จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 510 พวกเจ้าไม่คู่ควร
คืนนั้นได้มีจดหมายลับสุดยอดมากมายส่งมาที่มือของหลี่มู่ ส่วน ใหญ่ล้วนเป็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแดนเซียนฉินหลิ่งที่ฝ่ายทหารทราบ นอกเหนือจากนี้ยังมีข้อมูลของผู้แข็งแกร่งแต่ละฝ่ายที่คอยจับจ้องอยู่ รอบๆ ฉินหลิ่งก่อนหน้า ตอนนี้ได้แย่งเข้าไปในแดนเซียนฉินหลิ่งก่อน แล้ว
ในนั้น รวมไปถึงพวกต่างชาติบางกลุ่ม
ถึงแม้ฝ่ายทหารในครั้งนี้จะให้ความสําคัญอย่างมากต่อแดนเซียน ฉินหลิ่ง แต่ร้อยความรอบคอบก็ยังมีหนึ่งความผิดพลาด ใครก็ไม่ทันคิด ว่าแผ่นดินไหวครั้งหนึ่งที่ยากจะเข้าใจ จะทําให้ผลการคาดคะเนการ เปิดของแดนเซียนที่ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ จากฝ่ายทหารเกิดความ ผิดพลาดขึ้น ประกอบกับเขาฉินหลิ่งนี้มันใหญ่โตมากจริงๆ ต่อให้ฝ่าย ทหารคิดจะปิดล้อม ก็ยังไม่สามารถปฏิเสธคนด้านนอกได้ทั้งหมด
ไหนจะยังเรื่องที่ยอดฝีมือของแต่ละฝ่ายล้วนเก่งกล้าสามารถ ไม่ใช่ สิ่งที่ทหารธรรมดาจะไปทัดทานได้เลย
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าเพราะอะไรตอนนี้ฝ่ายทหารจึงได้ให้ความสําคัญ กับขั้วอํานาจบู๊ลิ้มขนาดนี้ คิดอยากจะสร้างกองทหารยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่มี
แรงเกาะตัวและพลังการรบออกมา จากนั้นจึงค่อยขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ใช้ คําพูดที่นิยมกันในตอนนี้ ก็คือสร้างวีถีการอยู่ร่วมกันในบู๊ลิ้มที่ สมเหตุสมผลต่อวิทยาศาสตร์
ฝ่ายทหารหวังว่าหลี่มู่จะสามารถเป็นคนควบคุมการบุกเบิกแดน เซียนฉินหลิ่งในครั้งนี้ ดูแลเหล่าจอมยุทธ์ของประเทศจีนที่เข้าไปด้าน ใน พยายามหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตาย และคอยคุ้มกันโอกาสและ อุปกรณ์เทพไม่ให้ถูกพวกชาวต่างชาติขโมยไป
หลี่มู่ไม่ได้ปฏิเสธอ รับปากคําขอร้องนี้
ทั้งหมดล้วนดําเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไม่วุ่นวาย
นับตั้งแต่ข่าวจากหน่วยหน้าส่งเข้ามา กองทหารในช่วงแรกก็ได้ส่ง คนออกไปอย่างเร่งด่วนเพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์
และในคืนวันเดียวกัน ฝ่ายทหารได้แจ้งให้กับสํานักใหญ่ๆ ที่ได้มา เข้าร่วมงานชุมนุมบู๊ลิ้มแล้ว และเริ่มคัดเลือกรายชื่อสมาชิกที่จะเข้าสู่ แดนเซียนฉินหลิ่ง
เนื่องจากเข้าสู่แดนเซียน มีความเป็นไปได้ที่จะได้รับโอกาสการ ฟื้ นฟูค่อนข้างมาก ดังนั้นเริ่มจากมุมของฝ่ายทหารก่อน เงื่อนไขที่ สําคัญที่สุดในการเลือก ไม่ใช่เรื่องปัญญาหรือพรสวรรค์อะไรเทือกนั้น
แต่เป็นเรื่องลําดับอุปนิสัยความประพฤติ ความซื่อตรงจงรักภักดีต่อ ประชาชนและประเทศชาติ
ทั้งลานประลองยุทธ์ได้เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดถาโถม
แดนเซียนเปิดแล้ว ใครบ้างที่ไม่อยากจะได้โอกาสเข้าไปกัน?
