จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 512 โลกดึกดําบรรพ์
หลี่มู่ตัดสินใจถ่ายทอดวิชาไม่ใช่แค่ความคิดเพียงชั่ววูบ แต่ผ่าน การคิดวางแผนมานานแล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาได้จัดระเบียบเคล็ดวิชาฝึกกายและลมหายใจจาก แผ่นดินใหญ่เสินโจวออกมาเป็นพิเศษแล้วมอบให้กับทางทหาร ให้ฝ่าย ทหารรักษาดูแล อีกทั้งยังเผยแพร่ไปในกองทัพ เอามายกระดับ คุณสมบัติกาย ความสามารถทางด้านปฏิกิริยา และการดํารงชีวิตของ ทหาร ยกระดับคุณสมบัติในทุกด้าน นี่นับว่าสร้างคุณูปการต่อประเทศ
ส่วนตอนนี้สอน ‘วิชาฝึกลมหายใจ’ ให้กับคนในยุทธจักร เป็นวิชา ฝึกลมหายใจอย่างค่อนข้างง่ายที่ได้จากมิติเก็บของของผู้ฝึกฝนนอกมิติ ที่สังหารในวันนั้น ฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดก็สามารถฝึกได้ไปจนถึงขั้นสิบ สอง ก้าวสู่ขั้นแมลงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…แน่นอน ด้วยสภาพแวดล้อม ของโลกในวันนี้นั้นยากมาก
ยอดฝีมือในยุทธจักรที่มาถึงยังยอดเขาฉินหลิ่งต่างเป็นผู้ที่พึ่งพาได้ ที่ผ่านการคัดเลือกจากหลี่มู่มาแล้ว ไม่ถือเป็นการเผยแพร่วิชามั่วๆ
หลี่มู่ถ่ายทอด ‘วิชาฝึกลมหายใจ’ อย่างไม่ลังเลใดๆ
หลังจากได้เห็นวิชาแล้ว ปฏิกิริยาของแต่ละคนแตกต่างกันไป
บางคนเทิดทูนไว้เหมือนของล�าค่า บางคนรวบรวมสมาธิรับรู้ บาง คนก้มหน้าครุ่นคิด บางคนเริ่มฝึกทันทีอยากจะลองผลลัพธ์
ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ชั้นบนสุดในโลกวิถียุทธ์ในประเทศอย่างลู่เฮ่า หรานก็สัมผัสอย่างตั้งใจรอบหนึ่ง ไม่นานก็เห็นจุดล�าลึกที่อยู่ในนั้น เหมือนว่าประตูของโลกใบใหม่เปิดออกอยู่ตรงหน้า ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่า เหลือเชื่อ เหมือนแตกฉานพบทางสว่าง จากนั้นก็อดสูดลมหายใจเย็น ไม่ได้
“นี่มันเคล็ดวิชาเทพเซียนชัดๆ เคล็ดวิชาเซียนของจริง เหนือกว่า เคล็ดวิชาลับชั้นยอดของสํานักใหญ่ทั้งหลาย หากหลุดไปในยุทธจักรใน ประเทศตอนนี้ ไม่ หลุดไปในเหล่าผู้แข็งแกร่งทั่วโลกจะต้องเกิดศึกแย่ง ชิงนองเลือดเป็นแน่ เคล็ดวิชาแบบนี้ พูดว่าจะถ่ายทอดก็ถ่ายทอด พลัง ของเทพสังหารหลี่ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว”
ยอดฝีมือในยุทธจักรที่มาจากสํานักเล็กๆ บางคนยิ่งตื่นเต้นจน น�าตานองหน้า
ยุคสมัยของการฝึกวรยุทธ์เปิดออกอย่างช้าๆ แล้ว คนในยุทธจักร มองเห็นโอกาสของยุคสมัยอันเรืองรองได้เร็วกว่าคนทั่วไป
กระนั้น คิดอยากจะก้าวไปอีกขั้นนั้นต้องอาศัยอะไร?
