จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 514 สิ้นสุดแดนเซียน
หลี่มู่ยกมือใช้ปราณจักรพรรดิเขียวแดนตะวันออกกรอกเข้าไปใน แขนซ้ายที่มีบาดแผลขนาดใหญ่จากการถูกหมาป่ากัดของคามิลเพื่อ รักษา เวลาเดียวกัน ก็คิดไปถึงข้อมูลบางส่วนที่ฝ่ายทหารรายงานมา
ระบบพลังและที่มาของผู้มีพลังวิเศษนั้นแตกต่างจากผู้บําเพ็ญ ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ยกตัวอย่างเช่นการรู้อนาคต มีความสามารถการรู้ล่วงหน้าจากความมืด กระทั่งระดับสูงยิ่งกว่าวิชาการคํานวณแห่งฟ้าของผู้บําเพ็ญเสียอีก สามารถมองทะลุเห็นถึงโอกาสได้อย่างชัดเจน มหัศจรรย์อย่างมาก
แต่พลังประเภทนี้คือสิ่งที่ติดตัวมาแต่กําเนิด ไม่สามารถที่จะมา เรียนรู้ฝึกฝนภายหลัง และไม่สามารถพัฒนาได้
มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปล่ะนะ
คามิลรู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายเย็นๆ พรั่งพรูออกมาจากบาดแผล
เพียงพริบตา บาดแผลของกล้ามเนื้อที่ถูกฉีกทึ้งไปจนมองเห็น กระดูกขาวเว่อบนแขนของนาง ได้ฟื้ นสู่สภาพเดิมในระดับความเร็วที่
ตามองเห็น เกิดผิวประกายราวหยกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เหลือไว้แม้แต่รอย แผลเล็กๆ
สมาชิกองค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ ในดวงตามีประกายความไม่ อยากจะเชื่อปรากฏออกมา
มหัศจรรย์อะไรขนาดนี้?
“สามารถบอกอย่างชัดเจนได้ไหม อันตรายที่ว่าอยู่ทางไหน?” หลี่มู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ตอบรับการขอร้องของอีกฝ่ายและถามขึ้นอีกครั้ง
“อ๋า? โอ้” สาวงามผมทองสองมือกําดาบใหญ่จ้องมองหลี่มู่อย่าง เหม่อลอย เมื่อได้ยินจึงได้สติกลับมา ใบหน้าแดงระเรื่อ รีบร้อนสั่น ศีรษะเพื่อระงับอารมณ์ เอ่ยตอบว่า “เบลทีน่า เธอลองสัมผัสรับรู้อีก ครั้งได้ไหม?”
เบลทีน่าดูแล้วอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี อายุยังน้อย สวมใส่ชุดยีนส์ ใบหน้ามีกระ เหมือนกับเด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ดวงตาทั้งสองกลับไม่มีประกายทางสายตา เป็นคนที่ตาบอดสนิทมา แต่กําเนิด เมื่อได้ยินจึงหลับตาลง และพยายามสัมผัสรับรู้อย่างละเอียด
เพียงไม่นาน บนใบหน้าของนาง ได้ปรากฏสีหน้าความหวาดกลัว อย่างระงับไว้ไม่ได้ขึ้น ทั้งตัวสั่นระริก เอ่ยว่า “ทิศตะวันออก ทางทิศ ตะวันออก…”
นางสัมผัสได้เพียงทิศทางเท่านั้น
“ตะวันตก? ไปกัน”
หลี่มู่ใช้วิชากระบี่เหินหาว ดาบถลาลมขยายใหญ่ขึ้นราวกับเป็น เรือเหาะลําน้อยลําหนึ่ง บรรทุกชาวเยอรมนีทั้งเก้าคนพุ่งทะยานฟ้าตรง ออกไปทางทิศตะวันตกทันที
“โอ้ ชิท…”
“พระเจ้า”
“พวกเราบินขึ้นมาแล้ว?”
“นี่เป็นวิชาเซียนทางฝั่ งตะวันออกหรือ?”
