จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 528 เทพกระบี่บัวคราม
หลี่มู่นับว่ามองออกว่าธิดาเทพลัทธิมารคนนี้เป็นพวกซึนเดเระ
ใช้คําพูดที่เป็นกระแสในอินเทอร์เน็ตเมื่อครึ่งปีก่อนก็คือ ‘ปากบอก
ว่าไม่ แต่ใจใช่เต็มร้อย’
คนแบบนี้ปากร้ายใจดี
เมื่อครู่ที่พุ่งเข้ามาสกัดกระบี่ของจอมยุทธ์น้อยเสื้อน�าเงินที่แทง
มายังหลี่มู่กระบี่นั้น อย่างน้อยก็เป็นการบอกว่านางไม่ใช่คนไร้จิตใจ
มิฉะนั้นปล่อยให้จอมยุทธ์น้อยเสื้อน�าเงินฆ่าหลี่มู่เสีย มิเป็นการยืมดาบ
ฆ่าคนกําจัดภาระนี่ไปหรอกหรือ
“ก็ได้ ตามไปดูเรื่องสนุกๆ ทําความเข้าใจกับสถานการณ์ขั้วอํานาจ
ดาวนี้ก่อน”
หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็เดินตามอยู่ข้างหลัง
อย่างไรเสีย ในสายตาธิดาเทพลัทธิมารคนนี้ตนก็เป็นคนไร้
ประโยชน์ที่ไม่ได้ฝึกฝนกําลังภายใน คลื่นพลังปราณแท้บริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่ง
ที่นางจะสัมผัสได้หลี่มู่แน่นอนว่าไม่ได้ติดตามไปอย่างมั่วๆ
เขามีแผน
และแผนของเขานั้นง่ายมาก…ขั้นแรกคือทําความเข้าใจขั้วอํานาจ
ของดาวนี้เสียก่อน สิ่งที่สําคัญคือ ต้องรู้ให้ได้ว่า ดาวดวงนี้ถือว่าเป็นดาว
‘ถูกพัฒนา’ มีความสัมพันธ์อะไรกับเขตดาราเทพวีรชนหรือไม่ ขั้นที่
สองค่อยยืนยันว่าจะเดินทางกลับโลก ทุ่มเทกายใจจัดการดูแลโลก หรือ
ว่าจะอยู่ที่เขตดาราแห่งนี้สู้สักตั้ง สร้างขั้วอํานาจแห่งหนึ่งขึ้นมาก่อน
จากนั้นค่อยร่วมมือกับโลก ถึงตอนนั้น ความมั่นใจในการปกป้องโลกก็
จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งส่วน
มีคลื่นวนมิติที่เขามังกรโฉด หนทางกลับโลกนั้นง่ายมาก
เส้นทางมิติเส้นทางนี้กระทั่งว่ารวดเร็วฉับไวปลอดภัยกว่า
‘เส้นทางเซียน’ รอยแยกมิตินอกพิภพที่อยู่ที่แผ่นดินใหญ่เสินโจวนั่น
สิ่งเดียวที่หลี่มู่ยังคงกังวลคือ หมียักษ์สีดําในตอนนั้นตกลงแล้วเข้า
มาโดยไม่ตั้งใจ หรือว่าเป็นการจงใจสืบ?
