จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 558 คนต่อไป
เก้าสํานักโลดแล่นบนดาวทุรกันดารจนเคยชินไปแล้ว เพิ่งเคยมี
ภาพที่ถูกคนเพียงคนเดียวทําให้สั่นสะเทือน
ผู้แข็งแกร่งเก่าแก่ของเก้าสํานักบางส่วน กําลังเหม่อลอยราว
เหมือนมองเห็นจ้าวลัทธิมารรุ่นแรกที่โลดแล่นฟ้าดินในครั้งนั้น ก็มี
ความน่าเกรงขามเช่นเดียวกับต้วนสุ่ยหลิวในตอนนี้ ศึกใหญ่เมื่อร้อยปี
ก่อนหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะตอนท้ายสุดมีผู้แข็งแกร่งจากสํานักนอกพิภพ
ลงมาเยือน น่ากลัวว่าร้อยปีก่อนหน้าบนโลกนี้ก็คงจะไม่มีเก้าสํานักไป
แล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วนสุ่ยหลิวหรือว่าหลี่มู่ สําหรับหญิงสาวชุดโปร่งสี
ดําแล้วไม่ได้สําคัญอะไร
ชื่อนามเป็นเพียงแค่รหัสประจําตัวเท่านั้น
นางซ่อนตัวอยู่ในกลุ่ม ราวกับเป็นศิษย์สํานักธรรมดาคนหนึ่ง แต่ง
กายเป็นชาย กระทั่งใบหน้าก็ยังเปลี่ยน
แค่ดําเนินการตามแผนก็เพียงพอแล้ว“ลัทธิมารก็เป็นแค่สุนัขไร้บ้านกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้กลับมามี
จ้าวลัทธิคนใหม่ขึ้นมา น่าขันเสียจริง” บนเรือเหาะของสํานักกระบี่ค�า
ฟ้า เสียงหนึ่งได้ดังขึ้น ลําแสงสายหนึ่งแหวกอากาศออกไป ร่อนลงบน
เวทีลอยฟ้า หลี่มู่จื่อเจ้าสํานักกระบี่ค�าฟ้านั่นเอง ชายกลางคนที่ดู
เหมือนอายุราวสี่สิบกว่าปี ใบหน้าขาวสะอาด ค่อนข้างมีบุคลิกของ
อาจารย์ ด้านหลังมีกระบี่ยาวทองเงินสองสีเล่มหนึ่งลอยอยู่ ราวกับเป็น
สิ่งของที่มีวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
สายตาของหลี่มู่ตกอยู่บนตัวของหลี่มู่จื่อ
บนร่างของอีกฝ่าย มีพลังที่อยู่เหนือขั้นทะลวงสวรรค์ขึ้นไป
ไหลเวียนอยู่ ราวกับสัตว์ป่า ผสมปนกันไม่บริสุทธิ์
เห็นได้ชัดว่ามีพลังจากด้านนอกมากระตุ้น ไม่ใช่พลังบําเพ็ญของ
ตนเอง เช่นเดียวกับถานหรูซวงเมื่อวาน
ผู้บําเพ็ญนอกพิภพลงมืออีกแล้ว
“ต้วนสุ่ยหลิว วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า พลังที่ซ่อนไว้ของเก้า
สํานักข้า อย่างเจ้าน่ะหรือ…” หลี่มู่จื่อกระตุ้นพลังแห่ง ‘ลูกกลอนวาสนา
หยกแดง’ ในร่างกายจนไหลเวียนทั่วร่าง รู้สึกได้ถึงพลังแข็งแกร่งที่ไม่
เคยมีมาก่อน ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน จนทําให้เขาเกิดความรู้สึกไร้คู่
ต่อกรขึ้นมาแต่ทว่า…
ฟิ้ ว!