สมาชิก ‘เหล็กกล้าสีนิล’ รู้สึกถูกทําให้สั่นสะเทือน
ฝั่ งตะวันตกก็มีผู้แข็งแกร่งที่มีพลังวิเศษใช้ปีกหงษ์ปีกลมอยู่ สามารถแบกคนเพื่อบินบนท้องฟ้าได้ แต่กลับไม่สามารถทําได้ เช่นเดียวกับหลี่มู่ที่แบกคนถึงเก้าคนขึ้นมา ซ�าความเร็วระดับนี้มันราว กับเป็นจรวดก็มิปาน พลังเทพเช่นนี้มันเหมือนกับเทพเจ้าในตํานานเลย
คามิลยืนอยู่บนหลังดาบ แอบหันหน้ามองหลี่มู่ที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง
ชายหนุ่มคนนี้มีหน้าตารูปงามตามฉบับคนตะวันออกเลยทีเดียว ความน่าตกตะลึงมากมายที่เธอได้เห็น ช่างเหมือนกับเทพเจ้าในนิยาย ของฝั่ งยุโรป ไม่มีอะไรที่ทําไม่ได้ นางไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าบนโลกนี้ จะมีคนเช่นนี้อยู่ด้วย
หรือว่าจะเป็นเทพเจ้าจากฝั่ งตะวันออกกัน?
“ด้านหน้า ด้านหน้านี่เอง…” เบลทีน่าปิดตาทั้งสอง ใบหน้าเต็มไป ด้วยความหวาดกลัวราวกับมองเห็นภาพที่น่ากลัวสุดขีด
“ผ่อนคลายเข้าไว้ ไม่ต้องเครียด” มือของหลี่มู่พาดอยู่บนหัวไหล่ ของเบลทีน่า พลังจิตวูบหนึ่งคลุมทับลงมาเพื่อปลอบโยนอารมณ์ของ นาง
ไปต่อด้านหน้าราวหนึ่งแสนลี้ดาบบินเล่มยักษ์ได้หยุดลงอย่าง กะทันหัน
คนทั้งหมดล้วนมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า
กระแสวนอันสับสนขนาดยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางนับร้อยเมตร ลอย อยู่บนท้องฟ้าสูง
มิติบิดเบี้ยว แสงสว่างก็ราวกับถูกลากดึงเข้าไปในกระแสวนนั่น ไหลวนทวนเข็มนาฬิกา พลังดึงดูดอันยิ่งใหญ่มหาศาลลอดออกมาจาก
กระแสวนแปลกประหลาดนี้ ชั้นเมฆภายในรัศมีนับหมื่นเมตรล้วนถูกดึง ลากเข้ามาและหายไปในศูนย์กลางของกระแสวน
เบลทีน่ายกมือชี้ไปยังกระแสวนนั่น เอ่ยว่า “ความมืด ความตาย …”
ต่อให้มีพลังจิตของหลี่มู่คอยปลอบประโลม นางก็ยังคงแทบจะทน ไม่ไหว โลกแห่งจิตใจอยู่ในสภาพพังทลาย ใบหน้าปรากฏเส้นเลือด เขียวปูด บนมือมีเส้นเอ็นเขียวตึงแน่น จอนผมขมับมีเลือดซึมออกมา
“รีบหยุดเร็วเข้า” คามิลรีบร้อนเอ่ยขึ้น
หลี่มู่ก็พูดบ้าง “เอาล่ะ พอได้แล้ว”
“กระแสวนนี้ก็คือที่มาของภัยพิบัติ?” คามิลมองหลี่มู่ เอ่ยต่อว่า “นายท่าน อีกด้านของกระแสวน….”
หลี่มู่เอ่ยกลับ “ใกล้จะออกมาแล้ว”
เสียงยังไม่ทันขาด
ในกระแสวนขนาดใหญ่ กรงเล็บสัตว์ขนาดยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏยื่น ออกมา
นั่นคือกรงเล็บของสัตว์ขนาดยักษ์ที่ไม่รู้จัก ยาวนับสิบเมตร เต็มไป ด้วยขนสีดําที่ดูเหมือนเหล็กเจาะ มีหกนิ้ว เล็บแหลมคมดุจกระบี่ยาวสี ดํา ส่วนที่โผล่พ้นออกมาจากกระแสวนล้วนมีไฟสีดําพันรัดเอาไว้ ราว กับเปลวไฟแห่งความตายที่มาจากนรกก็มิปาน
เพียงแค่กรบเล็บข้างเดียว กลิ่นอายอันน่ากลัวที่ยากจะพรรณนา ได้ฟุ้งกระจายออกมา
ในหัวขององค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ ได้มีความกลัวและความสิ้นหวัง ที่ไม่เคยมีมาก่อนลอยออกมา จ้องมองกรงเล็บยักษ์ที่มีแสงสีดําพันรอบ คิดเพียงอยากจะคุกเข่าลงอ้อนวอนการให้อภัยและความเมตตา
“นายท่าน?”
