จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 509 เปิดก่อนเวลา
“ผมไม่ไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากพบคนเหล่านี้”
หลี่มู่ปฏิเสธการเชิญของฟ่านจู่อั๋ง ไม่เข้าร่วมงานที่เรียกว่า ‘งาน ชุมนุมเจ้าสํานัก’ ครั้งนี้
เขตแดนจิตดาบของเขาสามารถครอบคลุมลงมาในรัศมีหนึ่งร้อยลี้ ดังนั้นทั่วทั้งลานประลองยุทธ์ จริงๆ แล้วสําหรับเขามันง่ายเหมือนนับ นิ้วเลยทีเดียว พวกเจ้าสํานักน้อยใหญ่เหล่านั้น ยอดฝีมือจากบู๊ลิ้ม เขาก็ ตรวจสอบมาหมดแล้ว มีทั้งดีทั้งเลวปะกันไป จะไปพบหรือไม่พบก็ เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลี่มู่ตอนนี้ยังไม่อยากจะเปิดเผยฐานะของ ตนเอง เขาอยากจะคอยลอบสังเกตอีกสักพัก
แน่นอน พวกสื่อวิดิทัศน์ภาพศึกที่เขาฉีเหลียนที่งานด้าน ประชาสัมพันธ์ของประเทศเปิดเผยต่อสาธารณะก่อนหน้า ก็ได้ผ่าน การเห็นด้วยจากหลี่มู่แล้ว
วันนั้นที่เขาไปพบกับผู้นําระดับสูงหลายคนของประเทศ เนื้อหาที่ พูดคุยกันทําให้หลี่มู่ค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้ง
เหล่าบุคคลที่ยืนอยู่ในระดับสูงสุดนี้ สิ่งที่พินิจพิจารณา สิ่งที่ถามสิ่ง ที่คิด ล้วนเป็นเพื่อประเทศชาติและประชาชนทั้งสิ้น พูดได้ว่าลงแรง ทั้งหมดและใช้หัวทั้งหมดที่มีเลยทีเดียว ราวกับว่าสิ่งที่หลี่มู่กังวลก่อน หน้าอย่างเรื่อง ‘จักรพรรดิฮั่นอู่สืบหาตัวคนเก่ง ดึงเอาเจียอี้ที่ ประจําการที่นอกเมืองกลับมา เจียอี้เป็นผู้มีความเก่งกล้าสามารถ แต่ น่าเสียดายที่พวกเขาคุยกันทั้งคืนจนหาวโงนเงน จักรพรรดิฮั่นอู่ดัน ไม่ได้หารือเรื่องวางแผนเพื่อประชาราษฎร์ แต่กลับคุยเรื่องความเชื่อไป แทน’ นั้นไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่เหล่าผู้นําใหญ่โตนี้กังวล หนึ่งคือด้านนอก ทางช้างเผือก สองคือบนตัวประชาชน สามคือการใช้ชีวิตของ ประชาชน ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาขบคิดอย่างหนักทั้งสิ้น และไม่ได้ เชิญให้หลี่มู่ช่วยเหลือให้พวกเขามีอายุยืนยาวขึ้นอะไรทํานองนี้เลย
ในความเป็นจริง จากการที่ดาวโลกปรากฏพลังวิญญาณ ประเทศก็ ได้เริ่มเข้าควบคุมพลังของบู๊ลิ้มแล้ว การรวมกันของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและวิขาเต๋ายังลึกซึ้งยิ่งกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้ถึง และการบํารุงร่างกายของเหล่าผู้นําในประเทศก็ได้รับอานิสงค์จางเรื่อง นี้ไปด้วย ล้วนสุขภาพแข็งแรงกันอย่างมาก และรับประกันได้ถึงกําลัง วังชาที่เต็มอิ่มในการทํางานของพวกเขา
สําหรับความปรารถนาเรื่องพลัง มันเป็นสิ่งที่ฝังรากลึกในยีน มนุษย์อยู่แล้ว ใครก็ล้วนอยากจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทั้งนั้น