การโต้เถียงการแย่งชิงต่างๆ นาๆ ได้เริ่มปะทุร้อนแรงขึ้น
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสํานักที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสํานักที่มี ความสัมพันธ์การร่วมมือกับฝ่ายทหารมากที่สุดสํานักเทวินทร์จึงได้ รายชื่อไปไม่น้อย เจ้าสํานักลู่เฮ่าหราน ศิษย์รุ่นที่สองหกคน ศิษย์รุ่นที่ สามอย่างลู่ซุน ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ก็ล้วนได้เข้าไป เรียกได้ว่าแน่นขนัดเลย ทีเดียว
เทียบกันแล้ว สํานักวิญญาณแท้ที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ นับรวมกันทั้งหมดกลับได้รายชื่อไปเพียงสามคนเท่านั้น เช่นเดียวกันกับ สํานักชมดารา เป็นสํานักจากเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับรายชื่อน้อย ที่สุด
“มีสิทธิอะไรกัน? เพราะอะไรพวกเราจึงมีเพียงแค่สามรายชื่อ นี่ มันไม่ยุติธรรม!”
เจ้าสํานักวิญญาณแท้หลิงเฮ่ออู่เดือดขึ้นทันที
‘กระบี่เทพเจ็ดดาว’ ตงฟางอวิ๋นเจ้าสํานักชมดารา ก็คํารามด้วย ความเดือดดาลเช่นเดียวกัน
จากการนําของพวกเขา สํานักบางส่วนที่ได้รายชื่อน้อยหรือกระทั่ง ไม่ได้รับรายชื่อเลย ก็เริ่มที่จะกระสับกระส่ายกันบ้างแล้ว ไม่ยินยอมกับ การจัดวางของฝ่ายทหาร
“พวกเราต้องการพบผู้นํากองทหาร”
“เอาคนที่พูดจามีน�าหนักออกมาพูด”
“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้พวกเราไปกัน?”
“ชิ นี่มันมีแผนร้าย แผนร้ายของฝ่ายทหาร หลอกให้พวกเรามาที่นี่ จริงๆ แล้วก็เพื่อที่จะไม่ให้พวกเราเข้าไปแดนเซียนฉินหลิ่ง ไร้ยางอาย สิ้นดี”
มีบางคนเริ่มใส่ฟืนราดน�ามัน
ในบริเวณลานประลองยุทธ์ บรรยากาศค่อยๆ เริ่มควบคุม สถานการณ์ไว้ไม่อยู่
ตอนนี้เอง ขบวนรถทหารที่ฝ่ายทหารจัดสรรไว้ ได้ขับเข้ามาสู่โรง ฝึกยุทธ์
คนจากสํานักใหญ่ต่างๆ ที่ได้ถูกเลือกก่อนหน้า ได้ขึ้นไปบนรถ ตามที่ฝ่ายทหารจัดวางไว้ และเดินทางไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดด้วย ขบวนรถทหาร จากนั้นโดยสารนั่งรถไฟเที่ยวพิเศษชั่วคราวขบวนหนึ่ง ตรงไปยังเมืองเป่าจี แล้วจึงตรงเข้าสู่ฉินหลิ่ง
นี่คือเส้นทาง
ทหารชั้นเยี่ยมที่แบกปืนใส่กระสุนจริงได้ล้อมรอบลานประลอง ยุทธ์นี้เอาไว้ แบ่งกั้นทางออกของพื้นที่ เพื่อยืนยันฝั่ งของคนที่ถูกเลือก ฝ่ายทหารแสดงออกถึงความแข็งกร้าวถึงที่สุด แสดงท่าทีไม่ยอมออก มาถึงที่สุด
เหตุผลง่ายมาก