คามิลมองไปยังหลี่มู่
เวลานี้มีเพียงเทพเจ้าที่มาจากแดนตะวันออกคนนี้เท่านั้น ที่จะ สกัดกั้นสัตว์ยักษ์น่ากลัวที่กําลังปีนออกมาจากกระแสวนนี้
ไม่คิดว่าพอแค่มอง นางก็ตัวค้างทื่อไป
ไม่รู้ว่าเมื่อไร หน้าผากของหลี่มู่ได้มีรอยแยกเปิดออก เผยให้เห็น ดวงตาในแนวตั้ง ด้านในลึกราวกับห้วงลึกสีดํา และมีประกายดารา
ไหลเวียนอยู่ประดุจท้องฟ้าดาราสีดําอันเดียวดาย มีแสงดาราอันไกล โพ้นกระพริบระยิบระยับ ทั้งประหลาดและลึกลับถึงที่สุด
จิตใจของคามิล พริบตาราวกับถูกดวงตาแนวตั้งนั้นลากจูงไป
“รออีกหน่อย” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
เขาพบเรื่องอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
เสียงคํารามอันเดือดดาลหลายเสียง ดังลอดออกมาจากกระแสวน มิตินั่น สั่นสะเทือนฟ้าดิน
สิ่งมีชีวิตภายในรัศมีร้อยเมตรรอบๆ ไม่รู้ว่าถูกสั่นสะเทือนจนตาย ไปเท่าไรในพริบตา เขตแดนจิตดาบของหลี่มู่เปิดออก ปกป้องคนจาก ‘เหล็กกล้าสีนิล’ อย่างสบายๆ คลื่นโจมตีระดับนี้พอๆ กับเสียงของเผ่า ปีศาจระดับมหาเทวะบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว สําหรับหลี่มู่แล้วไม่ใช่ เรื่องน่ากังวล
นี่ก็ทําให้หลี่มู่วินิจฉัยออกมาได้ว่า เจ้าสัตว์ร้ายสีดําที่คิดจะผ่าน กระแสวนมิตินี้เข้ามา น่าจะยังไม่เข้าสู่ขั้นแมลง เป็นเพียงแค่ปีศาจใน ระดับปีศาจศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
แต่ทว่า การจะผ่านกระแสวนมิตินี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จากในขณะที่กรงเล็บยักษ์อีกข้างลอดออกมาจากกระแสวน และ ร่างสัตว์ยักษ์เหมือนหมีดําได้ลอดออกมาจากกระแสวนพร้อมอ้าปาก คํารามนั้น จู่ๆ ฟ้าดินทางด้านนี้ได้มีสายฟ้าเกิดขึ้นจากฟ้าสูงลิบหลาย สาย รวมตัวกันกลายเป็นทะเลอัสนีผืนหนึ่ง ลอยตรงมาทางกระแสวน
ทัณฑ์สวรรค์
ตูม!
อัสนีบาตรพุ่งลงมาราวฝนคลั่ง ฟาดฟันตรงสู่ร่างของสัตว์ยักษ์ที่ เหมือนหมีสีดําตนนั้น
อัสนีฟาดฟันทีละสายทีละสาย ระเบิดตูมอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุด สัตว์ยักษ์หมีดําตนนั้นก็ถูกอัสนีฟาดฟันลงจนกลายเป็นเถ้า กองหนึ่ง ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ร่างที่กลายเป็นถ่านร่วงลงพื้นดิน กลายเป็นภูเขาสีดํา ปล่อยไอความร้อนกระจายออกม ในนั้นยังมีกระแส สายฟ้าไหลเวียนเป็นสายๆ
คนขององค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ รู้สึกเหมือนกับได้เห็นศึกสงคราม ระหว่างเทพเจ้าและไททันในตํานานอย่างไรอย่างนั้น ภาพเช่นนี้มันเกิน กว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้ไกลมาก
จากที่พวกเขาเห็น โชคดีที่เจ้าปีศาจยักษ์สีดํานั่นถูกสายฟ้าฟาดจน ตายไป มิเช่นนั้น หากมันสามารถเดินออกมาจากกระแสวน แล้วเข้าสู่ ดาวโลกผ่านโลกใบนี้ล่ะก็ นั่นจะกลายเป็นภัยพิบัติที่ยากจะจินตนาการ ถึงเลยทีเดียว
