จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 497 หมั้นหมาย
เมืองเป่าจี โรงแรมสวนนิเวศไป่เหอ
โรงแรมชั้นเลิศที่ดีที่สุดในเมืองเป่าจี ตั้งอยู่ที่ถนนสี่เขตซินเกาซิน การจัดวางดูมีลักษณะที่แตกต่าง เข้าไปด้านในราวกับเข้าสู่สวนโบราณ เมืองซูโจว สายน�ารินไหล ภูเขาต้นไม้จําลอง อากาศสดชื่น คุณภาพขอ งบริกรต้อนรับสาวก็ล้วนอยู่ในระดับทําเอาตาเป็นประกาย
ในห้องเหมา ‘ต้นเหมยเดือนสอง’
ครอบครัวของหวางซืออู่ กําลังจัดงานเลี้ยงขอบคุณหลี่มู่
“ท่านลุงท่านป้าเกรงใจมากเกินไปแล้วจริงๆ ไม่เห็นต้องเลี้ยงอะไร ขนาดนี้เลย” หลี่มู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาเดิมทีแค่คิดจะมาทักทาย และถ่ายทอดวิชาให้เล็กน้อย ไม่คิดว่าคู่สามีภรรยาหวางเจิ้งกับพี่ชาย หวางซืออู่จะจัดงานเช่นนี้ออกมา
“บุญคุณของการให้ชีวิต ก็ราวกับให้กําเนิดชีวิตใหม่(แสดงความ ขอบคุณ)” หวางเจิ้งเป็นปัญญาชน ใช้คําแต่งประโยคค่อนข้างโบราณ เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวมู่ เธอคือผู้มีบุญคุณอันใหญ่หลวงของครอบครัวเรา”
ไป๋หรูกลับเอาแต่คอยคีบอาหารให้หลี่มู่ เอ่ยว่า “มา เสี่ยวมู่ กิน เยอะๆ”
หวางซืออู่เอ่ยขึ้นพลางยิ้ม “แม่ เสี่ยวมู่อยู่ตั้งระดับเซียน จะมีอะไร ไม่เคยกินบ้าง แม่อย่าคีบอาหารมั่วซั่วสิ”
ไป๋หรูจ้องตาขาวไปทางลูกชายผาดหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเด็กน้อยไม่รู้ อะไร อาหารที่แม่สั่งวันนี้ล้วนเป็นของที่เสี่ยวมู่ชอบกินทั้งนั้น”
หลี่มู่หัวเราะตอบกลับ “ผมก็แปลกใจอยู่ มองดูอาหารบนโต๊ะก็ เป็นของที่ผมชอบทั้งนั้นจริงๆ ฮ่ะๆ คุณป้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
ไป๋หรูตอบ “แต่ก่อนตอนเสี่ยวอวี่ยังอยู่น่ะนะ รําพันถึงเธอหลาย ต่อหลายครั้ง ตอนเขาเลิกเรียนกลับมาบ้านแล้วเล่าเรื่องที่โรงเรียน ชื่อ ที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คือเธอนั่นล่ะ แม่ฟังมาเยอะจนรู้จักตัวเธอไปแล้ว”
หลี่มู่เมื่อได้ยิน ในใจก็สูบฉีดเล็กน้อย
เอาจริงๆ สําหรับเรื่องที่หวางซืออวี่เลือกอยู่ต่อที่แผ่นดินใหญ่เสิน โจวเพื่อฝึกวิชา ในใจของหลี่มู่ยังรู้สึกคับอกคับใจอยู่บ้าง
ทว่าตอนนี้เมื่อได้ยินไป๋หรูพูด ความคับอกคับใจนั่นก็มลายหายไป ในพริบตา
ถึงอย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ ตอนอยู่ที่โรงเรียนทั้งคู่ก็เข้าใกล้กัน มากที่สุด มีเรื่องพูดระหว่างกันมากมายไม่มีหมด จะใช้คําว่า ‘หนุ่มสาว ใสซื่อที่เติบโตมาด้วยกัน’ มาพรรณนาก็คงจะไม่เกินเลยนัก ความรัก ระหว่างเด็กชายตัวน้อยกับเด็กหญิงตัวน้อย ความรู้สึกที่ปลายนิ้วมา แตะกันก็หน้าแดงใจเต้นโครมครามอันงดงามเหล่านั้น ช่างทําให้น่าถวิล หาเสียเหลือเกิน
ก็คงเป็นรักแรกกระมัง?