หากเป็นแบบหลังเช่นนั้นก็จะต้องดําเนินการบางอย่างแล้ว
จะให้ขั้วอํานาจนอกพิภพใช้คลื่นวนมิตินี้เข้าไปในแดนเซียนรอบ
โลกไม่ได้“เจ้าจะเร็วหน่อยได้ไหม?” เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป เยี่ยอู๋เหินหัน
กลับไปมองหลี่มู่ที่ชักช้าอืดอาด เอ่ยอย่างรําคาญ
หลี่มู่ “…”
“ช่างเถอะ” เยี่ยอู๋เหินร่างเพียงกะพริบ ก็คว้าไหล่หลี่มู่พุ่งขึ้นฟ้า
บินทะยานไปอย่างรวดเร็ว
พลังฝึกขั้นเหนือมนุษย์ พาคนบินไม่ใช่ปัญหาเลย
หลี่มู่แกล้งทําตัวบ้าๆ บอๆ “หูวว บินแล้ว…”
เยี่ยอู๋เหินมีความรู้สึกวู่วามอยากจะโยนคนป่าคนนี้ลงไปจากบนฟ้า
ทันที
“หุบปาก” เธอเอ่ยเสียงดัง
“อ้อ ก็ได้” หลี่มู่ไม่พูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นอีก “เจ้าเหนื่อยไหม หากเหนื่อยก็
ปล่อยข้าลงไปบนพื้นเถอะ อันที่จริงข้าแข็งแกร่งมาก วิ่งได้เร็ว ต่อให้วิ่ง
อยู่บนพื้นก็ตามเจ้าที่บินอยู่บนฟ้าได้ทัน”
“หุบปาก” เยี่ยอู๋เหินเอ่ยเสียงเย็นสายลมกลางท้องฟ้าสูงพัดต้องผมยาวสีเขียวอ่อนของเธอ เผยให้
เห็นใบหูงดงาม ตุ้มหูทับทิมแบบเจาะขับเน้นผิวขาวดุจหิมะ เรียบเนียน
ดุจเทียนไขของเธอให้เด่น เพียงแค่ปรายตามองก็มีกลิ่นอายงดงาม
สะท้านวิญญาณ
หลี่มู่ทําได้แค่หุบปาก
สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง แต่ไหงไม่มีใครเชื่อเล่า
รุ่งสาง
ทั้งสองคนก็มาถึงเขตชานเมืองของเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง
ที่นี่ห่างจากเขามังกรโฉดห้าพันกว่าลี้
“ที่นี่ไม่มีคนของสมาพันธ์สี่เมือง เจ้าเองก็ระวังหน่อย ไม่มีอันตราย
อะไรแล้ว…ไปเสียเถอะ วันหลังก็ดูตาม้าตาเรือเสียบ้าง อย่าไปหาเรื่อง
คนที่ล่วงเกินไม่ได้ อยู่ห่างพวกสมาพันธ์สี่เมืองให้ไกล” เยี่ยอู๋เหินทิ้งห
ลี่มู่ไปบนพื้นส่งๆ
พูดจบนางก็หมุนตัวหายไปจากท้องฟ้าทางทิศตะวันออก
หลี่มู่กุมขมับ
อะไรเนี่ย นี่ไปแล้วหรือยังคิดว่าจะรับเขาไว้เป็นศิษย์เสียอีก ที่แท้ก็หาสถานที่ทิ้งเขานี่เอง
แต่ว่า ดึกดื่นบินกลางท้องฟ้าห้าพันกว่าลี้ หาสถานที่ปลอดภัยโยน
ตนทิ้งไว้ นี่ก็นับว่าตั้งใจดีแล้ว
ขอให้โชคดีแล้วกันแม่นางน้อย
หลี่มู่เอ่ยในใจ แน่นอนว่าไม่มีทางไล่ตามไปต่อ
วาสนาสิ้นสุดแค่นี้ เขาไม่ใช่คนที่จะไปติดตามพัวพันเพราะความ
งามแบบนั้น
หนทางในยุทธจักรยาวไกล สุดท้ายแล้วมีสักกี่คนที่กลับมาได้?
เขากําลังเตรียมจะเข้าเมืองหาโรงเตี๊ยมโรงน�าชาอะไรง่ายๆ สืบ
สถานการณ์เสียหน่อย พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศดังมาจากข้างหลัง
จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็กะพริบ กลับเป็นธิดาเทพลัทธิมารเยี่ยอู๋เหิน
ที่ไปแล้วกลับมา
“รับเอาไว้”
นางยกมือโยนตําลึงทองมาก้อนหนึ่ง
จากนั้นก็หมุนตัวอย่างเด็ดเดี่ยวบินจากไปอีกครั้ง“เอ่อ…” หลี่มู่ถือตําลึงทองเอาไว้ จะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
“นี่เห็นว่าเราไม่มีเงิน กลัวเราจะอดตายอย่างนั้นรึ?”