ทว่าหลี่มู่กลับมองไปมากกว่านั้น
“กระแสวนมิตินี้ รูปร่างเหมือนกับรอยแยกมิติธรรมชาติบางอย่าง เหมือนกับเส้นทางเซียนที่ตนเองใช้เดินทางกลับมาจากแผ่นดินใหญ่ เสินโจว แต่ว่าถ้าเป็นเหมือนที่ข้าเดา สิ่งมีชีวิตด้านนออกนั้น เมื่อเข้ามา ในโลกที่เกี่ยวข้องกับดาวโลกก็จะถูกทัณฑ์สวรรค์เข้าสกัดเอาไว้ เผ่า ปีศาจขั้นมหาเทวะตนหนึ่งยังสามารถกระตุ้นเอาทัณฑ์สวรรค์ที่น่าตก ตะลึงระดับนี้ ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สูงส่งยิ่งกว่าคิดมาเยือนผ่านรอยแยก มิตินี้ล่ะก็ จะเกิดทัณฑ์สวรรค์ที่น่ากลัวระดับไหนกันนะ? ยากที่จะ จินตนาการออกเลย”
โชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่ได้พาพวกฮวาเสี่ยงหรงกับชิงเฟิงหมิงเยวี่ยก ลับมา
มิเช่นนั้น ผลลัพธ์คือจินตนาการไม่ออกเลย
ปัญหาในตอนนี้คือ กระแสวนมิตินี้จะค่อยๆ สลายไป หรือว่าจะ ค่อยๆ เปิดกว้างขึ้น?
ปีศาจหมีดําตนนั้นจริงๆ แล้วเป็นเพียงแค่บังเอิญพบกับรอยแยก มิติแล้วจึงเตรียมตัวบุกเข้ามา หรือว่าจะเป็นเพียงกระสุนปืนใหญ่ นําหน้าของกองทหารใหญ่โตที่เตรียมจะบุกรุกดาวโลกกันแน่
อีกด้านของกระแสวนมิตินี้ จะเป็นโลกแบบไหนกัน?
หลี่มู่ค่อยๆ ร่อนลง ปล่อยสมาชิกองค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ ลงบน พื้น จากนั้นใช้วิชากระบี่เหินหาวค่อยๆ ลอยเข้าใกล้กระแสวนสีดํา กระตุ้นพลังของเนตรสวรรค์ ตรวจสอบอย่างละเอียด คิดว่าอาจจะได้ เงื่อนงําอะไรบ้าง
“นายท่าน ระวังตัวด้วย”
สมาชิกองค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ อดตะโกนขึ้นเตือนไม่ได้
พวกเขายืนอยู่บนพื้นดิน ห่างจากกระแสวนมิตินับสิบลี้ ล้วนรู้สึก ว่าใกล้จะต้านทานไม่ไหวจนถูกดูดเข้าไปแล้ว หลี่มู่ที่อยู่ห่างจากกระแส วนเพียงไม่ถึงพันเมตรกําลังเผชิญหน้ากับแรงดึงดูดขนาดไหนกัน เกรง ว่าเพียงแค่หลี่มู่ไม่ระวังก็อาจจะถูกดูดเข้าไปในกระแสวนมิตินั่นได้
หลี่มู่โบกไม้โบกมือ เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องกังวล
แรงดึงดูดระดับนี้ สําหรับเขาแล้วสามารถรับได้อย่างสบาย
เนตรสวรรค์ไม่สามารถสังเกตโลกที่อยู่เบื้องหลังกระแสวนมิติได้
เขามีความรู้สึกบุ่มบ่ามคิดจะเข้าไปด้านในเพื่อแอบดู
ทว่าท้ายสุด ก็เลือกที่จะอดทนเอาไว้
ถึงอย่างไรด้านหลังก็เป็นโลกที่ไม่รู้จัก ใครจะรู้ว่าถ้าตนเองเข้าไป จะมีทัณฑ์สวรรค์รออยู่หรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจจะได้รับอันตราย อื่นๆ อีก…หลี่มู่กว่าจะได้กลับมายังดาวโลก ภาระหน้าที่ของเขา ในตอนนี้จริงๆ แล้วถือว่าหนักหนาอยู่นะ
“พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อสํารวจอีกสักพัก”