รายชื่อเข้าสู่ฉินหลิ่งเหล่านี้ ร้อยละเก้าสิบล้วนมีหลี่มู่เป็นคนเลือก
ในสิบกว่าวันมานี้ คนทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้การสังเกตของหลี่มู่ คนไหนที่ได้เรื่องคนไหนเลวทรามต�าช้า เขานั้นรู้ชัดเจนอยู่ในใจ รายชื่อ ที่เหลืออีกหนึ่งส่วนสิบนั้นเอาไว้สําหรับทางหนีทีไล่ของฝ่ายทหาร จึงได้ ออกมาเช่นนี้
เหล่าศิษย์อย่างลู่ซุน ลูเยี่ยนเอ๋อร์เดินตามคนของสํานักเทวินทร์ ตรงไปยังถนนที่รถขอฝ่ายทหารมาจอดรอไว้ ได้มองเห็น ‘คนจากสาย เดียวกัน’ รวมตัวออเป็นกลุ่มใหญ่อยู่ทั้งสองด้านของถนน
ขณะที่พวกเขาเห็นสีหน้าโกรธแค้น กระสับกระส่าย ใบหน้าบิด เบี้ยว ก็พบว่าในนั้นเต็มไปด้วยเจ้าสํานักและผู้อาวุโสบางส่วนที่มี ชื่อเสียงมายาวนาน ทว่ากลับไม่ได้รับเลือกให้เข้าสู่แดนเซียน เมื่อเทียบ กันแล้วก็รู้สึกได้ว่าพวกของตนเองนั้นโชคดีขนาดไหน ที่ได้รับการ ยอมรับจากฝ่ายทหาร
“เอ๋?” ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ใช้มือสะกิดลู่ซุนที่อยู่ข้างๆ อย่างกะทันหัน เอ่ย ว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ พี่ดูสิ เพื่อนใหม่ของพี่ก็อยู่ด้วย”
ลู่ซุนใช้สายตามองตามลู่เยี่ยนเอ๋อร์ไป ก็พบว่านายทหารโง่ที่ ตนเองประมือด้วยสองครั้ง นั่งอยู่บนรถคันด้านหน้านี่แล้ว เห็นได้ชัดว่า เขาก็ได้รับรายชื่อให้เข้าไปยังแดนเซียนฉินหลิ่งด้วยเช่นกัน
นี่ทําเอาลู่ซุนรู้สึกเกินคาดเอามากๆ
หรือว่านายทหารคนนี้ไม่ใช่ฝ่ายคุ้มกันหรือฝ่ายแนวหลังของลาน ประลองยุทธ์นี่ แต่ก็เป็นคนในบู๊ลิ้มด้วยเช่นกัน?
ไม่ถูกสิ
และตอนนี้ เซี่ยวตงที่นั่งอยู่บนรถทหารก็มองเห็นพวกของลู่ซุน แล้วเช่นกัน โบกมือทักทายด้วยจิตใต้สํานึก
ลู่ซุนริมฝีปากสั่นกระตุกทําเป็นเหมือนมองไม่เห็น
ลู่เยี่ยนเอ๋อร์กลับหัวเราะคิกคักโบกมือตอบ
ไม่คิดว่าตอนที่จัดแบ่งรถกัน คนจากสํานักเทวินทร์ก็ได้ถูกแบ่งให้ มาขึ้นบนรถที่เซี่ยวตงนั่งอยู่ด้วย ครู่ต่อมาลู่ซุนจึงทําเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้แล้ว ทักทายเซี่ยวตงด้วยสีหน้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ…ใบหน้าเขา เมื่อตอนเย็นถูกเซี่ยวตงเล่นงานเสียจนห้อเลือด ตอนนี้ก็ยังไม่หายเลย
ลู่เยี่ยนเอ๋อร์กลับขึ้นไปนั่งข้างๆ เซี่ยวตงด้วยตนเอง มองเห็น ด้านข้างเขายังมีชายหนุ่มผมสั้นใส่ชุดกีฬาสีขาวยี่ห้อหลี่หนิง จึงถามขึ้น อย่างอยากรู้อยากเห็น “เพื่อนของเจ้าหรือ?”
