จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 508 สํานักเทวินทร์
ฮ่าห์!
ทหารน้อยเซียวตงยืนรับแสงแรกอรุณบนสนามรอบนอกสนาม ประลองที่สร้างเสร็จแล้ว กําลังฝึกกระบวนท่าอย่างตั้งใจ กระบวนท่า นั้นง่ายมาก เป็นกระบวนท่าที่พัฒนามาจาก ‘หมัดยุทธ์แท้’ นั่นเอง เมื่อ ครึ่งเดือนก่อน หน่วยต้นสังกัดอนุมัติคําร้องของเซียวตง ตอนนี้เขาเป็น ลูกศิษย์ยกน�าชาของหลี่มู่อย่างเป็นทางการแล้ว
แสงอรุณรุ่งสีทองสาดส่องมายังร่างของเซียวตง
เขายังคงดํารงฐานะทหารของตน ท่อนล่างสวมกางเกงทหาร ท่อน บนเปล่าเปลือย บนผิวหนังมีหยาดเหงื่อโทรมกาย ฝึกฝนอย่างตั้งใจมาก
สนามต่อสู้ห่างจากฐานปล่อยดาวเทียมประมาณสี่สิบลี้ วันที่สร้าง เสร็จ ประธานาธิบดีก็ได้มาปรากฏตัวขึ้น สื่อโทรทัศน์ได้มาทําการ ถ่ายทอดสด รัฐบาลมีความคิดจะให้นิยามของยุทธจักรเผยแพร่ไปใน ประชาชนธรรมดา จึงทําการบ้านในด้านนี้ไปไม่น้อย แต่เดิมหลี่มู่ก็ต้อง มาปรากฏตัวด้วย แต่เขาปฏิเสธไป เขาไม่อยากอวดอ้างตัวเองนัก
และในตอนนี้ เหล่ายอดฝีมือของขั้วอํานาจน้อยใหญ่ต่างๆ ที่มา จากทั่วประเทศก็เข้ามาพักในโรงต่อสู้แล้ว
ต้องบอกว่านโยบายลงทะเบียนสํานักในยุทธจักรที่เริ่มตั้งแต่เมื่อปี ที่แล้วเกิดประสิทธิภาพอย่างมาก เวลาหนึ่งปี รัฐบาลเข้าใจในยุทธจักร อย่างถ่องแท้
คนในยุทธจักรในประเทศรวมแล้วมีหลายหมื่นคน แต่ในนั้น คนที่ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือ มีคุณสมบัติมายังสนามต่อสู้ใน ทะเลทรายแห่งนี้มีไม่ถึงห้าพันคน มีสํานักประมาณสามร้อยกว่าสํานักที่ พูดได้ว่าอัตราการตกรอบสูงมาก
สนามประลองแบ่งเป็นเขตที่พัก เขตสนามกีฬา เขตสนามประลอง เขตโรงอาหาร เขตบันเทิง ออกแบบได้เหมาะสม จุดประสงค์ชัดเจน
ตอนนี้ เขตที่พักที่สามารถรองรับคนได้สองหมื่นคนคึกคักเป็น อย่างมาก เสียงจ้อกแจ้กจอแจ
คนในยุทธจักรบางคนเห็นเซียวตงกําลังฝึกฝน ‘วิชาหมัดธรรมดา’ อยู่บนสนามกีฬาก็อดหัวเราะขึ้นไม่ได้
“นี่มันวิชาหมัดอะไร? มวยวัดหรอ? ทั่วทั้งตัวมีจุดอ่อนเต็มไปหมด ขําจะตายอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มสง่าองอาจสวมชุดกีฬาสีขาวคนหนึ่ง ยืนอยู่ ข้างสนาม หัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
รอบกายเขายังมีเด็กหญิงชายอายุรุ่นเดียวกันอีกห้าหกคน ต่าง หัวเราะคิกๆ คักๆ เช่นกัน
รัฐบาลประกาศยอมรับฐานะของสํานักยุทธจักรอย่างเป็นทางการ ประธานธิบดียังมาปรากฏตัวขึ้นในพิธีเปิดสนามต่อสู้อย่างเป็นทางการ นี่ทําให้คนในยุทธจักต่างตื่นเต้น