หลี่มู่กลับลงมายังพื้นดิน
คนขององค์กร ‘เหล็กกล้าสีนิล’ มองหน้ากันไปมา ท้ายสุดก็ยัง ยอมรับคําแนะนําของหลี่มู่
พื้นที่ดินแดนนี้ มีกองเถ้าถ่านที่เกิดจากการตายของปีศาจหมียักษ์ สีดํานั่น และยังมีพลังดึงดูดอยู่ทุกที่ ทําเอาพวกเขารู้สึกอึดอัด ยากที่จะ ทนรับกลับแรงกดดันนี้ได้
ท้ายที่สุด ทั้งเก้าคนจึงออกมา
หลี่มู่อยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกมาจากกระแสวนมิติ ประมาณพันเมตร เขานั่งลง สังเกต ทําความเข้าใจและฝึกบําเพ็ญ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อีกหนึ่งเดือนได้ผ่านไป
สิ่งที่ทําให้หลี่มู่รู้สึกเกินคาดก็คือ แดนเซียนฉินหลิ่งยังคงไม่มีท่าที ว่าจะปิดลง
ในร่างหลี่มู่ปราณไหลเวียน ปราณแห่งความปั่ นป่วนนั่นยิ่งร้ายกาจ แข็งแกร่งขึ้นทุกที
“คงได้เวลาทดลองทะลวงสวรรค์แล้ว”
หลี่มู่ชั่งน�าหนักในใจ
แต่ว่า การบําเพ็ญกว่าสองเดือนในแดนเซียนฉินหลิ่ง เขาได้พบกับ ปรากฏการณ์แปลกประหลาดอย่างมากหนึ่งเรื่อง…
หลังจากที่กลับมายังดาวโลก ปราณแท้ในร่างกายของเขาถูก กฎเกณฑ์ฟ้าดินของดาวโลกบีบเอาไว้ การต่อสู้ครั้งใหญ่หลายครั้งและ การใช้วิชากระบี่เหินหาวทําให้สิ้นเปลืองไปไม่น้อย ดูแล้วเหมือนกลับไป อยู่สถานะแห้งเหือดและได้รับความเสียหาย แต่พอเข้ามายังสถานที่ที่ พลังวิญญาณเต็มปอดอย่างแดนเซียนฉินหลิ่งนี้ ก็ราวกับเลวร้ายจนถึง ขีดสุดแล้วพลิกผันกลับมาดี จู่ๆ เหมือนมีแก๊สทะลักขึ้นมาอย่าง
กะทันหัน ฝึกบําเพ็ญออกมาได้รวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมที่พลังวิญญาณเต็มปอดตลอดเสียอีก
หากยังคงอยู่ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว หลี่มู่คิดว่าตนเองคงไม่ สามารถเตรียมทะลวงขั้นทะลวงสวรรค์ได้เร็วขนาดนี้
การค้นพบนี้ทําเอาหลี่มู่รู้สึกลังเล
ถ้าหากรอจนแดนเซียนฉินหลิ่งปิดลง กลับไปยังดาวโลกแล้วไปอยู่ ในสภาพที่พลังบําเพ็ญถูกบีบเอาไว้อีกสักระยะ แล้วค่อยทดลองทะลวง ผลลัพธ์จะดีกว่าหรือเปล่านะ?
ถึงอย่างไรการทะลวงขั้นขั้นหนึ่ง การสะสมอย่างเพียงพอล้วนเป็น เรื่องที่ได้กําไรมากที่สุดนี่นา
ก่อนจะทะลวงขั้นยิ่งสะสมได้มาก หลังจากทะลวงขั้นสิ่งที่ได้รับก็ จะมากตาม
สะสมให้มากปล่อยให้น้อย ก็คือหลักการนี้
ขณะที่หลี่มู่ลังเลอยู่นั้น
พริบตา ก็ได้ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านไปอีกนั้น กระแสวนมิติบนฟ้าเกิดการ เปลี่ยนแปลง
เส้นผ่าศูนย์กลางของมันยาวขึ้นมาอีกเท่าตัว ตอนนี้ยาวร่วมสอง ร้อยกว่าเมตรแล้ว
สิ่งที่หลี่มู่กังวลได้เป็นจริงแล้ว
กระแสวนมิตินี้กําลัง ‘เติบโต’ ขึ้น