แน่นอนว่าคือเคล็ดวิชา
ยุทธจักรในประเทศตอนนี้ยังหลงเหลือความหัวโบราณ นิสัยแย่ๆ ที่ตกทอดมาจากสังคมยุคเก่า อย่าเห็นว่าในอินเตอร์เน็ตเผยแพร่ภาพ ฝึกฝนมวยไทเก็ก มวยเส้าหลิน มวยแปดปรมัตถ์ มวยสิงอี้อะไรพวกนั้น ส่วนมากล้วนเป็นกระผีกของวิชามวยเท่านั้น จิตสูงสุดและความเข้าใจ อย่างแท้จริงล้วนกุมอยู่ในมือสํานักในยุทธจักรทั้งสิ้น จอมยุทธ์ที่มา สํานักเล็กๆ และผู้ฝึกตนมือสมัครเล่น ต่อให้พรสวรรค์ดีอย่างไร คิด อยากจะฝึกฝนก็ไม่มีหนทาง หาเคล็ดวิชาไม่ได้
แต่ตอนนี้ ‘วิชาฝึกลมหายใจ’ ทําลายช่องว่างที่มนุษย์สร้างขึ้น ยกระดับให้ ‘ตระกูลใหญ่’ ‘ตระกูลเล็ก’ อยู่ในระดับมาตรฐานเดียวกัน ต่อให้เป็นคนธรรมดาไร้สํานักไร้พรรรคก็สามารถอาศัยวิชานี้ผงาด ขึ้นมาได้
ลู่ซวิ่น ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ และวัยรุ่นสํานักศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดหลายคนนั้นนั่ง ล้อมอยู่ข้างกายเซียวตง
“นายก็ฝึก ‘วิชาฝึกลมหายใจ’ เหมือนกันรึเปล่า?” ลู่เยี่ยนเอ๋อร์ ถามยิ้มตาหยี ดวงตาเหมือนจันทร์เสี้ยว
เซียวตงส่ายหน้า “อาจารย์ยังไม่ได้สอนวิชาฝึกลมหายใจให้ผม แค่ สอนวิชาหมัดให้ชุดหนึ่งเท่านั้น”
“ก็คือ ‘ท่ากายบริหาร’ ที่นายฝึกอยู่ทุกวันๆ น่ะหรอ?” ลู่ซวิ่นถาม อย่างอดไม่ได้
ความอึดอัดใจเล็กๆ นั่นสลายไปนานแล้ว
อย่างไรเสียก็เป็นวัยรุ่น มีปัญหาจุดเดียวกัน ข้อขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ไม่นานก็กลายเป็น ‘ไม่ทะเลาะไม่รู้จักกัน’ เมื่อคืนวานหลังจากได้พูดคุย กัน วัยรุ่นทั้งหลายก็กลายเป็นเพื่อนกัน ถูกอกถูกใจเข้ากันได้ดี
โดยเฉพาะหลังจากเซียวปิงพูดถึงเรื่องการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่เขาฉี เหลียนเมื่อวันนั้น คนทั้งหลายต่างเกิดความรู้สึกนับถือต่อทหารน้อยคน นี้ขึ้นมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า ทําไมเทพเซียนในโลกมนุษย์อย่าง ‘เทพ สังหาร’ หลี่มู่ถึงได้ชื่นชมและให้ความสําคัญกับเซียวตงขนาดนี้
ผู้ที่จงรักภักดีสู้ตายเพื่อประเทศแบบนี้จะปฏิบัติตนแย่ๆ ด้วยได้ อย่างไร?
พวกลู่ซวิ่นรู้สึกว่าตัวเองต่างสู้ไม่ได้จริงๆ
อีกทั้งพวกเขาก็ยังมองออกว่าหลี่มู่ให้ความสําคัญกับประเทศชาติ เป็นอย่างมาก
นี่เป็นบุคลิกลักษณะของจอมยุทธ์คนหนึ่ง
พวกเขาได้รับอิทธิพลไปโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราฝึก ‘ท่ากายบริหาร’ ตามนายได้ไหม?” ลู่ เยี่ยนเอ๋อร์ยิ้มจนตาเป็นรูปหัวใจ ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ค่อนข้างเกรงใจ
“ศิษย์น้อง อย่าไร้มารยาท” ลู่ซวิ่นรีบร้องห้ามอย่างตกใจ
อย่าถามเคล็ดวิชาคนอื่น นี่เป็นข้อห้ามของยุทธจักร
เซียวตงตอบ “อันนี้ต้องถามอาจารย์” จากนั้นก็ไปถามจริงๆ
ลู่ซวิ่นพวกวัยรุ่นทั้งหลายมองเห็นเซียวตงไปพูดอะไรกับหลี่มู่ จากนั้นหลี่มู่ก็มองมาทางพวกเขา ความรู้สึกในใจที่เกิดขึ้นทันทีแบบนั้น คือความรู้สึกที่เรียกว่าตุ้มๆ ต่อมๆ เตรียมใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องโดนด่า อย่างแน่นอน แต่หากทําให้มีภาพพจน์ที่ไม่ดีในความทรงจําของเทพ สังหารหลี่มู่ นั่นถึงจะเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย คิดๆ ดูแล้วรู้สึกเสียใจสุดๆ ไป เลย
คิดไม่ถึงว่าครู่หนึ่งเซียวตงก็ยิ้มกลับมา “อาจารย์บอกว่าได้”
“เอ๋? จริงอะ?”