“ก็แค่นายทหารธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น น่าจะเป็นพวกพลาธิการ ไม่ก็ทหารรักษาการณ์ละมั้ง มาฝึกที่นี่ทุกวัน ฝึกได้สิบกว่าวันแล้ว แต่ ไปๆ มาๆ ก็แค่สามสี่กระบวนท่านี้เท่านั้น ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น เหมือนกับท่ากายบริหารธรรมดาๆ” เด็กสาวเกล้าผมหางม้าคนหนึ่ง ส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “ฉันว่านะ คงจะเป็นคนในยุทธจักรสายเดียวกัน แนะนําเขาไปอย่างนั้นไม่กี่กระบวนท่า แต่เจ้านี่กลับเป็นจริงเป็นจัง ฝึก ที่นี่ทุกวัน อยากจะเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรล่ะมั้ง พูดได้ว่าโง่สุดๆ ไป เลยล่ะ”
คนอื่นๆ ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
เด็กหนุ่มในชัดกีฬาสีขาวที่เอ่ยปากพูดคนแรกคนนั้นยืดเส้นยืดสาย รู้สึกสนใจขึ้นมา “ไป ไปหยอกเขาเล่นเสียหน่อย”
……
ตอนบ่าย
“หน้าไปโดนอะไรมา?” หลี่มู่เห็นรอยเขียวช�าบนหน้าเซียวตงก็ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม เซียวตงอึกอัก “ตอนฝึกหมัดไม่ทันระวังกระแทกเข้าครับ” หลี่มู่ถามขึ้นว่า “นายคิดว่าฉันหลอกง่ายขนาดนั้น?” เซียวตงรีบตอบ “ไม่กล้า อาจารย์ เป็นเรื่องเล็กน้อย ผม…”
หลี่มู่ส่ายหน้า ลูกศิษย์ของตัวเองคนนี้ซื่อเกินไป อันที่จริงแค่ตน อนุมานเล็กน้อยก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น “คิดว่าวิชาหมัดที่ฉัน สอนให้ธรรมดาราบเรียบมาก เหมือนกายบริหาร ไม่มีความหมายอะไร แม้แต่น้อยใช่หรือไม่?”
เซียวตงรีบส่ายหน้า “ไม่ๆๆ อาจารย์สอนแบบนี้จะต้องมี ความหมายลึกซึ้งแน่นอน เพียงแต่ผมโง่เกินไป ฝึกมาสิบกว่าวันก็ยัง บรรลุจิตสูงสุดในนั้นไม่ได้ ผมโง่เหลือเกิน”
นิสัยของเขาค่อนข้างคล้ายหนิงจิ้ง ซื่อๆ ตรงไปตรงมา คุณสมบัติ กายธรรมดา แต่เวลาฝึกฝนตั้งใจเป็นอย่างมาก เคารพบูชาหลี่มู่ อาจารย์คนนี้ประดุจเทพ
หลี่มู่พูดแกมหัวเราะ “นายอย่าคิดฟุ้งซ่าน ชุดวิชาที่ฉันถ่ายทอดให้ ชุดนี้ นายสามารถสําแดงออกมาเป็นชุดได้ภายในครึ่งเดือนก็นับว่า
เยี่ยมยอดมากแล้ว นี่เป็นวิชาหมัดที่ไม่ได้เอาไว้สู้ ดังนั้นนายถึงสู้เด็ก หนุ่มพวกนั้นไม่ได้ นี่เป็นเรื่องปกติ นายเพิ่งจะฝึกหมัดได้นานแค่ไหน? เขามีมรดกตระกูลเริ่มเรียนมาตั้งแต่เด็ก”
เซียวตงเอ่ยอย่างกระจ่างในทันที “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
หลี่มู่เอ่ยขึ้นอีก “สิบวันหลังจากนี้ งานประลองยุทธ์จะเริ่มขึ้นอย่าง เป็นทางการแล้ว สํานักน้อยใหญ่ที่เข้าพักในสนามต่อสู้ก็จะเริ่มประลอง ยุทธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หาตัวเจ้าแห่งยุทธจักร ฉันช่วยนายสมัครไปแล้ว ถึงตอนนั้นนายก็เข้าร่วมจะได้ฝึกฝนไปด้วย”
“หา? แต่ว่า…” เซียวตงตกใจ “แต่ว่าศิษย์ยังฝึกไม่สําเร็จ พลังต�า ต้อย กลัวว่าถึงตอนนั้นจะทําให้อาจารย์ขายหน้า”
เมื่อครู่ ขนาดเด็กหนุ่มไม่กี่คนพวกนั้นเขายังสู้ไม่ได้ ถูกอัดเสียหน้า บวมช�าจมูกเขียว
หลี่มู่หัวเราะ “ไม่เป็นไร ถึงตอนนั้นนายก็สู้ได้แล้ว”
เซียวตงสงสัยใคร่รู้ แต่ก็ฟังคําจัดการของหลี่มู่
หลี่มู่เอ่ยขึ้นอีก “วันนี้เด็กพวกนั้นใช้กระบวนท่าอะไรคว�านาย จํา ได้หรือเปล่า?”