แต่ต่อให้มีพลังวิญญาณและวิชา ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถกลายเป็นผู้ แข็งแกร่งไร้เทียมทานได้ทุกคน ยังจําเป็นต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ โอกาส ปัญญารวมไปถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม อายุที่เหมาะสม พบเข้ากับวิชาที่ เหมาะสม
โลกใบนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้คนทั้งหมดกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง
การขึ้นมาเป็นผู้นําของประเทศๆ หนึ่งได้ ก็ถือว่าเป็นหัวกะทิผู้มี ความมุ่งมั่นและสติปัญญายอดเยี่ยมมากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เป็นคนที่รู้ เลือกรู้ละ ทําการเลือกออกมาอย่างปราดเปรื่องที่สุดได้
เหล่าผู้นําหลายคนที่หลี่มู่เห็นนี้ ไม่มีใครที่จะไล่ตามความทะยาน อยากต้องการเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเลย แต่กลับใช้ทุกวิถีทางเพื่อ จะมอบความสุขให้กับประเทศชาติและประชาชน นี่เหมือนกับเป็นการ กินยาสงบใจให้กับหลี่มู่เลยทีเดียว
ภายในสิบกว่าวันนี้ หลี่มู่ได้ไปที่เขาคุนหลุนเพื่อหาเบาะแสของ ซินแสเฒ่าที่อาจจะทิ้งไว้
แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ซินแสเฒ่าชัดเจนว่าไม่อยากจะให้ใครหาร่องรอยของตนเองเจอ
หลี่มู่ครุ่นคิด ในความคิดของซินแสเฒ่า ตนเองจะกลับมาในยี่สิบปี ให้หลัง ดังนั้นอาจจะไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ตนเองไปตามหา หรือเบาะ แสะเหล่านี้อาจจะปรากฏขึ้นหลังจากผ่านไปยี่สิบปีแล้ว และหรือ อาจจะหลังจากผ่านไปยี่สิบปี ซินแสเฒ่าก็จะปรากฏตัวมาหาเอง….สรุป ก็คือ หลี่มู่ค่อยๆ ปล่อยวางที่จะหาตัวซินแสเฒ่าด้วยกําลังของตนเองไป แล้ว
เขาที่เห็นด้วยกับงานด้านประชาสัมพันธ์ของประเทศ ให้กระจาย ภาพบางส่วนของหนึ่งวันพันสังหารที่เขาฉีเหลียนเมื่อวันนั้นออกไป ก็ หวังว่าถ้าหากซินแสเฒ่าได้มาเห็น ก็จะรู้ว่าตนเองได้กลับมาล่วงหน้า แล้ว และอาจจะปรากฏตัวออกมาเอง?
หลี่มู่ละทิ้งความคิดที่จะออกค้นหาตัวซินแสเฒ่าแล้ว
ตอนนี้มีเพียงสามเรื่องที่เขาจะหันมาสนใจ
หนึ่งคือถ่ายทอดวิชาให้กับ ‘ตังกวยน้อย’ เซี่ยวตง
สองคือในงานชุมนุมบู๊ลิ้มที่กําลังจะเริ่มขึ้นนี้ จะทําการเลือกผู้นํา พันธมิตรบู๊ลิ้มขึ้น เขาหวังว่าจะสามารถหาต้นกล้าอ่อนที่เหมือนกับ เซี่ยวตงได้อีกบางส่วน แล้วนํามาชุบเลี้ยงฝึกสอนเสีย
สามคือแดนเซียนฉินหลิ่งที่กําลังจะเปิดออก
นี่เป็นเรื่องที่ทําให้หลี่มู่สนใจมากที่สุดเรื่องหนึ่ง