ผู้หญิงคนนี้ถึงแม้จะเย็นชา โหดไปหน่อย แต่จิตใจดีจริงๆ
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม
หลี่มู่ก็หาโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งใจกลางเมือง สั่งสุราอาหาร
นั่งสืบหาข่าว
หากจะท่องยุทธภพ โรงน�าชา โรงเตี๊ยมเป็นสถานที่ที่เอาไว้สืบข่าว
ได้เนียนๆ จริงๆ ผู้คนเดินทางไปมา ไม่ว่าจะเป็นคนในยุทธจักร กลุ่ม
การค้า คนบทบาทหน้าที่ต่างๆ ก็มีทั้งนั้น หลี่มู่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินคน
พูดถึงเรื่องสมาพันธ์สี่เมืองและลัทธิมารในช่วงนี้
“ได้ข่าวแล้วหรือยัง? สมาพันธ์สี่เมืองร่วมมือกับสามสํานักกระบี่
สองตระกูลใหญ่ โจมตีเมืองไป๋ตี้ศูนย์รวมลัทธิมาร ‘เขาราชันมังกร’
หนึ่งในสี่ลัทธิมารสายแยกแทบจะถูกทําลายยับ หลังจากนั้นก็บุกล้อม
โจมตี ‘สํานักชําระกระบี่’ สายแยกลัทธิมารอีกสายหนึ่งย่อยยับ ธิดา
เทพสํานักชําระกระบี่เยี่ยอู๋เหินหายตัวไร้ร่องรอย เป็นตายไม่รู้… ”
“ฮี่ๆ เยี่ยอู๋เหินนั่นได้ชื่อว่าสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า อายุน้อยๆ
เลี้ยงชายหน้าตาดีเอาไว้นับไม่ถ้วน หากตกอยู่ในมือสมาพันธ์สี่เมือง
แล้วล่ะก็ เกรงว่า…ฮี่ๆ”“ได้ยินว่าศึกธรรมะกับอธรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผู้หญิงคนนี้ มี
เซียนบนฟ้าเจาะจงชี้ตัวผู้หญิงคนนี้โดยเฉพาะ ฮี่ๆ สมกับที่เป็นสาวงาม
อันดับหนึ่งในร้อยปี เซียนบนฟ้ายังหวั่นไหว”
หัวข้อสนทนาค่อนข้างนอกเรื่อง จากศึกธรรมะกับอธรรม
กลายเป็นข่าวรัก
แต่ว่าก็มีคนดูแคลนกับความคิดเห็นนี้ พูดเสียงเย็นขึ้นว่า “พวกเจ้า
จะไปรู้อะไร? ผู้แข็งแกร่งวิถียุทธ์แท้จริงอย่างเจ้าเมืองทั้งสี่ในสมาพันธ์สี่
เมือง แล้วก็เจ้ากระบี่ทั้งสาม ผู้นําตระกูลทั้งสองต่างเป็นบุคคลชั้นยอด
ดุจเทพมังกรบนฟ้า จะเปิดศึกสงครามเพียงเพราะสาวงาม? นั่นเป็นแค่
คนตัวเล็กๆ อย่างพวกเจ้ากระพือข่าวลือก็เท่านั้นแหละ น่าหัวเราะ”
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าลองพูดมาสิว่า สาเหตุที่แท้จริงของศึกธรรมะและ
อธรรมครั้งนี้คืออะไร?”
“เจ้าไม่น่าหัวเราะ เจ้าก็บอกเหตุผลมาสิ”
คนคนนั้นยืด ได้ใจ ทําท่าทางเหมือนเป็นผู้รู้เรื่อง แค่นเสียงเย็น
พลางเอ่ย “เช่นนั้นข้าก็จะบอกพวกเจ้า จะได้ให้พวกบ้านนอกอย่าง
พวกเจ้าได้รู้ถึงเหตุผลที่แท้จริง นั่นก็เพราะเมื่อครึ่งเดือนก่อน ข้างใต้
ยอดเขาหลักเขาสู่ซานที่เมืองไป๋ตี้ศูนย์รวมของลัทธิมารตั้งอยู่ ว่ากันว่า
มีหลุมดินแห่งหนึ่งเปิดออก แสงประกายเพชรนิลจินดาเจิดจ้า พลังกระบี่ถาโถม กลิ่นดอกบัวหอมกรุ่นลอยตลบอวลไปหลายร้อยลี้ เป็นไป
ได้ว่ามรดกของเทพกระบี่คนนั้นใกล้จะเปิดออกแล้ว”
“มีเรื่องนี้จริงๆ?”