ความรู้สึกรักแรก จะลืมเลือนไปได้อย่างไร มันสลักฝังลึกอยู่ในใจ เลยนา
“เสียวอู่ ถงถงวันนี้ทําไมถึงไม่มาล่ะ?” ไป๋หรูเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยถามลูกชายตนเอง
ใบหน้าหวางซืออู่ มีความเคร่งเครียดและเจ็บปวดแสดงออกมา แวบหนึ่งแล้วหายไป ฝืนยิ้มตอบกลับว่า “ถงถงวันนี้เข้าเวร ลามาไม่ได้ ช่วงนี้ที่หน่วยงานยุ่งมาก ผู้นําหลายคนก็ต้องเข้าเวรเหมือนกัน”
หลี่มู่เมื่อเห็นและได้ยิน ก็เข้าใจว่ามีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น
แต่ว่าเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวมันซับซ้อนนัก เขาจะถามก็คง ไม่ดีนัก
ไป่หรูยังคงอยู่ในความสุขที่สามีหายดีและได้ข่าวคราวของลูกสาว จึงไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก เข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงและเอ่ยต่อ “โอ้ ไม่ เจอถงถงหลายวันแล้ว คิดถึงเขาจริงๆ…เจ้าเด็กน้อยอย่างเรา อย่าเอา แต่คิดว่าชายเป็นใหญ่ ดีกับถงถงเสียบ้าง เด็กสาวที่ดีอย่างถงถง ในตอนนี้มีไม่มากแล้วจริงๆ เรามันโชคดีขนาดไหนแล้ว”
หวางซืออู่ตอบกลับอย่างจนใจ “เอาล่ะเอาล่ะ แม่ ผมรู้แล้ว”
“เด็กคนนี้นี่…” ไป๋หรูเอ่ยขึ้นอย่างโมโห
ในห้องเหมามีทั้งเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะ
หลี่มู่พูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหวางซืออวี่ออกมาบางครั้ง ทั้ง ครอบครัวล้วนฟังจนจิตใจลอยไปหา
ดื่มสุราไปสามรอบ ไป๋หรูลุกขึ้นเพื่อไปเข้าห้องน�า
หวางซืออู่ดื่มไปหลายแก้ว ตบโต๊ะเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวมู่ สถานที่นั้นที่ เธอเล่ามาดูเป็นโลกที่น่าไปอยู่จริงๆ คนธรรมดาสามารถฝึกฝน สามาร กลายเป็นเซียนได้ ถ้าพี่อยู่ที่โลกใบนั้นก็คงจะดี….เฮ้อ…” พูดจบก็ กระดกแก้วสุราลงไปอย่างแรง
หลี่มู่ยิ้มๆ เอ่ยขึ้นว่า “วันหลัง ไม่แน่อาจจะมีโอกาสได้ไป จริงๆ วันนี้ที่ผมมา ก็คิดอยากจะมาสอนวิธีการหายใจบางส่วนกับทุกคน เมื่อ
ฝึกไปนานวันเข้า ไม่เพียงแต่สามารถทําให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่ยัง สามารถขจัดโรคภัย การจะยืดอายุยาวไปจนถึงร้อยปีอย่างสบายๆ ก็ ไม่ใช่ปัญหา”
หวางเจิ้งที่อยู่อีกด้านเมื่อได้ยินก็มีสีหน้าตกตะลึง “นี่…..มหัศจรรย์ เช่นนั้นเลยหรือ?”