ในเขาฉินหลิ่งเกิดเหตุประหลาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากดูจาก ประสบการณ์การปรากฏตัวของแดนเซียนภายในประเทศหลายครั้ง ก่อนหน้า จะรู้ว่าจริงๆ มันควรได้เวลาเปิดแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร จน ตอนนี้ก็ยังไม่มีเค้าลางที่จะเปิดออกปรากฏให้เห็น ส่วนเชิงเขาฉินหลิ่ง ด้านเหนือ พลังวิญญาณฟ้าดินเริ่มที่จะเพิ่มพูนสมบูรณ์ เข้มข้นมากกว่า สถานที่อื่น เห็นได้ชัดว่ามีแดนเซียนขนาดใหญ่เปิดออกแล้ว ยิ่งใหญ่กว่า การเปิดออกของแดนเซียนภายในประเทศหลายครั้งก่อนหน้าอยู่มาก ส่งผลให้สายตามากมายทั้งในและนอกประเทศจับจ้องมายังสถานที่ แห่งนี้ ให้ความสําคัญอย่างยิ่งยวด
เนื่องจากตอนที่สังหาร ‘อูฐทราย’ ‘ดาบโค้ง’ ได้พบกับร่องรอย ของสํานักชั่วร้ายนอกพิภพ ผู้บําเพ็ญสํานักชั่วร้ายนั่นน่าจะผ่านเข้ามา ในโลกผ่านแดนเซียน นี่ทําให้ในใจของหลี่มู่เกิดการคาดเดาขึ้น และ ต้องการที่จะเข้าไปในแดนเซียนเพื่อยืนยันด้วยตนเอง
…
…
คืนนั้น
การชุมนุมเจ้าสํานักครั้งที่หนึ่งเสร็จสิ้นลง ลู่เฮ่าหรานค่อนข้าง ผิดหวัง
การอภิปรายในงานชุมนุมเจ้าสํานักไม่ค่อยราบรื่นนัก ให้คนจากบู๊ ลิ้มที่ชื่นชอบต่อพลังยุทธ์มานั่งประชุมกันอย่างสุภาพเรียบร้อย มันก็ ต้องเกิดความวุ่นวายตามคาด ผลลัพธ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
นักประพันธ์ไม่ยอตัวว่าเป็นยอดนักประพันธ์ แต่จอมยุทธ์มักข่ม ท่านว่าตนเองเป็นยอดยุทธ์
ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีฝ่ายทหารระดับสูงคอยควบคุม น่ากลัวว่าคง ได้ซัดกันนัวไปแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุด ก็คือในงานชุมนุมเจ้าสํานักคืนนี้ ‘ผู้ อาวุโส’ คนนั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ทําให้คนที่คิดจะมายลโฉมบารมี ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน
หลังการชุมนุม คนทั้งหมดเดินออกจากห้องประชุมที่หนึ่ง
“เหอๆ ผู้อาวุโสคนนี้ก็หน้าใหญ่โตไม่เบานะ ทหารระดับสูง บวก กับเจ้าสํานักใหญ่ๆ แห่งบู๊ลิ้มทั้งหมดอย่างพวกเราก็ยังเชิญมาไม่ได้” เจ้าสํานักวิญญาณแท้พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมเย็นชา นางอายุหกสิบปี ผม เผ้าดําสนิทราวน�าหมึก ดูแลผิวเป็นอย่างดี ดูแล้วรู้สึกถึงอาวุโสวัยเยาว์
อย่างไรอย่างนั้น ว่ากันว่าเพื่อที่จะรักษาความงาม นางถึงกับไปขอซื้อ เคล็ดลับมาหลายต่อหลายครั้ง เป็นคนจากบู๊ลิ้มที่มีชื่อว่ารักสวยรักงาม
“ถึงอย่างไรก็เป็นเทพเซียนน่ะนะ ไม่คลุกคลีกับโลกมนุษย์ มันก็ สมควรแล้วนี่” กู่เฉินเจ้าสํานักคีรีบรรพกาลเอ่ยขึ้น
หลิงเฮ่ออู่ฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเป็นเทพ เซียน แล้วทําไมจึงต้องมาสอดมือเรื่องทางโลกด้วย? หนึ่งวันพันสังหาร ที่เขาฉีเหลียน หลั่งเลือดหลั่งชีวิตไปตั้งเท่าไร? เพียงแค่เพื่อแสดง อํานาจของประเทศ แค่ขับไล่ก็พอแล้ว ทําไมต้องไล่ล่าสังหารเสียขนาด นี้?”