ที่น่ากลัวกว่าก็คือ ด้านในกระแสวนมีเสียงคํารามน่ากลัวที่แตกต่าง กันดังขึ้นหลายครั้ง อานุภาพคลื่นเสียงน่ากลัวกว่าหมียักษ์สีดําที่ตายไป แล้วมาก จากที่หลี่มู่คํานวณอย่างน้อยน่าจะเป็นการคงอยู่ของขั้น ทะลวงสวรรค์
แต่ชัดเจนว่า น่าจะเป็นเพราะเกรงกลัวต่อการคงอยู่ของทัณฑ์ สวรรค์ เกิดความกลัวต่ออีกด้าน จึงยังไม่เลือกที่จะฝ่ากระแสวนมิติเข้า มายังแผ่นดินฝั่ งนี้
แต่นี่ก็เป็นการตอบคําถามข้อสงสัยของหลี่มู่ก่อนหน้า
ว่าปีศาจหมีดําที่ตายไปเป็นเพียงแค่กระสุนปืนใหญ่แนวหน้า เท่านั้น
ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าหลบซ่อนอยู่ด้านหลังของกระแสวนมิติ กระทั่ง อาจจะเป็นขั้วอํานาจขนาดมโหฬารที่เตรียมพร้อมจะบุกเข้ามา
ลมฝนได้มาถึงแล้ว
หลี่มู่รู้สึกปวดหัวตุบๆ
พลังของวิถียุทธ์ในทางช้างเผือกด้านนอก มองดาวโลกเป็น ดวงดาวคนบาป มองสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกทั้งหมดเป็นนักโทษผู้ผิดบาป อันแสนชั่วร้าย เมื่อเห็นก็ทําการสังหารทิ้ง หากเจ้าสิ่งมีชีวิตของโลก ด้านหลังกระแสวนมิตินี้ฝ่าเข้ามาในดินแดนเซียนฉินหลิ่ง จากนั้นใช้ แดนเซียนนี้เป็นไม้กระดานข้ามไปต่อยังโลกมนุษย์ ผลลัพธ์ก็จะ กลายเป็นภัยพิบัติทันที
เพียงแค่กระแสวนมิตินี้เติบโตขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง แล้วพลังทัณฑ์ สวรรค์อาจจะสูญสลายไป เรื่องทั้งหมดนี้ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น
ช่วงเวลาต่อมา หลี่มู่ได้วางค่ายกลปิดผนึกไว้รอบๆ กระแสวนมิตินี้ ทดลองยืดเวลาการ ‘เติบโต’ ของมันออกไป
ในเดือนที่ห้า ในแดนเซียนฉินหลิ่งได้มีหมอกหนากระจายคลุ้งขึ้น
ขอแค่เป็นสถานที่ที่มีคนจากดาวโลกเข้าไป ก็ล้วนเกิดมิติหมอ กลวงตาสีขาวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ คลุมตัวของคนไว้ จนเมือ่พวกเขา
เดินออกมาจากหมอกหนา ก็พบว่าตนเองได้ออกจากแดนเซียนฉินหลิ่ง กลับมายังดาวโลกแล้ว
หลี่มู่ก็ไม่ยกเว้น
กลุ่มหมอกขาวเกิดขึ้นบนยอดเขาหินห่อหุ้มตัวหลี่มู่
หลังจากที่หมอกจางไป หลี่มู่ก็ได้มาปรากฏขึ้นที่ด้านนอกค่าย ทหารบริเวณต้นกําเนิดน�าแม่น�าเจียหลิง
และก่อนหน้าหลี่มู่ ได้มีชาวบู๊ลิ้มมากมายได้กลับมาที่ดาวโลกแล้ว
หมอกจัดสีขาวที่คลุมต้นกําเนินแม่น�าเจียหลิงเอาไว้มาโดยตลอด ก็ ได้ค่อยๆ สลายหายไป
แดนเซียนฉินหลิ่งได้ปิดลงไปเรียบร้อย
“ทุกคนออกมาหมดแล้วใช่ไหม?” หลี่มู่มองเห็นพวกของเซี่ยวตง กับลู่ซุน และเห็นพวกยอดฝีมืออาวุโสอย่างลู่เฮ่าหราน ในใจจึงผ่อน คลายลง
แต่ไม่นาน ก็มีข่าวส่งเข้ามา
มีชาวบู๊ลิ้มประมาณร้อยกว่าคนที่เข้าไปในแดนเซียนฉินหลิ่งแต่ ไม่ได้เดินกลับออกมาจากหมอกลวงตา
“พวกเขาถูกสังหาร”
คนสุดท้ายที่เดินออกมาจากหมอก ชายหนุ่มที่รู้เรื่องทั้งหมดและ หนีออกจากภัยพิบัติมาได้ด้วยโชค รายงานต่อฝ่ายทหารด้วยอาการ เสียใจและเดือดดาล
………………………………