หลี่มู่ตอบ “แน่นอนครับ นี่เป็นวิชาของเหล่าเซียนเลย”
ขณะที่พูดคุยกัน จู่ๆ ประตูห้องเหมาได้เปิดออก
มองเห็นไป๋หรูมีสีหน้าผิดปกติเดินเข้ามา แถมดูจะโกรธหน่อยๆ เสียด้วย ทิ้งตัวนั่งลงจ้องมองลูกชายตนเอง อยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้
“แม่ มีอะไรหรือ?” หวางซืออู่ถามขึ้นจากการสังเกตสีหน้า
ไป๋หรูมองไปยังหลี่มู่ จากนั้นมองไปยังสามี ท้ายสุดกลับมามองหวา งซืออู่ เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวมู่ก็ไม่ใช่คนนอก แม่ก็จะพูดเลยแล้วกัน เสียวอู่ แม่ถามเรานะ เรากับถงถงเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น? ทะเลาะกันจนเข้ากัน ไม่ได้หรือเปล่า? หรือว่า…”
หวางซืออู่ตกตะลึง สีหน้าเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ ตอบว่า “แม่ ไม่มี อะไรทั้งนั้นแหละ แม่พูดอะไรน่ะ…”
“ยังคิดจะโกหกแม่อีกหรือ?” ไป๋หรูเอ่ยต่อ “เมื่อครู่แม่ออกไป เห็น ข้างในห้องเหมาหมายเลขหนึ่งฝั่ งตรงข้าม ไป๋หรูกําลังดื่มสุราอยู่กับอีก คนหนึ่งอยู่(น่าจะพิมพ์ผิด ควรจะเป็นถงถง) ครอบครัวของเขาก็อยู่ด้วย ดูแล้วเหมือนการหมั้นหมายกันอย่างไรอย่างนั้น แม่ยังเห็นหัวหน้ากรม ของพวกเธอด้วย อธิการซูอะไรนั่น…ลูกไม่ใช่บอกว่าไป๋หรูเข้าเวรอยู่ หรือ(นี่ก็น่าจะพิมพ์ผิด ควรจะเป็นถงถงครับ)?”
สีหน้าหวางซืออู่ขาวซีดไปทันที ลุกพรวดยืนขึ้น แต่เหมือนกับฉุก คิดอะไรขึ้นได้ สีหน้าห่อเหี่ยว ค่อยๆ ทิ้งตัวลงกลับมานั่ง
ตอนนี้เอง หวางเจิ้งเห็นว่าบางอย่างผิดปกติ วางแก้วสุราลง “เสียว อู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ตอนนี้เอง พนักงานด้านนอกได้นําอาหารเข้ามา
หลี่มู่ฉุกขึ้นในใจ เอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว ด้านในห้องเหมา หมายเลขหนึ่งฝั่ งตรงข้ามเป็นใครหรือ? เขามาทําอะไรกัน?”
พนักงานอายุราวสิบแปดสิบเก้าปี หน้าตาสะสวย เหมือนจะเป็น นักศึกษาที่มาทํางานพิเศษ
เมื่อได้ยินหลี่มู่ถาม เดิมทีก็คิดที่จะปฏิเสธอ้อมๆ ถึงอย่างไรใน โรงแรมก็มีกฎอยู่ แต่ทว่าพอสบตากับอีกฝ่าย ความรู้สึกก็เปลี่ยนไป ทันที
เธอรู้สึกว่ารอยยิ้มของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างเจิดจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ ตอนกลางวัน ในดวงตาราวกับมีเพชรน�างาม หน้าแดงใจเต้นขึ้นมา อย่างไม่รู้สาเหตุ ลืมเรื่องอื่นไปหมดสิ้น และอ้าปากเอ่ยออกมา “เป็นคน จากสองครอบครัวกําลังหมั้นหมายกันค่ะ ได้ยินว่าครอบครัวฝั่ งหนึ่ง เป็นเศรษฐีจากนอกพื้นที่ อีกบ้านหนึ่งเป็นหลานสาวของอธิการกรม ตํารวจ ดูคึกครื้นมาก เถ้าแก่ของโรงแรมเรายังไปชนแก้วด้วยตนเองเลย …”
หลี่มู่พยักหน้า ตอบว่า “ขอบคุณพี่สาว คุณสวยมากจริงๆ”
พนักงานหญิงหน้าแดงถึงใบหู ไม่กล้าจะสบตาหลี่มู่ต่อ รีบร้อนเดิน ออกจากห้องเหมา ในใจเหมือนกับกวางน้อยที่กระโดดชนนั่นนี่อย่างไร อย่างนั้น
เธอยืนอยู่ด้านนอกห้องเหมา หายใจลึกหลายครั้ง ในใจยังคงอดคิด ไม่ได้ ชายหนุ่มเมื่อครู่นี้มองแล้วก็เพียงแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี แต่ช่างดูดี จริงๆ หนุ่มหล่อที่สมบูรณ์ มารยาทก็ดีงาม ถ้าหากถามวีแชทเขามาได้ ล่ะก็…
ในห้องเหมา
หวางซืออู่เมื่อได้ยิน ‘หมั้นหมาย’ สองคํานี้ ทั่วทั้งตัวก็เหมือนกับ ถูกสูบเอาพลังไปทั้งร่าง สองมือจับผมของตนเอง ก้มศีรษะฝังอยู่บน โต๊ะอาหาร ใจวุ่นวายชนชาดิก
หวางเจิ้งและไป๋หรูเมื่อเห็นลูกชายเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนจะเข้าใจ อะไรขึ้นมา
ดูท่าลูกสะใภ้ในอนาคตจะบินหนีไปเสียแล้ว
แต่ว่า เรื่องนี้มันกะทันหันเกินไปไหม?