“เยี่ยมไปเลย”
“ฮ่าๆ เยี่ยมสุดๆ”
“ผู้อาวุโสหลี่คือไอดอลของฉันตลอดชีวิต”
พวกวัยรุ่นโห่ร้องขึ้นมา
ถึงแม้ท่ากายบริหารจะดูง่าย ไม่มีประโยชน์อะไร แต่นั่นเป็นวิชาที่ ‘เทพสังหารหลี่มู่’ เตรียมไว้ให้เพื่อลูกศิษย์ของตัวเองโดยเฉพาะเชียว นะ จะแย่ได้ที่ไหนกัน? จะต้องมีแก่นแท้อะไรภายในที่พวกเขายังไม่ ค้นพบเป็นแน่ แค่ฝึกตามก็พอแล้ว
อันที่จริงสําหรับคนของตัวเองแล้วหลี่มู่ไม่ขี้เหนียวแม้แต่น้อย
ลู่ซวิ่นคิดแบบนี้ในใจ
หลังจากนั้นสองชั่วโมง
“เข้าไปได้แล้ว”
หลังจากหลี่มู่สํารวจแล้วก็พยักหน้าเอ่ย
ทุกคนล้วนหัวใจบีบรัด จากนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“นายเข้าไปกับเพื่อนใหม่เถอะ” หลี่มู่พูดกับเซียวตง “ทําตามที่ฉัน กําชับก็พอแล้ว”
“ครับ อาจารย์” เซียวตงตอบพลางกลับไปอยู่กับพวกลู่ซวิ่น มอง ออกว่าเขาชอบกลุ่มเล็กๆ ที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างนี่มาก
เงาคนแต่ละร่างๆ เข้าไปในหมอกกลุ่มใหญ่ ถูกหมอกหนาแน่นนี่ กลืนกิน
ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสอย่างลู่เฮ่าหราน หลังจากทักทายหลี่มู่แล้วก็เดิน เข้าไปในถนนกว้างไกล
หลี่มู่เป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปในหมอก
……
ทะเลทรายจิ่วเฉวียน เขตทหาร สนามต่อสู้
คนในยุทธจักรกว่าครึ่งที่ใช้ชื่อว่ามาเข้าร่วมการประลองแต่ไม่ได้ รายชื่อ ส่วนใหญ่หมดอาลัยตายอยาก โดยเฉพาะพวกที่เข้าร่วมเรื่อง วุ่นวายบางคน ตอนนี้ในใจยิ่งหวาดกลัว กลัวว่าทางฝ่ายทหารและหลี่มู่ จะมาคิดบัญชีภายหลัง
สํานักวิญญาณแท้และสํานักชมดารากลายเป็นผู้พ่ายแพ้ยับเยิน
ก่อนคืนเมื่อวาน พวกเขาอยู่ในสนามต่อสู้นับว่าเป็นเป้าสายตาจาก ฝ่ายต่างๆ มีแต่คนพะเน้าพะนอเอาใจ คนในยุทธจักรมากมายคิด อยากจะคบค้ากับพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงเป็นเป้าสายตา ทว่ากลับเป็นเป้าสายตาในแง่ ลบ
คนสํานักอื่นๆ เห็นลูกศิษย์ของสองสํานักนี้ก็ต่างหลีกหนีราวหนี โรคระบาด กลัวว่าจะไปเกิดเป็นความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาเข้า
ผู้คนหวาดกลัว
มีคนคิดอยากจากไปก่อน แต่ทางฝ่ายทหารปฏิเสธ
สุดท้าย ผู้นําระดับสูงฝ่ายทหารที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนคนหนึ่งมา ปลอบประโลมคนทั้งหลาย