แสงดาบสีขาวสายหนึ่งแหวกอากาศเข้ามา แบ่งความว่างเปล่าเป็น
สอง หนึ่งดาบฟาดฟัน
ในใจหลี่มู่จื่อส่งสัญญาณอันตราย แต่ยังไม่ทันที่จะกระตุ้นกระบี่คู่
ค�าฟ้า ก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าขาวโพลน แสงดาบฟาดผ่านร่างไปแล้ว
“เจ้า…” เขาตกตะลึง เร่งพลังปราณแท้ในร่างกาย แต่กลับไม่รู้สึก
ว่ามีความผิดปกติอะไร ราวกับแสงดาบสายนั้นเมื่อครู่ เป็นเพียงแค่
ภาพมายาเท่านั้น ใจจึงโล่งขึ้นมา มุมปากมีรอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้น “ก็
แค่วิชาหลอกเด็ก เอามารับมือคนของสํานักกระบี่ทะเลประจิมยังพอได้
อยู่ แต่กับข้านั้นมัน…”
เสียงยังไม่ทันขาด
ปากจมูกหูของเขา มีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่งออกมา และเขายังไม่
ทันจะได้รู้สึก สีหน้ายังมีรอยยิ้มอยู่
“เจ้าโง่เอ๊ย พูดมากเสียจริง” หลี่มู่เอ่ย
เขาใช้สายตาเหยียดหยามจ้องมองไปที่หลี่มู่จื่อ เอ่ยต่อว่า “เจ้าน่ะ
มันตายไปแล้ว”เจ้าสํานักกระบี่ค�าฟ้าหลี่มู่จื่อเพิ่งรู้สึกว่าร่างกายตนเองไม่ถูกต้อง
ตรงหน้ามีเปลวไฟปรากฏขึ้น ราวกับพ่นออกมาจากร่างของตนเอง ไม่รู้
ว่าเมื่อไร ปราณแท้ในร่างได้ไหลออกราวกับทรายจนยากที่จะควบคุม
พลังชีวิตถูกสูบออกมาอย่างฉันพลัน
“ข้า…” หลี่มู่จื่อก้มศีรษะลง มองเห็นร่างของตนเอง มือทั้งสองได้
ถูกแสงสีเงินดูดกลืน
ใบหน้าของเขา ในที่สุดได้ปรากฏความหวาดผวาขีดสุดขึ้น
จากนั้น ระยะสายตาได้กลายเป็นความดํามืด
เปลวไฟเงินราวกับมาจากเพลิงโทษทัณฑ์จากศาลาเทพก็มิปาน
ดูดกลืนร่างของเขาลงไปจนมิด
หลี่มู่จื่อกลายเป็นมนุษย์ไฟ พลังและการบําเพ็ญทั้งหมดล้วน
กลับคืนสู่ฟ้าดิน ส่วนอาภรณ์เครื่องประดับ มิติเก็บของ ‘กระบี่ค�าฟ้า’
เงินทองสองสีบนตัวเขา รวมไปถึง ‘อัสนีความมืดเก้าชั้นฟ้า’ สีดําแดงที่
ไหลเวียนไปด้วยปราณความมืดอีกสามเม็ด ล้วนร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
กลายเป็นวัตถุไร้เจ้าของไป
สิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติที่เพียงพอจะทําให้บนดาวทุรกันดารแห่งนี้เกิด
การแย่งชิงนองเลือดขึ้นได้หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมอง และไม่ลงไปเก็บอีกด้วย
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกองทัพของเก้าสํานัก เอ่ยขึ้นด้วยเสียง
เย็นชาราวกับเทพแห่งความตายที่มารับชีวิต ทีละคําทีละประโยค “คน
…ต่อ…ไป…!”
ยอดฝีมือแห่งเก้าสํานัก ประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างหาสาเหตุ
ไม่ได้
ก่อนหน้านี้ก็คิดไว้แล้วว่าเจ้าสํานักกระบี่ค�าฟ้าน่าจะไม่ใช่คู่มือ
ของต้วนสุ่นหลิว ถึงอย่างไรที่ถานหรูซวงพ่ายแพ้ไปเมื่อว่าก็ไม่มีแรง
แม้แต่จะตอบโต้กลับ ทว่าก็ไม่คิดเลย เพียงแค่หลังจากหลี่มู่จื่อพูด
ประโยคสวยหรูจบ ก็ถูกสังหารแดดิ้นลงโดยแค่กระบวนเดียวก็ทานไว้
ไม่ได้
วิชาดาบของต้วนสุ่ยหลิวน่ากลัวถึงระดับไหนกัน?