เซี่ยวตงรีบร้อนสั่นศีรษะ ตอบว่า “อาจารย์ของข้าน่ะ”
“อาจารย์?” ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “ยังหนุ่มอยู่ เลย? พวกเจ้ามาจากสํานักไหนหรือ?”
เซี่ยวตงยังไม่ทันจะอ้าปาก ชายหนุ่มผมสั้นชุดกีฬาสีขาวก็หัน กลับมาตอบว่า “สํานักดาบเทพ”
ศิษย์สํานักเทวินทร์ที่อยู่อีกด้านเมื่อได้ยิน ก็เหมือนจะนึกไม่ออก
ในงานชุมนุมบู๊ลิ้มครั้งนี้ เหมือนจะไม่มีสํานักที่ชื่อสํานักดาบเทพนี่ นา?
ลู่เฮ่าหรานที่อยู่อีกด้านก็รู้สึกเกินคาดเช่นกัน
เขามองออกว่า นักรบหนุ่มที่ชื่อเซี่ยวตงคนนี้ น่าจะเป็นคนที่ประ มือกับลู่ซุนหลานชายของตนเองถึงสองครั้งจนผลแพ้หนึ่งชนะหนึ่งกัน ทั้งคู่คนนนั้น แต่ที่เขาสนใจยิ่งกว่าก็คือ ‘อาจารย์’ ของเซี่ยวตงคนนี้ สามารถใช้เวลาอันสั้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง ชี้แนะให้เซี่ยวตงเล่นงานลู่ซุนเสีย จนจมูกเขียวหน้าบวม เขาคิดว่าจะเป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มที่ท่องเที่ยวไปทั่ว โลกมนุษย์เสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนกับนักศึกษา คนหนึ่งเช่นนี้
“พ่อหนุ่ม ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบกันเลย” ลู่เฮ่าหรานทักทายขึ้นก่อน เอ่ยต่อว่า “ข้าคือลู่เฮ่าหรานแห่งสํานักเทวินทร์”
“ไม่เคยพบเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดกีฬาสีขาวผงกศีรษะตอบ จากนั้น ก็ก้มหัวไปอ่านเอกสารในมือต่อ
พวกหนุ่มๆ อย่างลู่ซุน เมื่อเห็นเช่นนี้ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจบ้าง แล้ว
นี่ถือว่าทักทายแล้วหรือ?
พบกับผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ กระทั่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งขั้นสูงสุดของบู๊ลิ้มในปัจจุบัน เลยทีเดียว แต่กลับมีท่าทีตอบกลับเรียบๆ แบบนี้? หยิ่งยโสเสียจริง จง ใจทําเป็นอวดเก่งสินะ?
เหล่าคนหนุ่มจากสํานักเทวินทร์ ในใจรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
ลู่เฮ่าหรานกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร
เขามองไม่ออกถึงตื้นลึกของชายหนุ่มคนนี้ จากร่างกายของอีก ฝ่าย สัมผัสไม่ได้ถึงคลื่นกําลังภายในเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีกลิ่นอาย อะไรบางอย่างเลือนรางอยู่ แปลกประหลาดอย่างมาก