เซียวตงตอบ “จําได้ครับ” ว่าแล้วก็สําแดงให้หลี่มู่ดู
เขาได้พลังวิญญาณในตาของเหยี่ยวตาสีทองตัวนั้น ไม่ใช่แค่ตาดี ขึ้นเท่านั้น ความจําก็แม่นยําขึ้น โดยเฉพาะกระบวนท่า ท่าทางวิถียุทธ์ แทบจะเห็นแล้วไม่ลืม เขาแสดงกระบวนท่าของเด็กหนุ่มชุดขาวในวันนี้ ขึ้นรอบหนึ่งตามคําขอของหลี่มู่
“ไม่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ น่าจะเป็นลูกศิษย์ของสํานักใหญ่อะไร สักสํานัก” หลี่มู่เอ่ย “นายดูให้ดี ฉันจะสอนวิธีแก้หมัดให้ ใช้วิชาหมัดที่ นายฝึกในช่วงสามสี่วันนี้ก็ทําได้”
หลี่มู่ชี้แนะ
……
สนามต่อสู้ เขตที่พักสํานักเทวินทร์ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าลงมือกับคนอื่นอย่างนั้นรึ?”
วิชาเรียนยามบ่ายจบลง เจ้าสํานักเทวินทร์ลู่เฮ่าหรานผมยาวสีเงิน ยวงทั้งศีรษะ มือถือถ้วยชา มองหลานชายของตัวเองลู่ซวิ่น ถามด้วย ใบหน้าไร้อารมณ์
“เปล่าๆ ก็แค่แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเท่านั้นฮะ ไม่ได้ลงมือโหดจริงๆ เสียหน่อย” ลู่ซวิ่นหัวเราะคิกคัก “เป็นเจ้าเด็กคนนั้นที่ฝึกหมัดอย่าง
ทึ่มๆ ทุกวันที่สนามกีฬาคนนั้นนั่นแหละฮะ จะว่าไปแล้ว นี่ผมหวังดีกับ เขาหรอกนะ หลังจากสู้กันเสร็จผมยังช่วยชี้แนะเขาอีกด้วย”
เด็กฝึกหมัดที่สนามกีฬา?
ลู่เฮ่าหรานใจไหววูบ
เขาก็เคยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ ฝึกหมัดที่สนามกีฬาทุกวันไม่ขาดแม้ จะมีลมฝน ถึงแม้คุณสมบัติกายจะธรรมดา แต่ความมุ่งมั่นยืนหยัดนี้ก็ ควรค่าแก่การยอมรับ
สิ่งเดียวที่ทําให้เจ้าสํานักเทวินทร์ผู้นี้มองไม่ค่อยทะลุก็คือ หมัดที่ ทหารหนุ่มคนนี้ฝึกเห็นอยู่ชัดๆ ว่าธรรมดาไม่ต่างอะไรกับกายบริหาร แต่วิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่รู้ทําไม มักจะทําให้เขารู้สึกล�าลึก ยากเกินหยั่งอย่างแปลกประหลาด
“พี่ใหญ่ พี่ลงมือไม่เบาเลยนะ อัดจนเขาหน้าบวมเลย” ลู่เยี่ยน เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ
ลู่ซวิ่นตอบ “ใครจะไปรู้ว่าทหารนั่นจะกากแบบนั้นล่ะ ทั้งกากทั้ง ดื้อ พี่พูดชัดขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมรับอีกว่าคนที่ถ่ายทอดวิชา หมัดให้กําลังตบตาเขาอยู่ ดังนั้นพี่ก็ต้องสั่งสอนเองสักหน่อย ให้เขาได้ เห็นความจริง…แต่ว่ายั้งมือไม่อยู่ชั่วขณะ เลยอัดเข้าที่หน้า”