“ทุกท่าน ทางฝ่ายทหารไม่ได้มีความคิดที่จะไล่เอาผิดกับทุกท่าน ขอทุกท่านอย่าได้กระวนกระวายใจ รอให้แดนเซียนเขาฉินหลิ่งจบลง การประลองในยุทธจักรก็จะจัดขึ้นตามกําหนด ทุกท่านยังคงมีโอกาสชิง ตําแหน่งเจ้าแห่งยุทธจักร” ผู้พูดคือชายกลางคนสวมชุดทหาร ทั่วร่างมี คลื่นกําลังภายในไม่ธรรมดา แข็งแกร่งกว่าฟ่านจู่อั๋งผู้รับผิดชอบฐาน เมื่อก่อนหน้านี้เล็กน้อย
เขามีใบหน้าเหลี่ยม หน้าตาเด็ดเดี่ยว รูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดทหาร มีท่าทางดุดันอย่างหนึ่ง
“ผมคือรองผู้อํานวยการการจัดประลองยุทธ์สือพั่วจวิน ทุกคน โปรดเชื่อผม มีข้อเรียกร้องอะไรก็สามารถมาแจ้งผมได้ ขอแค่อยู่ใน ขอบเขตที่สมเหตุผล ผมสามารถแก้ไขให้ทุกท่านได้ พวกคุณต้องเชื่อว่า
ปัญหาที่เผชิญในตอนนี้เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น รัฐบาลยังคงให้ ความสําคัญกับพวกคุณ” ชายวัยกลางคนอธิบายอย่างมีความอดทน
……
“หมอกพวกนี้เป็นม่านมิติหรือ?” หลี่มู่แปลกใจมาก
หมอกพวกนี้ทะลักออกมาจากจุดลึกของต้นแม่น�าเจียหลิง ปกคลุม ไปทั่วบริเวณหลายร้อยลี้ ทะลุหมอกสีขาวพวกนี้ไปก็เหมือนเดินอยู่ใน กระแสมิติเวลากว้างไกล ทําให้คนรู้สึกเหมือนทะลุมิติ
หลี่มู่พบว่าพลังจิตวิญญาณของตัวเองเมื่ออยู่ในหมอกนี้ก็เหมือน ถูกสกัดกั้น ไม่อาจสัมผัสทิวทัศน์ในระยะร้อยเมตรได้เลย ต่อให้เป็น ขอบเขตของจิตดาบก็แผ่ไปได้แค่สิบลี้เท่านั้น
เขาสังเกตอย่างละเอียดก็ไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวใด หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงหลี่มู่ก็เดินออกมาจากหมอกลึกลับ ภาพเบื้องหน้ากระจ่างแจ่มใส เขาเขียวขจี ท้องฟ้าสว่างสดใส ปรากฏอยู่ข้างหน้าหลี่มู่ “นี่มัน…”
เขารู้สึกตกใจมาก
กฎแห่งฟ้าดินอันคุ้นเคยไหลทะลัก พลังฟ้าดินมหาศาลประหนึ่ง วัตถุจริง
ที่นี่เหมือน…ไม่ใช่โลก?
หลี่มู่รู้สึกว่าพลังที่ตนถูกควบคุมเมื่ออยู่บนโลก ในเสี้ยวขณะนี้พลัน ฟื้ นคืนกลับมา พลังจิตวิญญาณแผ่ออกไปเหมือนคลื่นน�า ในเสี้ยว พริบตาก็ไปไกลถึงหลายพันลี้ ขอบเขตจิตดาบก็สํารวจทุกสิ่งทั่วบริเวณ ร้อยลี้อย่างละเอียด กระจ่างแจ้งปรุโปร่ง ปราณแท้ห้าธาตุในร่างและยัง มีพลังบริสุทธิ์กลุ่มนั้นไหลวนไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว
เขามีความรู้สึกโล่งสบายเหมือนมังกรคืนสู่ทะเล พยัคฆ์คืนสู่ขุนเขา
ทั้งหมดนี้ทําให้เขารู้สึกว่าเหมือนกับดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจวเปี๊ ยบ เลย
ไม่ใช่ว่ากลับมาถึงแผ่นดินใหญ่เสินโจวแล้วหรอกนะ?
หลี่มู่ตกใจสงสัย
ในหมอกนั่นมีพลังม่านมิติ หรือว่าทะลุผ่านหมอกก็เท่ากับทะลุ ผ่านค่ายกลเวลามาถึงยังโลกอีกใบหนึ่ง?
