๆ แล้วเป็นลูกสาวของพี่สาวแน่ๆ
…
…
“แกคือหลี่มู่หรือ?”
ประตูวัดหรานเติง คนนับสิบสวมเสื้อผ้าหน้าตาไม่เหมือนกัน ตั้ง แถวหน้ากระดาน ล้วนกําลังพิจารณาหลี่มู่ที่เพิ่งจะกลับเข้ามา
ในที่สุดก็กลับมาเสียที
คนบางส่วนรําคาญไปแล้ว
สายตามากมายจับจ้องไปที่ร่างของหลี่มู่ จ้องอย่างละเอียด พิจารณา
รูปร่างสูงจนทําให้คนที่มองตาเป็นประกาย ดูคล่องแคล่วกว่าคน ทั่วไปอยู่บ้าง ทั้งตัวสวมชุดกีฬาสีดําแสดงบุคลิกองอาจชัดเจน แต่ก็ เพียงเท่านี้ นับได้ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดูไม่เลวคนหนึ่ง ทั่วตัว บนล่างมองไม่ออกถึงจุดที่พิเศษอื่นๆ เลย
คนส่วนหนึ่งมีประกายผิดหวังในดวงตา
และมีคนสั่นศีรษะ ราวกับว่ารู้สึกเสียใจกับการที่ตนเองต้องชักธง เคลื่อนพลมาก่อนหน้า
คนธรรมดาคนหนึ่งเช่นนี้ ในสายตาพวกเขาไม่มีค่าให้พูดถึงเลย
“ปู่ของแกล่ะ? ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนแล้ว?” ชายกลางคนสวมชุดถัง เอ่ยปากขึ้นด้วยน�าเสียงที่ไม่มีความเกรงใจ
“ไอ้หนุ่ม บอกมาเถอะ ปู่ของแกให้แกกลับมาเพื่อทําอะไร?” “กระดูกมังกรไปซ่อนเอาไว้ที่ไหนแล้ว?” คนสิบกว่าคน พูดขึ้นมาด้วยน�าเสียงบีบคั้น สายตาของหลี่มู่กวาดดูบนร่างของคนเหล่านี้ ผิดหวังเล็กน้อย พวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น
ว่าตามหลักการ คนเหล่านี้ไม่น่าจะคุกคามจนซินแสเฒ่าต้อง ออกไปจากวัดหรานเติงได้เลย
“น้องชาย เธอไม่ต้องกลัว บอกพี่สาวมาเถอะ ว่าปู่ของเธอไปอยู่ที่ ไหน ดีไหมจ๊ะ?” สาวสวยปากแดงร้อนแรง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่สามารถ ทําให้ผู้ชายบริสุทธิ์มากมายต้องใจเต้นไม่เป็นส�า เดินรูปร่างพลิ้วเข้ามา หา เอ่ยต่อว่า “ขอแค่เธอบอกพี่สาว พี่สาวจะสอนเธอยิงปืนดีไหม?”
ฝ่ามือขาวนวลของเธอสว่างวาบ ‘ซูเปอร์เรดฮอว์ค’ สีแดงชาด กระบอกหนึ่งก็เหมือนกับเป็นลูกข่างที่เชื่อฟังอย่างไรอย่างนั้น หมุน คว้างอยู่ระหว่างนิ้วทั้งห้า น�าเสียงเต็มไปด้วยความยั่วยวน
คนบางส่วนใบหน้าปรากฏแววเสียดสี รอให้ชายหนุ่มคนนี้หน้า แตก
เสน่ห์และการยั่วยวนของแม่หม้ายดํามีชื่อเสียงกระฉ่อน ไม่รู้ว่าทํา ให้คนดังมากมายเท่าไรต้องหมอบราบอยู่ใต้กระโปรงสั้นนี้ ลุ่มหลงจน จิตวิญญาณพังทลายถอนตัวไม่ได้ เสน่ห์ของสาวสวยเต็มวัยเช่นนี้ ไม่ใช่ สิ่งที่ชายหนุ่มไม่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิงอย่างหลี่มู่จะต้านทานไว้ได้
แต่ทว่า สิ่งที่ทําให้พวกเขาประหลาดใจก็คือ ใบหน้าของหลี่มู่ไม่ได้ ปรากฏสีหน้าอะไรเลย สงบนิ่งราวกับผิวทะเลสาบที่ถูกน�าค้างแข็งแช่ แข็งไปอย่างไรอย่างนั้น
“พวกแกมาหาคุณปู่ทําไม?” หลี่มู่เอ่ยปาก จ้องมองสาวสวยปาก แดงร้อนแรงอย่างใจเย็น
สาวสวยคนนี้ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมา
เธอรู้สึกเกิดคาดเล็กน้อย
ดังนั้น สาวสวยคนนี้จึงยิ้มและเข้าใกล้อีก ลมหายใจราวกล้วยไม้ ร่างกายอวบอัดยิ่งล่อลวงให้คนทําผิดมากขึ้น เอ่ยว่า “น้องชาย ทําไมจึง เย็นชาเป็นน�าแข็งเช่นนี้ล่ะ หรือว่าพี่สาวยังสวยไม่พอ? คิกๆ พี่มาหาปู่ ของเธอ ก็แค่อยากจะทําธุรกิจกับตาแก่นั่นเท่านั้น…”
เสียงยังไม่ทันขาด
หลี่มู่อยู่ในสีหน้าผิดหวังเกินจะทนมองไปยังคนอื่นๆ เอ่ยว่า “สาม คําถาม จะถามแค่ครั้งเดียว พวกแกคว้าโอกาสไว้ให้ดี ข้อหนึ่ง กระดูก มังกรคืออะไร? ข้อสอง พวกแกมาหาปู่ของฉันทําไม? ข้อสาม ใครให้ พวกแกมาหาปู่ของฉัน?”
“ไอ้หนู นี่กล้าย้อนถามพวกเราหรือ? โง่เง่า ยังไม่รู้สถานการณ์อีก หรือไร?” นักพรตหน้าม้าจากอารามเมฆาเคลื่อนเดินออกมา จ้องมองห ลี่มู่ ยกมือขึ้น แสงสว่างสายหนึ่งพุ่งออกมา
ดาบเล่มหนึ่งพุ่งเฉียดข้างหูหลี่มู่ไป ตอกติดอยู่กับไม้ด้านหลัง ลึกลง ไปสามนิ้ว ส่วนท้ายสั่นวึงๆ ราวกับลูกปืนก็มิปาน
“ตอบคําถามพวกเราอย่างว่าง่ายดีกว่า มิเช่นนั้น ดาบบินครั้ง ต่อไปจะพุ่งไปที่ตาซ้ายของแก” นักพรตหน้าม้าเอ่ยขึ้นเสียงเหี้ยม เกรียม
…………………………………