ในใจนาง มีความรู้สึกแค้นเคืองอยู่บ้าง
ที่สําคัญที่สุดก็คือ ได้ยินมาว่า ‘ผู้อาวุโส’ คนนี้ มีความเป็นไปได้ว่า จะเป็น ‘เทพสังหารหลี่มู่’ ที่สังหารหนึ่งในสามผู้สืบทอดของสํานัก วิญญาณแท้ และยังทําให้ศิษย์ร่วมสํานักอย่างหลิงเฮ่อจื่อ เฮ่อเฟย เฮ่ ออวี่ทุพพลภาพที่เมืองเป่าจีในตอนนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ามี ความแค้นกับสํานักวิญญาณแท้ครั้งใหญ่ การจะมีความแค้นเคืองมันก็ เป็นเรื่องปกติ
“พูดอะไรออกมากัน?” ลู่เฮ่าหรานที่นิ่งเงียบมาตลอด ในที่สุดก็ทน ไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากขึ้น “ไม่ใช่ชาติพันธ์เดียวกัน พวกเขาก็ไม่ได้มีใจ
เดียวกันกับเราอยู่แล้ว พวกคนป่าเถื่อนเหล่านี้บุกรุกเข้ามาในเขต ประเทศเรา สังหารประชาชนของเรา ทําร้ายทหาร จําเป็นต้องสังหาร ให้สิ้นซาก ถึงจะเป็นการแสดงอานุภาพอันเกรียงไกรของชาวจีนอย่าง ชัดแจ้ง พวกที่กล้าเข้ามาจ้องหาโอกาสอย่างเงียบๆ ในประเทศชาติเรา เช่นนี้ ต้องสังหารให้สิ้น จะทําเพียงขับไล่ไปได้อย่างไร?”
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของเจ็ดสํานักใหญ่ มีบารมี พอสมควรในเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเอ่ยขึ้นเช่นนี้ หลิงเฮ่ออู่หน้าแดง ลุกเป็นไฟ ในใจกลัดกลุ้ม แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ เพราะลู่เฮ่าหราน ค่อนข้างมีบารมีในบู๊ลิ้ม
เหล่าเจ้าสํานักทั้งหลายล้วนกระจัดกระจายกันออกไป
ตอนนี้ก็สามารถมองออกถึงเนื้อหาบางส่วนแล้ว
บนพื้นฐานเจ้าสํานักของสํานักที่ใกล้ชิดกัน ความสัมพันธ์ส่วนตัว จึงดูไม่เลวนัก ครั้งนี้มายังลานประลองยุทธ์ข้างบ้าน ก็ล้วนแบ่งออกเป็น กลุ่มเล็กที่แตกต่างกัน ประเทศโยนเอาตําแหน่งผู้นําพันธมิตรบู๊ลิ้ม อย่างเป็นทางการออกมา แน่นอนว่าต้องทําให้พวกเขาตาร้อนกัน ล้วน เริ่มดึงพรรคดึงพวกกันส่วนตัว หยิบยืมโอกาสนี้มาตักตวงหา ผลประโยชน์
ใครก็ล้วนมองออก ว่านี่เป็นโอกาสที่พันปีจะเข้ามาหาสักครั้ง ถ้า หากสามารถได้รับตําแหน่งบางอย่างจากงานพันธมิตรบู๊ลิ้มครั้งนี้ ภาย ภาคหน้าจะต้องโลดโจนทะยานอย่างแน่นอน สามารถสถาปนา ตําแหน่งในอนาคตบนโลกวิถียุทธ์ได้นับสิบนับร้อยปีเลยทีเดียว
กลุ่มคนแยกย้าย
ฟ่านจู่อั๋งและซูชั่วทั้งสองคน เดินออกมาเป็นคนสุดท้ายจากห้อง ประชุมหมายเลขหนึ่ง จ้องมองแผ่นหลังของเหล่าเจ้าสํานักที่แยกย้าย ไป ถอนหายใจยาวกันออกมา