“พ่อหนุ่มก็เป็นคนในบู๊ลิ้มหรือ?” ลู่เฮ่าหรานถามขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มพับเอกสารในมือ ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ ข้าเป็น เพียงที่ปรึกษาทางการทหาร ดังนั้นที่ท่านอาวุโสก่อนหน้านี้ไม่เห็นข้าใน ลานประลองยุทธ์จึงเป็นเรื่องปกติ ข้าได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว ผู้ อยู่อันดับหนึ่งแห่งเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ วันนี้ได้มาพบก็สมคําร�าลือจริงๆ”
ประโยคนี้ กลับพูดเอาจนคนจากสํานักเทวินทร์หลายคนล้วนเบิก บานใจขึ้น
ลู่เฮ่าหรานสั่นศีรษะ ตอบว่า “นักประพันธ์ไม่ยอตัวว่าเป็นยอดนัก ประพันธ์ แต่จอมยุทธ์มักข่มท่านว่าตนเองเป็นยอดยุทธ์ ข้ามันแก่จน ล่วงเลยมาแล้ว แต่คนวัยหนุ่มยังมีหนทางอีกยาวไกล”
วัยรุ่นชุดกีฬาสีขาวยิ้ม ขณะที่จะพูดอะไรออกมา เสียงเอะอะจาก ภายนอกก็ดังขึ้นทุกที พวกคนจากบู๊ลิ้มบางส่วนที่ไม่ได้รับรายชื่อให้เข้า
สู่แดนเซียนฉินหลิ่ง กลับเริ่มเข้าปะทะกับกลุ่มทหารที่รวมตัวกันเป็น เส้นป้องกัน คิดจะบุกขึ้นรถทหารที่กําลังจะออกไป
สภานการณ์เริ่มที่จะเลวร้ายขึ้นมา
“พวกเราต้องการคําอธิบาย”
เจ้าสํานักวิญญาณแท้หลิงเฮ่ออู่ตะโกนขึ้นเสียงดัง
พวกเขาได้รับชื่อมาเพียงสามชื่อ รู้สึกได้รับการเหยียดหยาม ดังนั้น จึงไม่เลือกที่จะขึ้นรถ แต่วางแผนที่จะลากเอากลุ่มคนที่เต็มไปด้วย ความไม่พอใจ บีบบังคับฝ่ายทหาร ให้ได้ผลประโยชน์มากกว่านี้
สถานการณ์ดูแล้วกําลังจะสูญเสียการควบคุม
ลู่เฮ่าหรานขมวดคิ้ว ลุกขึ้นลงจากรถมาที่ถนน พูดขึ้นด้วยเสียงอัน ดัง “ทุกท่านโปรดเงียบก่อน ช่วยฟังข้าสักนิด” ขณะที่เขาพูดได้ใช้กําลัง ภายในทําให้เสียงดังขึ้น เพื่อกดเสียงตะโกนเจี๊ยวจ๊าวลง
เจ้าสํานักเทวินทร์ ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแห่งเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ ในบู๊ลิ้มนี้ถือว่ามีตําแหน่งและบารมีอยู่พอสมควร เพียงแค่เขาเอ่ยปาก ระเบียบก็เหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย คนมากมายล้วนมองมาที่ชายชรา เปี่ ยมคุณธรรมและชื่อเสียงคนนี้
“ทุกท่าน ทุกครั้งที่มีการเปิดแดนเซียน คนที่สามารถเข้าไปได้นั้นมี จํานวนจํากัด ฝ่ายทหารนั้นได้ใช้ดุลยพินิจและยอมถอยให้อย่างมาก แล้ว ทุกท่านจากบู๊ลิ้มล้วนเป็นลูกหลานชาวจีนด้วยกันทั้งสิ้น แล้วฝ่าย ทหารจะจงใจหลอกใช้เพื่ออะไร? ครั้งนี้คือแดนเซียนฉินหลิ่ง ครั้งหน้าก็ ยังมีการเปิดของแดนเซียนอื่นอยู่อีก ทุกท่านจะได้รับโอกาสเพื่อเข้าไป ขอให้สงบและใจเย็นกันก่อน”
ลู่เฮ่าหรานพยายามอธิบายเตือนอย่างอดทน
แต่ทว่าคําตอบเช่นนี้ กลับไม่สามารถทําให้คนที่กําลังตาร้อนพึง พอใจได้
“ตาแก่ไสหัวไป”
“คนของฝ่ายทหารออกมาพูดหน่อย”
“สํานักเทวินทร์กลายเป็นสุนัขรับใช้พวกทหารไปแล้วหรือ?”
