จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 511 ทําอะไรได้ตามใจจริงๆ
ประกายดาบสกัดกั้นเป็นทางร้อยเมตร
เสี้ยวขณะนี้ ทุกคนที่นั่นรู้สึกเหมือนมีคนใช้ค้อนทุบอย่างแรงที่ หัวใจ
ทักษะเลิศล�านัก
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลําพังเพียงพลังภายในที่ปล่อยออกมาก็ ประกาศชัดแล้วว่าเด็กหนุ่มชุดกีฬาสีขาวคนนี้เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอด ฝีมือ อีกทั้งยังเป็นระดับผู้แข็งแกร่งที่อยู่เหนือขั้นสูงสุดไปแล้วอีกด้วย ถึงแม้ตอนนี้คนที่สามารถปล่อยกําลังภายในออกมาได้ จะเริ่มปรากฏ ขึ้นตามพลังฟ้าดินที่เพิ่มมากขึ้น แต่เหมือนกับเด็กหนุ่มคนนี้แค่ชี้นิ้ว ออกไป ปราณดาบสีขาวกว้างใหญ่พุ่งออกมา รอยเส้นตรงลากยาวเส้น หนึ่งก็ปรากฏบนพื้นหิน ต่อให้เป็นลู่เฮ่าหรานผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของ เจ็ดสํานักศักดิ์สิทธิ์ก็ทําไม่ได้กระมัง?
ลู่เฮ่าหรานมองหลี่มู่อย่างอึ้งตะลึงเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้เขาก็คิดได้แล้วว่า หลี่มู่อาจจะเป็นยอดฝีมือชั้นสูงที่เก็บ ซ่อนตัวตน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะ ‘สูง’ ถึงขนาดนี้
นี่มันสูงจนไม่ใช่คน
ส่วนผู้แข็งแกร่งรุ่นหนุ่มสาวอย่างลู่ซวิ่น ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ในใจยิ่งตื่น ตะลึง
เมื่อครู่นี้พวกเขายังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ข้างโอ้อวดวางท่า แต่ตอนนี้ดูแล้ว เขาเป็นเทพจุติลงมาอยู่ใกล้กับมนุษย์นี่นา พลัง แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ มีแต่บุคคลในเทพนิยายเท่านั้น แข็งแกร่งจนเกิน จริงไปแล้ว
ลู่ซวิ่นมองไปทางเซียวตงโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าของทหารหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าตื่นตะลึงสักเท่าไหร่
นี่หมายความว่า นายทหารคนนี้รู้ถึงพลึงที่แท้จริงของอาจารย์ ตัวเองตั้งนานแล้ว
ลู่ซวิ่นรู้สึกว่าตัวเองโดนทหารคนนี้อัดเอาไม่น่าเสียใจเลยแม้แต่ น้อย
เขามีอาจารย์ที่เก่งกาจขนาดนี้อยู่เบื้องหลัง ภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าตน มากเหลือเกิน นึกว่า ‘ท่ากายบริหาร’ ที่ฝึกอยู่ทุกวันที่สนามกีฬานั่นฝึก เล่นๆ นี่นับว่า ‘ตกปลา’ รึเปล่า? เขามีความคิดอยากจะปิดหน้าตัวเอง ขึ้นมาชั่ววูบ หากรู้ก่อนล่วงหน้า ตอนเช้าคงไม่ไป ‘ชี้แนะ’ เขามั่วซั่ว