ปัญญาชนยังดูแลได้ง่าย แต่เหล่าจอมยุทธ์คุมให้เชื่องได้ยากยิ่ง
ถึงแม้พวกเขาจะคิดไว้แล้วก็ตาม ว่าการชุมนุมเจ้าสํานักครั้งแรก จะไม่ราบรื่นเท่าไรนัก แต่ระดับความยุ่งเหยิงวุ่นวายในขั้นตอน ก็ยังคง มากเกินกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ ก่อนการประชุม ฝ่ายทหารได้แบบ สํารวจบางส่วนมาแล้ว ได้ทําการสะสางหมวดหมู่ความสัมพันธ์ของ สํานักและพรรคนับร้อยเหล่านี้ แต่ทว่าพอมองตอนนี้ก็ยังรู้ว่ายังลึกซึ้ง ไม่พอ
สังคมเก่า ใช้พงหญ้ามาเปรียบเปรยกับบู๊ลิ้ม ไม่ได้เกินเลยเลย
ในพงหญ้ามีทั้งวีรบุรุษ และมีพวกที่ไม่บริสุทธิ์
“ดูแล้ว การชุมนุมเจ้าสํานักนี้ถ้าไม่จัดอีกสักสิบรอบแปดรอบ ก็คง จะไม่สามารถทําข้อตกลงกันได้” ฟ่านจู่อั๋งยิ้มขืนๆ “เรื่องนี้ก็ไม่ควรรีบ ร้อน เบื้องบนต้องการให้พวกเราอยู่ภายใต้นโยบาย ‘เคารพ เข้าใจ อิสระ ใจกว้าง’ สี่คํานี้มากําหนดข้อบังคับของการชุมนุมบู๊ลิ้ม…จุ๊ๆๆ เวลาก็ไม่คอยท่าเลย ยากจริงๆ”
ซูชั่วเอ่ยขึ้นบ้าง “คนสูงส่งที่แท้จริง ใจกว้างดุจหุบเขา ออกรบเพื่อ ประเทศชาติประชาชน ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยว่าจะได้รับหรือสูญเสีย แต่ พวกเอะอะมะเทิ่งเหล่านี้เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยอย่างกับพ่อค้าหน้าเลือด อย่างไรอย่างนั้น” นางดูถูกคนบางส่วนในนี้จากส่วนลึกของจิตใจ ท่าทางเช่นนั้นก็คือพวกคนต�าทราม พูดจาด่าคนโน้นคนนี้ นิสัยแปลก ประหลาด
“แต่ก็มีคนที่รักประเทศชาติอยู่ ลู่เฮ่าหรานเจ้าสํานักเทวินทร์ เรียก ได้ว่าเป็นแบบฉบับของจอมยุทธ์ในประเทศได้เลย” ฟ่านจู่อั๋งเอ่ยขึ้น
ซู่ชั่วพยักหน้า นางก็รู้สึกเกรงใจคนผุ้นี้อย่างมากเช่นกัน
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ก็ได้เดินมาถึงด้านในสํานักงาน
“รายงาน มีจุดหมายด่วนจากสํานักงานใหญ่” จู่ๆ เลขางานด้าน ความลับคนหนึ่งได้รีบร้อนเข้ามา เคาะประตูจากนั้นหยิบเอกสารอิเลค โทรนิคส์ส่งออกไปให้ฟ่านจู่อั๋ง
ฟ่านจู่อั๋งเมื่อเห็น สีหน้าก็เปลี่ยนทันที “หืม? แดนเซียนฉินหลิ่งเปิด แล้วหรือ?”
ซูชั่วก็ตกตะลึงเช่นกัน “เร็วขนาดนี้เชียว จากมอนิเตอร์พลังงาน ไม่ใช่บอกว่ายังต้องอีกประมาณเดือนหนึ่ง ถึงจะไปถึงมาตรฐานความ เข้มข้นการเปิดของแดนเซียนหรอกหรือ? ทําไมจู่ๆ ก็เปิดขึ้นมาแล้ว?”