“พอได้ส่วนแบ่งหน่อยมาทําตัวเชื่องเชื่อฟัง พวกเจ้าสํานักเทวินทร์ ได้รายชื่อไปเท่าไรกัน? ถ้าอยากจะคิดเพื่อพวกเราล่ะก็ ก็เอารายชื่อของ พวกเจ้าแลกออกมาเสีย…”
เสียงเติมฟืนสุมน�ามันจากแต่ละฝ่ายกระพือขึ้น
โดยเฉพาะเหล่าศิษย์จากสํานักวิญญาณแท้และสํานักชมดารา จง ใจตะโกนใส่ไฟ ตะโกนออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนเจ้าสํานักของทั้งสอง สํานักนี้ กลับยืนยิ้มเย็นชาใส่ลู่เฮ่าหรานอยู่อีกด้าน
บนรถ ศิษย์สํานักเทวินททร์ถูกพูดใส่เช่นนี้ ก็โมโหจนตัวสั่นระริก
ตอนนี้เอง ลู่เฮ่าหรานจู่ๆ ก็ถอนใจออกมา “ได้ เช่นนั้นสํานัก เทวินทร์ของข้า จะยอมถอนรายชื่อออกห้าคน…” เขาหันหน้าไปมองรถ ทหาร พูดชื่อคนออกมาห้าชื่อ “ลู่ซุน เยี่ยนเอ๋อร์…..พวกเจ้าห้าคน ออกมาเถอะ คราวหลังถ้ามีโอกาสค่อยเข้าสู่แดนเซียนอื่น”
พวกของลู่ซุนทั้งห้าคนหน้าเปลี่ยนสีทันที
แต่นี่คือการตัดสินใจของเจ้าสํานัก ในใจพวกเขาถึงแม้จะรู้สึก เสียดายและผิดหวัง แต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่พอใจ และทยอยเดินตามลงมา ตามคําสั่ง
“แค่ห้าคนหรือ?” กลุ่มคนตรงข้าม เจ้าสํานักวิญญาณแท้หลิงเฮ่ออู่ ยิ้มเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสํานักเทวินทร์ อย่างน้องก็ได้ไปตั้งยี่สิบ รายชื่อ ถอนออกมาแค่ห้าชื่อ แล้วจะได้รับการนับถือได้อย่างไร ถ้าท่าน ลู่คิดจะทําเพื่อพวกเราจริงๆ ก็เอารายชื่อทั้งหมดของสํานักเทวินทร์ ถอนออกมาเสีย ครั้งหน้าพวกเจ้าค่อยไป”
นี่เป็นการฉีกหน้าอย่างถึงที่สุด
เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ที่แท้จริง ก็เหมือนจะไม่สามารถรับมือ แบบถูๆ ไถๆ ได้
พวกของลู่ซุนเมื่อได้ยิน ก็รู้สึกโมโหเดือดดาล
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไร จู่ๆ เสียงๆ หนึ่งได้ดัง ลอดออกมาจากในรถทหาร “รายชื่อของสํานักเทวินทร์จะไม่ถูกถอด ออกแม้แต่ชื่อเดียว แต่รายชื่อทั้งสามของพวกเจ้าสํานักวิญญาณแท้ นับตั้งแต่ตอนนี้ถือว่าเป็นโมฆะ”
น�าเสียงฟังดูเรียบๆ เหมือนกับเป็นการพูดอย่างปกติทั่วไป แต่กลับ แฝงไปด้วยพลังที่ทุกคนไม่สามารถจะเข้าใจได้ ราวกับพุ่งผ่านเสียง จ้อกแจ้กและเสียงทะเลาะเบาะแว้งทั้งหมดออกมา ใสดังกังวาลอยู่ข้าง หูของคนทุกคน
พวกของลู่ซุน หันกลับไปมองด้วยสัญชาติญาณ ก็พบว่าอาจารย์ ของเซี่ยวตง หรือก็คือชายหนุ่มผมสั้นในชุดนักกีฬาสีขาวคนนั้นได้เดิน ลงมาจากรถตรงมาเข้ามาทางนี้
คนที่พูดเมื่อสักครู่ก็คือเขานี่เอง
“เจ้าเดรัจฉาน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? มีสิทธิ์อะไรคิดจะมาแย่ง ชิงรายชื่อของสํานักวิญญาณแท้ของข้า?” หลิงเฮ่ออู่สบถออกมาตรงๆ