แบบนั้นแล้ว คราวนี้เป็นอย่างไรเล่า วางท่าไม่สําเร็จซ�ายังกลับมาตบ หน้าตัวเองอีกด้วย ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ นัยย์ตาเต็มไปด้วยประกายดาว “พี่ใหญ่ อายุเขาก็พอๆ กับพวกเราแต่ทําไมถึงร้ายกาจได้ถึงขนาด นั้นกัน?” เธอใช้นิ้วจิ้มลู่ซวิ่น ลู่ซวิ่นเอ่ยอย่างจนปัญญาและไร้เรี่ยวแรง “พี่จะไปรู้ได้อย่างไร?” บางทีอาจจะเป็นปีศาจแก่เป็นอมตะละมั้ง แน่นอน คําพูดแบบนี้ทุบเขาให้ตายก็ไม่กล้าพูดออกมาเด็ดขาด คนในยุทธจักรทุกคนต่างอยู่ในความตื่นตะลึงสมองค้าง นานกว่า จะดึงสติกลับมาได้ พูดเสียงต�าทุ้มอะไร จากนั้นบรรยากาศเงียบสงัดก็ ถูกทําลายลง สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังเด็กหนุ่มชุดกีฬาสีขาว สายตา ของพวกเขาในตอนนี้ต่างไปจากก่อนหน้านี้ที่ดูถูก หัวเราะเยาะ และ โกรธแค้น กลายเป็นยําเกรง ตื่นกลัว สงสัย และขี้ขลาด ใบหน้าชราที่รักษาไว้เป็นอย่างดีของเจ้าสํานักวิญญาณแท้หลิงเฮ่อ อู่สีหน้าย�าแย่เหมือนเมื่อครู่เผลอกินอึเข้าไปต่อหน้าสาธารณชน เจ้าสํานักชมดาราตงฟางอวิ๋นก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
วันนี้ เรื่องยุแยงผู้คนบีบบังคับฝั่ งทหาร ก็เป็นพวกเขาสองสํานักที่ เป็นตัวตั้งตัวตี สุดท้ายไม่ใช่แค่ไม่บรรลุผลที่คาดเอาไว้ กลับ ‘ขโมยไก่ ไม่สําเร็จ ซ�ายังเสียข้าวเปลือกไปอีกกํามือ’ รายชื่อที่แต่เดิมมีสิทธิ์สาม คนก็หลุดลอย ยิ่งถูกตัดโอกาสที่จะเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในภาย ภาคหน้าด้วย การสูญเสียนี้สาหัสนัก
“พลังมากแล้วแน่นักหรือไง พลังมากจะทําอะไรตามใจชอบก็ได้ หรือไง” หลิงเฮ่ออู่อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิง งัดนิสัยไม่ใช้เหตุใช้ผลขึ้นมา ทันที
หากจะพูด ยุทธจักรบนโลกก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างสักเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละ ก่อนหน้านี้ตอนที่ไม่มีพลังฟ้าดิน ส่วนมากก็อาศัยการ อวดอ้างต้มตุ๋นไปวันๆ ปีนขึ้นที่สูงมีพลังฟ้าดิน คนที่ฝึกวิชาแต่ก่อนพวก นั้นในที่สุดก็ฝึกฝนอะไรออกมาได้บ้าง หลังจากที่พอจะมีวรยุทธ์ขึ้นมา จริงๆ บุคลิกอย่างจอมยุทธ์และการฝึกฝนจิตใจก็ตามไม่ค่อยจะทันแล้ว
ตระกูลใหญ่ที่ฝึกฝนทั้งภายนอกและภายในเหมือนลู่เฮ่าหราน เช่นนี้ มีจํานวนน้อยนัก
ส่วนเจ้าสํานักอย่างหลิงเฮ่ออู่แบบนี้เป็นตระกูลเล็กๆ ที่ไม่มีมาด ไม่ มีทางทําการใหญ่ได้สําเร็จ เจอกับอุปสรรคอะไรเล็กน้อย ก็เผยร่างที่ แท้จริงออกมาทันที
“แล้วจะทําไม?” เด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ย “พลังสูงก็จะทําอะไรตามใจ ได้จริงๆ นั่นแหละ”
“แก…” หลิงเฮ่ออู่เอ่ยอย่างโมโห “แกจะไม่พูดกันด้วยเหตุผลรึ ไง?”
เด็กหนุ่มชุดขาวตอบ “ก็ไม่อะดิ” หลิงเฮ่ออู่ “…” มารดามันสิ ไม่พูดจากันด้วยเหตุผลจริงๆ ด้วย นี่จะคุยกันอย่างไร
กระนั้นแล้ว เธอจึงเอ่ยอย่างโมโห “ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าแกจะฆ่าฉัน จริงๆ ภายใต้สายตาประชาชีแบบนี้”
พูดแล้ว เธอก็ยกเท้าเดินไปทางรอยที่ประกายดาบทางนั้นลากไว้ เด็กหนุ่มชุดขาวไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินไปทางรถทหาร สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างของเฮ่อหลิงอู่
เธอก้าวเท้ายกขาข้ามรอยดาบ ฉูด!