ห้าวันก่อน ถงถงยังมาเยี่ยมหวางเจิ้งที่โรงพยาบาลอย่างมีมิตร ไมตรีอยู่เลย ไม่มีเค้าลางว่าจะเลิกกันเลยนี่นา เด็กสาวที่ดีขนาดนี้ ทําไม จู่ๆ จึงได้ไปหมั้นหมายกับคนอื่นได้กัน?
“เสียวอู่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ไป๋หรูมองลูกชายถามขึ้น “ลูกได้…ไป ทําอะไรไม่ดีกับถงถงหรือเปล่า?”
หวางเจิ้งก็จ้องมองลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หวางซืออู่สั่นศีรษะตอบกลับ “แม่ แม่ไม่ต้องถามแล้ว ลูกมันไม่ได้ เรื่องเอง ถงถงเขาก็ถูกบังคับให้ทําเช่นนี้ ผม…เฮ้อ..” ตํารวจประชาชน ที่ยอดเยี่ยมคนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวตรงหน้า ก็ยังรู้สึกลึกๆ ว่า ตนเองนั้นช่างไร้ซึ่งพลัง
ในตอนนี้เอง จู่ๆ ประตูห้องเหมาได้ถูกเปิดจากด้านนอก
ร่างอ้วนเตี้ยร่างหนึ่ง ชายอ้วนจมูกแดงในชุดสูทรองเท้าหนังเดิน เข้ามาจากด้านนอก
สายตาของเขากวาดดูรอบหนึ่ง ท้ายสุดได้หยุดลงที่ตัวของหวางซือ อู่ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มดูถูก “เอ๋ เสี่ยวหวาง แกอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย ตอนแรก นึกว่าตาฝาดเสียอีก มาๆๆ วันนี้เป็นวันดีวันหมั้นหมายของถงถง ไป ด้วยกันกับฉัน ชนกันสักแก้ว อธิการซูก็อยู่ด้วย…”
พูดพลางเดินเข้ามาดึงตัวหวางซืออู่
หวางซืออู่สีหน้าห่อเหี่ยว และโมโหอยู่หน่อยๆ ตอบว่า “หม่าเจิ้น? นายหมายความว่าอะไร?”
ชายอ้วนหัวเราะหึหึ เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง “ไม่ได้ หมายความว่าอะไร ทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน ฉันก็แค่มาช่วยแกนะ มาเรียก แกไปชนด้วยกันสักแก้วเท่านั้นเอง ไปโผล่หน้าให้หัวหน้าเห็นหน่อย หน่า จะว่าไป แกกับถงถงก็เคยมีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้ถึงแม้จะปีน ขึ้นไปอยู่ที่สูงกว่าแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีดีให้อยู่น่า การจะไปอวยพร เสียหน่อยมันก็เป็นเรื่องแน่นอนไม่ใช่หรือ…เหอๆ ว่าอย่างไร? อัจฉริยะ ในครั้งนั้น กระทั่งแค่นี้ก็ยอมอภัยให้ไม่ได้หรือ?”