ฟ่านจู่อั๋งตอบ “แหล่งกําเนิดน�าแม่น�าเจียหลิงเกิดการแผ่นดินไหว ขึ้นครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นหมอกเข้มข้นกระจายคละคลุ้ง แดนเซียนได้ เปิดออกอย่างกะทันหันแล้ว”
ซูชั่วไม่พูดอะไรอีก แต่นางเข้าใจว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่อง ง่ายๆ แน่นอน
“สํานักงานใหญ่ได้กําหนดแผนออกมาแล้ว เลื่อนการประชุมบู๊ลิ้ม ออกไปก่อน ให้เลือกชาวบู๊ลิ้มที่พึ่งพาได้ออกมาทันที แล้วตรงไปยังฉิน หลิ่ง แหล่งกําเนิดน�าแม่น�าเจียหลิง เข้าไปตรวจสอบแดนเซียน การเปิด ของแดนเซียนก่อนหน้าทั้งสามครั้ง เนื่องจากไม่มีเค้าลาง ทําให้ทาง ประเทศเตรียมตัวได้ไม่เพียงพอ ครั้งนี้จะต้องแย่งชิงเอาทรัพยากรด้าน ในแดนเซียนออกมาให้ได้ เพื่อนํามาใช้สําหรับประเทศชาติ จะให้ตกไป อยู่ในมือของคนอื่นไม่ได้” ฟ่านจู่อั๋งเอ่ยมา
“น่ากลัวว่าจะเกิดการฆ่าสังหารขึ้นอีกแล้ว ลางบอกเหตุการเปิด แดนเซียนฉินหลิ่งครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกเหลือเกิน มีบางคนได้ซุ่ม ซ่อนอยู่ด้านนอกเพื่อรอแล้ว นอกจากขั้วอํานาจบู๊ลิ้มในประเทศ ยังมีผู้ แข็งแกร่งยอดฝีมือจากต่างชาติอีกด้วย” นายทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ขั้วอํานาจบู๊ลิ้มบางส่วน ปฏิเสธที่จะมาร่วมงานชุมนุมบู๊ลิ้ม ก็เพื่อที่จะ รอให้แดนเซียนฉินหลิ่งเปิดในครั้งนี้”
ซูชั่วเอ่ยต่อ “ต้องเชิญผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงคนหนึ่งขึ้นมาควบคุม สถานการณ์แล้ว”
“คงต้องให้เสี่ยวมู่ออกโรงแล้วล่ะ” ฟ่านจู่อั๋งตอบมา
……
“เอ๋? ทําไมเจ้าถึงกลายเป็นแบบนี้ไปกัน?”
ลู่เฮ่าหรานกลับมาถึงสถานที่ตั้งของสํานักเทวินทร์ ก็มาพบว่า หลานชายลู่ซุน กําลังแยกเขี้ยวยิงฟันเปลือยไหล่ กําลังทายาตํารับลับ ของสํานักเทวินทร์อยู่ที่ลานเต๋า สภาพจมูกเขียวหน้าบวม ร่างกายมี รอยห้อเลือด ดูซมซานอย่างมาก
“เอ่อ ไม่ระวังจนหกล้มมา…” ลู่ซุนมองเห็นคุณปู่เดินเข้ามา ก็รีบ ร้อนตอบอู้อี้
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าว่ามาสิ เกิดอะไรขึ้น?” ลู่เฮ่าหรานมองไปยังลู่เยี่ยน เอ๋อร์
ลู่เยี่ยนเอ๋อร์อยู่ในท่าทีสมน�าหน้า เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่ไปประมือกับ นายทหารคนนั้นอีกแล้ว ผลลัพธ์ครั้งนี้ ถูกเขาเล่นงานเสียจนเหมือนหมี ดําอย่างไรอย่างนั้น พังพาบอยู่กับพื้นลุกไม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ ทั้ง สองคนนัดกันไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะสู้กันอีกครั้ง”
มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?
ลู่เฮ่าหรานประหลาดใจ เอ่ยขึ้นว่า “ตอนเช้านายทหารคนนั้นยังสู้ เจ้าไม่ได้ ทําไมตอนบ่ายก็เก่งขึ้นมาเสียแล้วกัน?”
ลู่ซุนเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “มีคนระดับสูงคอยชี้แนะเจ้านั่นอยู่ พูดมาก็ดูแปลกๆ ช่วงประมือกันเมื่อตอนค�า เจ้านั่นก็ยังใช้วิชาหมัด ออกกําลังกายกระจายเสียงเหมือนเมื่อตอนกลางวัน แต่ข้ากลับล้มเขา ไม่ได้เลย…น่าโมโหจริงๆ”
“โอ้ เจ้าลองอธิบายมาอย่างละเอียดซิ” ลู่เฮ่าหรานเริ่มสนใจขึ้นมา
………………………………