“เล่ากันว่าเทพกระบี่ท่านนั้นเป็นนักโทษผู้ผิดบาป”
“ใช่แล้ว ศึกเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนทําให้โลกของเราใบนี้แทบ
แหลกราญ เซียนบนฟ้าต่างเคยจุติลงมาล้อมสังหารเทพกระบี่…หาก
เป็นมรดกของเทพกระบี่ผู้นั้นจริงๆ มิน่าเล่ายุทธจักรที่สงบมาหกสิบปี
จู่ๆ กลับแย่งชิงกันขึ้นมาอีก” มีคนเอ่ยอย่างทอดถอน
“ฮ่าๆ พี่ชายท่านนี้ แค่เห็นท่านก็รู้แล้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ข่าวสาร
รวดเร็วแม่นยํา รู้มากมายเพียงนี้ น้องชายนับถือ นับถือ” หลี่มู่ก็สอด
หัวข้อเข้าไปด้วย ประจบยิ้มกว้างด้วยประโยค ‘ผู้รู้ข่าววงใน’ ท่าทาง
เคารพบูชา
“ฮี่ๆ น้องชายผู้นี้ตามีแววนัก ไม่ขนาดนั้นหรอกๆ ฮ่าๆ” ‘ผู้รู้ข่าววง
ใน’ ท่าทางยี่สิบต้นๆ น่าจะเป็นลูกศิษย์ปลายแถวของสํานักใดสํานัก
หนึ่ง ได้รับการสรรเสริญเยินยอเช่นนี้ ใบหน้าก็ฉายแววได้ใจอย่างยาก
จะปกปิดทันที
นี่คือลักษณะทั่วไปของมนุษย์โดยเฉพาะคนในยุทธจักรส่วนมาก ล้วนเป็นเช่นนี้ทั้งนั้น ตัวเองไม่
มีความสามารถอะไร เป็นบุคคลตัวเล็กๆ แต่กลับชอบอวดอ้างถึงบุคคล
ยิ่งใหญ่บางคนที่ใครๆ ต่างรู้จัก ทําเหมือนว่าตัวเองรู้จักมักคุ้นกับผู้
อาวุโสผู้เก่งกาจคนนู้นคนนี้ ข่าวลือที่ได้ยินมา ก็เที่ยวใส่ไข่ใส่สีลงไป
เรื่องราวต่างๆ พูดออกไปตามปาก จริงครึ่ง ปลอมครึ่ง ก็ทําให้ผู้ฟังต่าง
ตื่นตะลึงทอดถอน ส่วนตัวเขาเองก็ได้รับความพอใจอย่างที่ไม่เคยมีมา
ก่อน
นี่ก็คือยุทธจักร
หลี่มู่หันไปตะโกน “เสี่ยวเอ้อร์ ยกเหล้ามา ยกสุราที่เลิศรสที่สุด
ของโรงเตี๊ยมเจ้ามาให้พี่ชายผู้นี้ไหหนึ่ง มีอาหารแนะนําอะไรก็ยกมา
คิดที่บัญชีข้า วันนี้ข้าเลี้ยง”
“โอ้ ขอบใจน้องชายผู้นี้มาก” ผู้รู้ข่าววงในประสานมือ ก่อนจะเอ่ย
ขึ้น “ข้าน้อยติงอี้ คนในยุทธจักรเรียกข้าว่า ‘เทพซานหลาง’ น้องชายผู้
นี้คือ?”