หวางซืออู่ยืนขึ้น เอ่ยตอบออกมา “ได้ ไปก็ไป”
“เสียวอู่…”
“ลูก…”
ไป๋หรูและหวางเจิ้ง ล้วนมองไปที่หวางซืออยู่อย่างกังวล
พวกเขารู้อยู่ลึกๆ ว่าลูกชายนั้นมีความรู้สึกต่อถงถงมากเพียงใด
หลี่มู่ที่อยู่อีกด้าน ในตอนนี้เองก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้น่ากลัวว่า จะมีเบื้องลึก เขารุ้สึกได้ตั้งนานแล้ว ในห้องเหมาหมายเลขหนึ่ง มีคน หลายที่คนบนร่างมีคลื่นพลัง ‘อ่อนแอ’ อยู่ ดูแล้วน่าจะเป็นคนจากยุทธ จักร
แน่นอน ความอ่อนแอนี้ เป็นสําหรับในสายตาของหลี่มู่
สําหรับคนจากยุทธจักรบนโลกใบนี้ ยอดฝีมือจากยุทธจักรในห้อง เหมาหมายเลขหนึ่งทั้งสองคนถือว่าแข็งแกร่งมาก น่าจะอยู่ในระดับแรง แปรเปลี่ยน เมื่อเทียบกับยอดฝีมือยุทธจักรส่วนใหญ่ที่มาสกัดกั้นในวัด หรานเติงวันนั้น ยังแข็งแกร่งกว่าขั้นหนึ่ง
“พี่เสียวอู่นั่งเถอะ ไม่ต้องไป” หลี่มู่เอ่ยปากขึ้น “เรื่องนี้ ผม แก้ปัญหาแทนพี่เอง”
หวางซืออู่เมื่อเห็นหลี่มู่พูดขึ้น ในใจลิงโลด รีบร้อนนั่งลง
ตอนนี้ ความศรัทธาที่เขามีต่อหลี่มู่ อยู่ในระดับที่ไม่สามารถเพิ่ม เข้าไปได้อีกแล้ว
ก่อนหน้า เขาก็เคยคิดจะให้หลี่มู่ช่วยเหลือ แต่เมื่อคิดไปคิดมา อีก ฝ่ายเป็นถึงคนระดับไหน ว่ากันว่าเป็นถึง ‘คนระดับเซียนเทพ’ ยิ่งไป กว่านั้นอํานาจเบื้องหลัง ว่ากันว่าสามารถติดต่อสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงดับ เอาความคิดนั้นไป เพื่อที่จะไม่สร้างความลําบากให้หลี่มู่
สําหรับหวางซืออู่แล้ว หลี่มู่รักษาบิดาตนที่กําลังร่อแร่จนหาย สําหรับครอบครัวเขาก็ถือว่าเป็นบุญคุณอันล้นพ้น แล้วจะเอาเรื่อง ส่วนตัวของตนเองไปสร้างความลําบากให้กับหลี่มู่อีกได้อย่างไร
“น้องชาย มาจากไหนกันนี่?” หม่าเจิ้นจมูกแดงสีหน้าเปลี่ยน เอ่ย ขึ้นว่า “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับแกด้วยหรือ?”
หลี่มู่สั่นแก้วสุราเบาๆ ไม่แม้แต่จะมอง เอ่ยขึ้นว่า “แกจะออกไป เอง หรือให้ฉันโยนแกออกไป?”
สําหรับคนธรรมดาแล้ว หลี่มู่ไม่ได้มีความคิดที่จะลงไม้ลงมือเพื่อ สั่งสอนแม้แต่น้อย
“แก…” ชายอ้วนจมูกแดงหม่าเจิ้นเดือดดาล แต่เมื่อเห็นรูปร่าง ท่าทีหลี่มู่ ดูลักษณะแข็งนอกอ่อนใน หัวเราะเย็นชาขึ้นว่า “ได้ เจ้าเด็ก น้อย น�าภูเขาก็ยังบรรจบกันได้ พวกเราค่อยดูกันไป…” เขามองไปทาง
หวางซืออู่ ประชดประชันขึ้น “แค่ผู้หญิงของตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ ถ้า ฉันเป็นแกนะ จะไปซื้อเต้าหู้มาสักก้อนแล้วเอาหัวโขกให้ตายไปเสีย” พูดจบจึงหันหลังเดินออกไป กลับไปยังห้องเหมาหมายเลขหนึ่ง
…………………………………