ในสมองของหลี่มู่นึกย้อนข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปิดออกของแดน เซียนก่อนหน้านี้ในประเทศทั้งสามครั้งที่ทางฝ่ายทหารมอบให้เห็นได้ ชัดว่าต่างจากแดนเซียนเขาฉินหลิ่งครั้งนี้
การเปิดออกของแดนเซียนสามครั้งก่อนหน้านี้เหมือนเป็นมิติเล็กๆ ที่เป็นเอกภาพ การเปิดออกของโลกใบเล็ก ข้างในแฝงไปด้วยพลังฟ้า ดินเต็มเปี่ ยม สภาพแวดล้อมธรรมชาติดีเยี่ยม อีกทั้ง คนที่เข้าไปข้างใน เมื่อได้สมุนไพร ผลไม้หายากบางอย่าง ผู้ฝึกยุทธ์กินมันเข้าไปก็สามารถ เพิ่มพลังฝึกฝนได้ คนธรรมดากินเข้าไปสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติ กายได้ มีพละกําลังมหาศาล นอกจากนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ไม่มี พลังโจมตีอะไร เลือดเนื้อของมันแฝงด้วยพลังงาน เมื่อกินเข้าไป ผลก็ ไม่แตกต่างจากพืช สมุนไพรพวกนี้
มิติเอกภาพเช่นนี้มีขนาดจํากัด พื้นที่อาณาบริเวณรอบๆ แค่ไม่กี่ ร้อยลี้เท่านั้น
นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์อีก
แต่มิติเบื้องหน้านี้…ใหญ่ ใหญ่มากๆ
หลี่มู่กระโดดขึ้น สําแดงวิชาขี่เมฆาเหินฟ้า เพียงชั่วพริบตาก็ข้าม ผ่านไปเป็นระยะหลายแสนลี้ แต่ก็ยังคงไม่ถึงขอบเขต
“นี่เป็นโลกใบใหญ่ของจริง ในนี้มีสิ่งมีชีวิต แต่ว่าไม่มีมนุษย์อาศัย อยู่”
หลังจากที่หลี่มู่สํารวจไปหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ได้ข้อสรุปบางอย่าง ออกมา
โลกใบนี้แม่น�าลําธาร มหาสมุทรกว้างไกล ภูเขาสายน�าตระหง่าน ซัดโหม ทิวทัศน์งดงามอลังการ มีพืชและสัตว์ป่ามากมาย ยุคสมัย เก่าแก่ยาวนาน ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากพลังฟ้าดินเต็มเปี่ ยมเช่นนี้ สัตว์ยักษ์ดึกดําบรรพ์บางตัวมีร่างและพลังแข็งแกร่ง ขนาดเหมือนภูเขา ลูกย่อมๆ แค่การโจมตีเดียวภูเขาถล่มทลาย แต่น่าแปลกที่ไม่ได้มี ปัญญาลึกล�าอะไรเป็นพิเศษ
สัตว์ยักษ์น่ากลัวที่อยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหารบางตัวก็มีระดับ สติปัญญาแค่เด็กเผ่ามนุษย์เท่านั้น นับว่าเป็นแค่ช่วงเบิกปัญญา เก่าแก่ ดึกดําบรรพ์มากๆ
“เหมือนดาวที่อยู่ในช่วงกําลังก่อเค้าร่างอารยธรรมขั้นต้นเท่านั้น ดึกดําบรรพ์เก่าแก่มาก สภาพแวดล้อมก็บริสุทธิ์นัก”
ประวัติศาสตร์ของดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจวย้อนถอยหลังไปหลาย ล้านหรือสิบล้านปีก่อน มนุษย์ยังไม่ถือกําเนิดและพัฒนา ท่าทางก็เป็น แบบนี้เช่นกัน
และในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ กฎฟ้าดินก็ชัดเจน พลังฟ้าดินเต็ม เปี่ ยม เหมาะกับการฝึกฝนวิถียุทธ์
คนในยุทธจักรหลายพันคน และขั้วอํานาจฝั่ งต่างๆ ที่แอบเข้ามา รวมไปถึงคนของทางฝ่ายทหาร มาถึงโลกใบนี้ก็เหมือนเม็ดทรายเทลง ไปในมหาสมุทร ได้ผลเก็บเกี่ยวเช่นไรก็แล้วแต่ชะตาวาสนาของแต่ละ คนแล้ว แต่สิ่งที่หลี่มู่ยืนยันได้ก็คือ โลกใบนี้มีอันตรายอยู่ ไม่ต้องพูดถึง สัตว์ยักษ์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารพวกนั้น ต่อให้เป็นสัตว์ ป่าธรรมดาก็สังหารชีวิตคนได้
…………………………………