หลี่มู่ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าน้อยก็แค่บัณฑิตที่ชอบเรื่องในยุทธจักรก็
เท่านั้น ฝึกยุทธไม่สําเร็จ แต่ชอบฟังเรื่องในยุทธจักร ยิ่งชื่นชมยอดฝีมือ
ในยุทธจักรอย่างพี่ติงเช่นนี้…เมื่อครู่พี่ติงพูดถึงเรื่องลัทธิมาร น้องชาย
สนใจมาก ไม่ทราบว่าจะเล่าอีกนิดได้หรือไม่”ติงอี้หัวเราะร่า ก่อนจะเอ่ย “ฮ่าๆ น้องชายนับว่าถามได้ถูกคนแล้ว
…เล่ากันว่าลัทธิมารคือทายาทที่สืบทอดกระบี่เทพบัวครามผู้นั้น
หลังจากกระบี่เทพผู้นั้นหายไป ลัทธิมารก็แตกแยก ถึงได้มีสํานักชําระ
ดาบ เขาราชันมังกร ศาลาเหนือฟ้า และสํานักเงาจันทร์ สี่สายแยกนี้
เป็นปฏิปักษ์กับสมาพันธ์สี่เมืองมาโดยตลอด แต่หลายปีมานี้ก็แค่สู้กัน
ลับหลังเท่านั้น ไม่เคยมีศึกใหญ่ทําลายรังแบบครั้งนี้มาก่อน ฮี่ๆ สี่สาย
แยกลัทธิมาร เขาราชันมังกรพลังแข็งแกร่งสุด และครอบครองเมือง
ไป๋ตี้ศูนย์รวมลัทธิมารในอดีต ครั้งนี้ใต้ยอดเขาหลักเขาสู่ซาน กลิ่นอาย
กระบี่บัวครามพวยพุ่ง แสงของล�าค่าส่องประกาย เขาราชันมังกรนั้น
ค้นพบก่อน คิดว่าเก็บความลับได้ดี แต่ข่าวกลับเผยแพร่ออกไป ทําให้
ถูกล้อมโจมตีจากฝ่ายธรรมะสํานักต่างๆ สูญเสียสาหัส ถึงจําต้องติดต่อ
สามสายแยกที่เหลือ หวังว่าจะร่วมกันปกป้องเมืองไป๋ตี้เขาสู่ซาน ศูนย์
รวมแห่งนี้ ตอนนี้สํานักชําระดาบ ศาลาเหนือฟ้าต่างมุ่งหน้าไปยังเขาสู่
ซานแล้ว แต่สํานักชําระดาบถูกสมาพันธ์สี่เมืองโจมตีสังหารกลางทาง
มีการสูญเสียเช่นกัน สําหรับผลท้ายที่สุด ฮี่ๆ ข้าว่าฝ่ายธรรมะจะต้อง
ชนะ เพราะเรื่องนี้มีเซียนบนฟ้าคอยจับตาดูอยู่”
หลี่มู่จงใจถาม “เซียนบนฟ้า? หรือบนฟ้าจะมีตําหนักเซียนอยู่
จริงๆ?”ติงอี้ตอบ “น้องชายไม่ใช่คนในยุทธจักรจึงไม่รู้ บนฟ้าอาจจะไม่มี
ตําหนักเซียน แต่เซียนนั้นมีแน่ พวกเขาไม่อยู่บนโลกแห่งความทุกข์ของ
เรา แต่อยู่ในแดนเซียน สามารถลงมาเยือนได้…”
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิด
คนที่รู้ แค่ฟังก็เข้าใจความหมายในคําพูด
ฟังแล้ว เซียนที่ว่าแน่นอนว่าคือผู้ฝึกฝนนอกพิภพ ดาวที่ถูก
เรียกว่าเป็นโลกทุรกันดารจะไม่เหมือนกับดาวแผ่นดินใหญ่เสินโจว ผู้
ฝึกฝนนอกพิภพไม่จําเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรก็สามารถลงมา
เยือนได้ พูดจากมุมมองนี้ ดาวดวงนี้น่าจะเป็นดาวอาณานิคมที่มีการ
พัฒนาสูงมากในเขตดาราเทพวีรชน
แต่ว่าคุณค่าของดาวทุกข์ยากดวงนี้น่าจะไม่สูงมาก ไม่มีสํานัก
เหมือนอย่างสํานักมารฟ้า สํานักทะเลโลหิต สํานักนอกพิภพประจําการ
เกรงว่าอย่างมากก็เป็นได้แค่ดาวระดับเก้าดวงหนึ่ง นับว่าเป็นดาวชาย
ขอบ
สิ่งที่ทําให้หลี่มู่สนใจจริงๆ คือเทพกระบี่บัวครามจากปากคนพวก
นี้
เทพกระบี่ที่สร้างลัทธิมารผู้นี้ถูกเรียกว่าเป็นนักโทษผู้ผิดบาป เกรง
ว่าคงจะมีความสัมพันธ์อะไรกับโลกมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว
………………………………………