ลูกศิษย์ตระกูลลู่คนอื่นๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
ลู่เฮ่าหรานส่ายหน้า “ปู่ตั้งชื่อให้เจ้าว่าลู่ซวิ่น เพราะหวังจะให้เจ้า อ่อนน้อมถ่อมตน บนเส้นทางวิถียุทธ์ เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เขาแต่ละลูกสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สํานักเทวินทร์ของเราถึงแม้จะเป็นหนึ่งใน เจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ใช้ว่าจะไร้เทียมทานในโลกนี้ ไม่ต้องพูดถึงลูก ศิษย์หกสํานักศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ต่อให้เป็นสํานักเล็กๆ ที่ไม่มีชื่อบาง สํานักก็อาจจะซ่อนบุคคลชั้นยอดน่าตื่นตะลึงเอาไว้ เจ้านี่นะ ทะนงตัว ถือดีเพราะถือว่ามีความสามารถ ไม่รู้จักถ่อมตน ไม่เข้าใจถึงเจตนาอันดี ของปู่เอาเสียเลย”
“คุณปู่ อย่าโกรธผมเลย วันหลังผมจะรู้จักถ่อมตัวแน่นอน” ลู่ซวิ่น เอ่ย
คุณปู่ท่านนี้ของตนเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในเจ็ดสํานัก ศักดิ์สิทธิ์ ฐานะตําแหน่งสูงส่ง แม้แต่ผู้นําของประเทศยังต้องให้ ความสําคัญดูแลอย่างดี แต่ปกติถ่อมตนเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังขี้บ่น ช่างทําให้ลู่ซวิ่นไร้คําพูด ไม่มีความองอาจและทรงอํานาจอย่างผู้ แข็งแกร่งอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
ลู่เฮ่าหรานส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
คุณสมบัติกายและพรสวรรค์ของลู่ซวิ่นล้วนเยี่ยมยอด ฝึกฝนก็ ตั้งใจดี แต่หยิ่งทะนงเกินไป ความรู้สึกเหนือกว่ามีมากเกินไป แต่ว่าคิด อีกมุมหนึ่ง นี่ก็เป็นเรื่องปกติ คนหนุ่มคนสาวนี่ พลังเหลือล้น วู่วาม บุ่มบ่ามง่าย วันหลังผ่านการฝึกฝนก็จะรู้ว่าควรจะก้มหัวจริงใจอย่างไร
“คุณปู่ ตอนนี้มีข่าวที่เกี่ยวกับเทพสังหารผู้นั้นหรือยังฮะ?” ลู่ซวิ่น นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมากได้ “บนโลกมีเทพเซียนในโลกมนุษย์จริงๆ หรือ? วันเดียวก็สังหารผู้บุกรุกต่างชาติในเขตเขาฉีเหลียนได้หมด ได้ยินมาว่า แม้แต่ ‘อูฐทราย’ และ ‘ดาบโค้ง’ ของตะวันออกกลาง ‘เทพผา’ ของ ยุโรป ‘มารไร้เงา’ ของอินเดีย แล้วก็ยังมี ‘สามเทพมาร’ ของอินโดนีเซีย ก็ถูกขยี้ในดาบเดียว…ฟังแล้วอย่างกับนิทาน คงไม่ใช่พวกคนในหน่วย ประชาสัมพันธ์พวกนั้นจงใจสร้างเรื่องเพื่อหลอกคนต่างชาติหรอกใช่ ไหมฮะ?”
ในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นในหรือต่างประเทศล้วนสนใจทุกเรื่องที่ เกิดขึ้นในเขตเขาฉีเหลียนเป็นอย่างมาก ข่าวต่างๆ นานาแพร่ออกไป อย่างฮือฮา ประหนึ่งคลื่นน่าตื่นตะลึง เป็นการสร้างแผ่นดินไหวระดับ สิบสองริกเตอร์ในโลกวิถียุทธ์ชัดๆ
โดยเฉพาะหน่วยประชาสัมพันธ์ของประเทศ ยังปล่อยภาพเล็กๆ น้อยๆ ของศึกวันนั้นบางฉากออกมา ถึงแม้จะมองเห็นใบหน้าของผู้ อาวุโสท่านนั้นไม่ชัด แต่แสงดาบนั่นแค่กะพริบ ท้องฟ้าก็แหวกออก
ลําแสงไหววูบ ภาพที่เร็วเหนือเสียงแต่ละฉากๆ ราวภาพฉากใน ภาพยนตร์เซียนจอมยุทธ์ ทําให้คนธรรมดาหลังจากได้ดูแล้วเลือดร้อน ฮึกเหิม ทําให้จอมยุทธ์เมื่อได้ดูก็ตื่นตะลึง ทําให้ผู้แข็งแกร่งเมื่อได้ดูแล้ว พรั่นพรึง
ลู่เฮ่าหรานเอ่ย “อย่าเที่ยวพูดซี้ซั้ว หน่วยประชาสัมพันธ์ของ รัฐบาลจะหลอกลวงปั้ นเรื่องได้อย่างไร…ผู้อาวุโสผู้นี้จะต้องมีคนเช่นนั้น จริงๆ แน่ หัวหน้าหน่วยพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่เรื่องหลอกลวง อีกทั้ง ผู้ อาวุโสท่านนี้ วันนี้ในสนามประลองก็เป็นเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ไร้วาสนา พุทธองค์อยู่ต่อหน้าก็ไม่รู้ว่าเป็นพุทธองค์”
ในคําพูดของเขาเสียดายยิ่งนัก
วันนั้นลู่เฮ่าหรานขอร้องเพื่อนสนิทเป็นการส่วนตัว หวังจะได้พบผู้ อาวุโสผู้ลึกลับสักครั้ง แต่ถูกปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม
ลู่ซวิ่นเอ่ยอย่างจิตใจฮึกเหิม “ในโลกนี้มีตําราลับวิชาเทพแบบนี้ จริงๆ ด้วยหรือ? วันข้างหน้าผมจะต้องฝึกฝนให้ถึงขอบเขตนี้ให้ได้ ถือ กระบี่ท่องไปใต้หล้า ปกป้องแผ่นดินจีนของเรา เป็นเหมือนผู้อาวุโส ท่านนี้ สังหารพวกโจรที่ดูถูกแผ่นดินของเราให้สิ้น”
คนหนุ่มสาว ในอกมีเลือดร้อน จิตใจฮึกเหิม
ชายหญิงอายุน้อยที่เหลือทั้งหลายต่างเลือดร้อนเดือดพล่าน เช่นกัน
ลู่เฮ่าหรานยิ้ม ในใจภูมิใจยิ่งนัก
สํานักเทวินทร์เป็นสํานักรูปแบบตระกูล สํานักเช่นนี้ส่วนมากมี ความเคยชินแย่ๆ เห็นแก่ตัว อวดดี นานวันไปล้วนเอาผลประโยชน์ของ ตระกูลมาเป็นที่หนึ่ง แต่นับจากที่เขารับตําแหน่งมาก็กําจัดความคิด เช่นนี้เสีย หลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ถ่ายทอดแนวคิดใหม่ๆ เข้าไปในสํานัก ตอนนี้ลูกศิษย์ในสํานักคํานึงถึงประเทศก่อนแล้วค่อยคิดถึงบ้าน ในใจ ผดุงความยุติธรรม เลือดร้อนมีศีลธรรม
นี่ถึงจะเป็นจุดที่ลู่เฮ่าหรานคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของคนใน ยุทธจักร
“อาจารย์ เจ้าสํานักหกสํานักศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ มุ่งไปยังห้อง ประชุมหมายเลขหนึ่งแล้ว หัวหน้าหน่วยก็มาถึงแล้วเช่นกัน พวกเรา ต้องออกเดินทางแล้ว” ลูกศิษย์รุ่นสองสํานักเทวินทร์คนหนึ่งเข้ามา รายงาน
“ดี เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” ลู่เฮ่าหรานลุกเดินออกไป
คืนวันนี้เป็นการประชุมใหญ่ของเจ้าสํานักใหญ่ต่างๆ ในยุทธจักร เพื่อกําหนดกฎเกณฑ์ของศึกต่อสู้หลังจากนี้อีกสิบวัน สําคัญเป็นอย่าง
มาก เขาต้องไปเข้าร่วม ลู่เฮ่าหรานหวังว่าจะได้พบ ‘ผู้อาวุโส’ เทพ มังกรเห็นหัวไม่เห็นหางในการประชุมครั้งนี้
…………………………………………