นางรู้สึกว่า นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่เมืองเป่าจี สํานักของตนเองทั้งหมด ก็ถูกเพ่งเล็งเสียแล้ว ตอนนี้กระทั่งชายหนุ่มที่ไม่มีคลื่นกําลังภายในเลย ในตัวแม้แต่น้อย ก็ยังกล้ามาต่อปากต่อคําเช่นนี้ นางโมโหจนจะระเบิด อยู่แล้ว
ชายหนุ่มชุดขาว “ข้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เจ้าควรจะขอบคุณ มารดาของเจ้าเสีย”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?” ลู่เฮ่ออู่เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล
“ถ้าหากเจ้าไม่ได้ถูกนางคลอดออกมาเป็นคนจีนล่ะก็ เจ้าตอนนี้คง ได้ตายไปสักหมื่นครั้งแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “ไม่ เพียงแค่โอกาสในแดนเซียนฉินหลิ่งครั้งนี้ที่สํานักวิญญาณแท้จะไม่มี ต่อให้ต่อไปทั่วประเทศมีการเปิดแดนเซียนใดๆ ขึ้นมาอีก สํานัก วิญญาณแท้ก็จะไม่ได้รับโอกาสให้เข้าไป”
“เจ้าเดรัจฉาน เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากําลังพูดกับใครอยู่?” หลิงเฮ่ออู่ โมโหจนตัวสั่น
ในฐานะที่เป็นเจ้าสํานักคนหนึ่งจากเจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไรกันที่ นางต้องมาถูกคนหนุ่มคนหนึ่งดุด่าต่อหน้าชาวบู๊ลิ้มด้วยกันเช่นนี้? ในใจ นางเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว
“ข้ารู้ว่าว่ากําลังพูดกับใคร แต่ที่ชัดเจนก็คือ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ากําลังพูด กับใครอยู่” ชายหนุ่มชุดขาวสีหน้านิ่งเฉยมาโดยตลอด เอ่ยคําประกาศ ตัดสินออกมาว่า “ไม่ใช่แค่สํานักวิญญาณแท้ ยังมีพวกสํานักอื่นๆ ที่มา ก่อเรื่องเช่นนี้ด้วย วันนี้ไม่ได้รรับโอกาสให้เข้าไปในแดนเซียนฉินหลิ่ง ภายภาคหน้าก็จะไม่ได้รับโอกาสเข้าไปในแดนเซียนเช่นกัน พวกเจ้า อย่าคิดมาใช้ลูกไม้เอากลุ่มคนมาชนะกฎหมายเช่นนี้ นี่ไม่ใช่เล่นพ่อแม่ ลูก คิดว่างอแงแล้วจะได้ลูกอมมากินหรือไรกัน? ไร้เดียงสา”
เขามองพวกคนจากบู๊ลิ้มนับพันด้านข้างถนนที่เหมือนจะพุ่งฝ่า แนวทหารถือปืนมาได้ตลอดเวลา เอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคํา “เจ้าพวก ที่คิดจะเข้าไปแย่งชิงโอกาสในแดนเซียนก่อนหน้า เอามือลูบอกตัวเอง แล้วคิดดูเสียก่อน ว่าพวกเจ้าคู่ควรหรือไม่…มีเพียงจอมยุทธ์ที่แท้จริง นักรบที่เข้าในถึงเส้นทางแห่งคุณธรรม ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่แดน เซียนศักดิ์สิทธิ์ได้….ใครที่ไม่ได้รับชื่อแล้วก้าวข้ามเส้นนี้มา ตาย! ”
ชายหนุ่มชุดขาวโบกมือวาด
ปราณดาบสีขาวสายหนึ่งสว่างขึ้น วาดเอาเส้นขนาดกําปั้ นลงบน แผ่นหินดําที่พื้นใต้เท้าจนเป็นรอยยาวกว่าร้อยเมตร
……………………………………