แสงสีขาวทางหนึ่งเพียงกะพริบวูบ
ครึ่งร่างของหลิงเฮ่ออู่ก็เหมือนถูกพลังอันน่าหวาดหวั่นไร้รูปร่างบด ขยี้กลายเป็นหมอกเลือด
เธอไม่ทันจะได้พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ร่างก็หงายหลังล้มตึง ลงไป
เผละ!
เสี้ยวพริบตาที่ครึ่งร่างที่เหลือข้ามผ่านรอยทางดาบก็กลายเป็น ละอองเลือดเช่นกัน
ทันใดนั้น กลุ่มคนรอบๆ ก็วิพากย์วิจารณ์ฮือฮาขึ้นมาเหมือนผึ้งถูก ตีรังทันที คนในยุทธจักรที่ถูกกองกําลังทหารอาวุธครบครันสกัดกั้นไว้ นอกขบวนรถบนถนน ส่งเสียงร้องอย่างตื่นตกใจออกมาอย่างยากจะ ควบคุม มีคนถอยออกมาทันที เหมือนว่ากลัวรอยดาบนี่จะขยับได้ กลัว ว่าจะบดขยี้ตัวเองแหลกละเอียด
ก่อนหน้านี้ คนทั้งหลายคิดว่าความหมายของ ‘ข้ามเส้นนี้มาตาย’ ของเด็กหนุ่มชุดขาวที่ว่าคือใครข้ามเส้นนี้มาก็จะลงมือฆ่าคนนั้น แต่คิด ไม่ถึงเลยว่า ‘เส้น’ นี้มันจะฆ่าคนได้นี่นา
เฮ่อหลิงอู่เป็นเจ้าสํานักของสํานักวิญญาณแท้ หนึ่งในเจ็ดสํานัก ศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ ถึงแม้จะเทียบกับขอบเขตอย่างลู่เฮ่าหรานสํานัก เทวินทร์เช่นนั้นไม่ได้ แต่ในยุทธจักรในประเทศก็มีชื่อเสียงและบารมี มาก พลังไม่ธรรมดา สุดท้ายกลับถูกสังหารในชั่วพริบตา
ความแตกต่างระหว่างขั้วอํานาจทั้งสองก็แสดงออกมาให้เห็นอย่าง ชัดเจนในทันที
นี่คือกลวิธีอภินิหารอะไร?
วิชาแบบนี้แข็งแกร่งเกินกว่าจินตนาการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง
พวกคนในยุทธจักรที่ก่อนหน้านี้โหวกเหวกโวยวาย ตอนนี้ใบหน้า เต็มไปด้วยความตื่นกลัว เหมือนกับเป็ดโดนบีบคอแบบนั้น ไม่กล้าส่ง เสียงอะไรอีกต่อไป หัวใจของตงฟางอวิ๋น เจ้าสํานักชมดาราหัวใจเต้น ระรัว ต่อให้เป็นยอดฝีมือของสํานักวิญญาณแท้คนอื่นในใจก็เกิดความ ขยาดกลัวเช่นกัน ไม่กล้าที่จะพูดคํากลบเกลื่อนใดๆ
คนที่ค่อนข้างฉลาดก็คิดเชื่อมโยงอะไรออกแล้ว
ที่แท้ นี่ถึงจะเป็นความมั่นใจของฝ่ายทหารที่เอาไว้รับมือกับคนใน ยุทธจักรนั่นเอง
……
นั่งรถไฟความเร็วสูงจากสถานีจิ่วเฉวียนที่อยู่ใกล้ที่สุดไปเมืองเป่าจี ใช้เวลาสองชั่วโมง นี่เร็วกว่าปกติมากนัก เพราะเป็นรถขบวนด่วนพิเศษ หน่วยการรถไฟอนุมัติเพิ่มความเร็วเป็นพิเศษ วิ่งตรงมาตลอดสายไม่ จอดสถานีใดทั้งสิ้น
เช้าตรู่ตอนตีสาม ยอดฝีมือในยุทธจักรก็มาถึงเมืองเป่าจี
ออกจากสถานีมาก็มีรถทหารมารับ วิ่งตรงไปยังทางหลวงแผ่นดิน 301 มุ่งหน้าไปยังต้นแม่น�าเจียหลิง
ทั้งสายแนวทิวเขาทางเหนือเทือกเขาฉินหลิ่งของถนนสาย 301 ทางทหารได้ทําการควบคุมดูแลชั่วคราว บนถนนไม่มีรถส่วนตัวเลยสัก คัน แต่รถทหารกลับไม่เร็ว เพราะในภูเขามีหมอกหนาลอยตลบ ถึงแม้ผู้ ที่ขับรถจะเป็นพนักงานขับรถพิเศษของฝ่ายทหารก็ไม่กล้าประมาท
หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงขบวนรถก็วิ่งออกจากทางหลวง แผ่นดิน เข้าสู่ถนนแคบๆ เขตภูเขาป่าดึกดําบรรพ์เขียวชอุ่ม ระหว่าง ช่องภูเขายังมีเสียงน�าตกดังกระหึ่ม ความชื้นสูงมาก ทิวทัศน์ก็งดงาม มากเช่นกัน แต่ทุกคนไม่มีใจชื่นชมความงาม ต่างอยากไปถึงที่หมาย เข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างอดรนทนไม่ไหวแล้วเต็มที
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ในช่วงเวลารุ่งอรุณ ในที่สุดก็มาถึงเขตค่ายที่ ทางฝ่ายทหารตั้งไว้บริเวณต้นแม่น�าเจียหลิง
อธิบายง่ายๆ ทุกคนก็เข้าใจสถานการณ์ในแดนเซียนฉินหลิ่งใน วันนี้แล้ว
เมื่อวานตอนสี่ทุ่มเกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทําให้แดนเซียนฉินหลิงเปิด ก่อนเวลา
ตอนนี้ในภูเขาหมอกลงหนา ที่ตั้งของค่ายนับว่าอยู่รอบนอก บริเวณหมอกหนา แต่ทัศนวิสัยก็ต�ามากแล้ว ในขณะเดียวกันพลังฟ้า ดินเต็มเปี่ ยมที่หมอกนํามา แค่สูดลมหายใจก็ทําให้คนรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เหมือนน�าพุในภูเขาที่ชะล้างจิตใจผู้คน สบายเป็น อย่างยิ่ง
สําหรับคนในยุทธจักร สภาพแวดล้อมเช่นนี้มากพอที่จะทําให้พวก เขาดีใจจนแทบคลั่ง
วิชายุทธ์ต่างๆ ที่พวกเขาฝึกฝน พูดจากคุณสมบัติแล้วก็เป็นวิชาที่ สูดพลังฟ้าดินเข้าร่าง ปรับแก้คุณสมบัติกาย ยกระดับพลังชีวิต
เพียงแต่ระดับต�ากว่าวิชาต่างๆ บนดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจวมาก นัก เคล็ดวิชาของปรัชญาเมธีในสมัยโบราณเหล่านั้น ที่สืบทอดต่อมามี ไม่เท่าไหร่ วิชาฝึกฝนมากมายสาบสูญไปแล้ว หรือไม่ก็ศึกษาอยู่ในมือ คนกลุ่มน้อย นี่ทําให้ระบบยุทธจักรในประเทศอยู่ในระดับต�า
ฝ่ายทหารปล่อยเครื่องมือสอดแนมเข้าไป แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งสิ้น อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทั้งหมดเมื่อเข้าไปในจุดลึกของหมอกหนาก็ ใช้การไม่ได้
“อาศัยพวกคุณแล้ว”
หัวหน้ากองทหารชราผมดําแซมขาว มองคนในยุทธจักร เอ่ยขึ้น อย่างจริงใจ
ก่อนหน้านี้หน่วยได้ส่งทหารพิเศษเข้าไปในจุดลึกของหมอกหนา แต่ร่องรอยไม่ชัดเจน เคราะห์ร้ายมากกว่าดี ทําให้เหล่าหัวหน้าของกอง ทหารกองนี้ใจกลัดกลุ้ม
ไม่รู้ว่าทําไม ชายชราใช้น�าเสียงเช่นนี้ฝากฝัง คนในยุทธจักรต่าง รู้สึกว่าบนไหล่พลันมีภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาทันที
หลังจากจัดเตรียมเรียบร้อย การเดินทางเข้าไปในแดนเซียนก็เริ่ม ขึ้น
หลี่มู่ยืนอยู่ข้างนอกเขตหมอก มองอยู่ครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยขึ้น “เดี๋ยว ก่อน รออีกสองชั่วโมงค่อยเข้าไป”
เขาพูดออกมาแบบนี้ สายตาทั้งหมดก็รวมมายังร่างของเขาทันที
หลังจากผ่านภาพเหตุการณ์สนามประลองในทะเลทรายจิ่วเฉวียน หลี่มู่ตอนนี้กลายเป็น ‘พี่ใหญ่’ ที่เหล่ายอดฝีมือในยุทธจักรยอมรับแล้ว
“ในหมอกมีกําแพงมิติที่ยังไม่เสถียร หากบุ่มบ่ามเข้าไปจะมี อันตรายได้” หลี่มู่หมุนตัว “โอกาสที่แท้จริง เป็นของคุณใครก็เอาไป ไม่ได้ ไม่ใช่ของคุณ เข้าไปก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นไม่ต้องรีบ ร้อน อีกทั้ง ผมจะถ่ายทอดวิชาฝึกหายใจ หลอมพลังเข้าไปในกาย ฝึกฝนปราณแท้ที่เหนือกว่ากําลังภายในให้กับทุกคน หลังจากเข้าไปใน แดนเซียนแล้วฝึกฝน ประสิทธิภาพยิ่งดี”
อะไร?
ถ่ายทอดวิชา?
คนทั้งหลายได้ยิน หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งก็ฮือฮาขึ้นมา
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในเจ็ด สํานักศักดิ์สิทธิ์ลู่เฮ่าหรานพูดแบบนี้ บางทีอาจมีคนใจหวั่นไหว แต่ บรรยากาศไม่มีทางร้อนระอุเช่นนี้แน่ ทว่า คนที่พูดคือหลี่มู่ ได้เห็นวิชา ของเขา อีกทั้งข้อมูลข่าวลือต่างๆ ที่สะพัดมาตลอดทาง ทุกคนก็พอจะ เดาได้ออกมาคร่าวๆ แล้วว่า เด็กหนุ่มที่เหมือนกับเด็กมหาวิทยาลัยใน ชุดกีฬาสีขาวก็คือบุคคลเก่งกาจสังหารศัตรูอย่างองอาจที่เขาฉีเหลียน คนนั้น
วิชาที่เทพเซียนในแดนมนุษย์เช่นนี้ถ่ายทอดให้ ใครจะไม่อยากได้ กันกัน?
“ขอบคุณเทวะหลี่เป็นอย่างสูง” “ขอบคุณท่านเซียนหลี่เป็นอย่างสูง” เสียงขอบคุณต่างๆ ดังเป็นระลอกคลื่น
หลี่มู่ยิ้มบางๆ เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่านมายืนอยู่ที่นี่ได้ล้วนเป็นผู้ จงรักภักดีที่ผมและหัวหน้าหน่วยเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี คุณลักษณะ นิสัยซื่อตรง ดังนั้นวิชาที่ผมเผยแพร่ก็ควรค่ากับใจรักประเทศชาติของ ทุกท่าน ชื่อของวิชานั้นเรียบง่ายมาก เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาฝึกลมหายใจ’ ทั้งหมดแบ่งเป็นสิบสองขั้น ขั้นที่สิบสองบริบูรณ์กายเนื้อก็สามารถเหาะ เหินเดินอากาศ ออกไปจากห้วงดาราสมุทรได้…หวังว่าทุกท่านจะยึดมั่น อุดมการณ์ ผดุงความยุติธรรม ถือเอาความสุขและประโยชน์ของชาติ บ้านเมืองและประชาชนมาเป็นอันดับหนึ่ง หากมีคนได้เคล็ดวิชาไปแต่ กลับเดินเข้าสู่สายมาร ผมก็จะสังหารล้างสํานัก แม้จะอยู่ห่างไกลข้าม ห้วงดาราก็จะตามไปสังหารอย่างแน่นอน”
……………………………………