แสงดาบสายนั้น ไม่มีทางต้านทานได้เลยจริงหรือ?
โดยเฉพาะพวกเจ้าสํานักหลายคนที่รู้ถึงเนื้อในว่าพลังของ
‘ลูกกลอนวาสนาหยกแดง’ เป็นอย่างไร พวกเขาได้ทดลองด้วยตนเอง
มาแล้ว พูดได้ว่าร้ายกาจมาก ทําให้พลังของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นถึงสาม
สี่เท่า ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถต้านทานต้วนสุ่ยหลิวแม้เพียง
ดาบเดียว….ต้วนสุ่ยหลิวคนนี้แข็งแกร่งถึงระดับไหนกันแน่?ส่วนบนกระสวยแสงเทพภูเขาสู่ จิตใจของทุกคนล้วนฮึกเหิม อดโห่
ร้องออกมาไม่ได้
ระบายความโกรธ
สบายใจ!
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันล้วนถูกถานหรูซวงกดดันเอาไว้ บาดเจ็บล้มตาย
กันระนาว วันนี้จ้าวลัทธิดาบเดียวสังหารหลี่มู่จื่อ น่าเกรงขามเสียจริง
ทําเอาเลือดร้อนที่พวกเขากดเอาไว้ในร่างกายปะทุขึ้นมาอย่างทนไม่อยู่
พวกระดับสูงอย่างหลงอู่ คุณชายเงาจันทร์ก็ล้วนถอนใจยาวออกมา
ความรู้สึกสบายใจได้กวาดเอาความกลัดกลุ้มในใจของพวกเขาจากการ
ประลองก่อนหน้าออกไป
ส่วนชิวสุ่ยหมิง ลั่วเสวียนซิน เซี่ยวตง ลู่ซุนชาวยุทธ์ที่มาจากดาว
โลกทั้งสี่ และยังมีนักรบจากฝ่ายทหารก็รู้สึกตื่นเต้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ก่อนหน้านี้ หลี่มู่ได้จัดการขั้วอํานาจหลายฝ่ายไปที่ดาวโลก ร้าย
กาจไร้เทียมทาน ทว่าพวกเขาตอนนี้พึ่งจะตระหนักได้ว่า จริงๆ แล้วบน
ดาวโลกก่อนหน้านี้ หลี่มู่ได้สะกดพลังของตนเองเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยัง
กดเอาไว้อย่างมาก ต่อให้ตอนที่เผชิญหน้ากับสํานักเซียนจากทาง
ช้างเผือก หลี่มู่ก็ไม่ได้เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย
ในใจของพวกเขา เกิดความรู้สึกภาคภูมิขึ้นมาอย่างเข้มข้นเพราะว่า นี่เป็นเทพสงครามที่เดินออกมาจากดาวโลกเชียวนะ
รอบๆ เวทีลอย อากาศจู่ๆ ได้เงียบลง
หญิงสาวชุดโปร่งดําในกลุ่มคน ก้มหน้าลงขบคิดในใจ เพลงดาบ
ของหลี่มู่ทําเอานางรู้สึกถึงแรงคุกคาม นั่นมันเกินจากขอบเขตของจิต
ดาบไปแล้ว แต่เป็นต้นแบบของ ‘เต๋า’ ประเภทหนึ่ง การเติบโตอย่าง
รวดเร็วของหลี่มู่ทําเอานางรู้สึกถึงอันตราย
จําเป็นต้องรีบสังหารหลี่มู่ทิ้ง
นางส่งกระแสเสียง ให้คนต่อไปออกศึก
แสงสว่าววาบ
ผู้นําตระกูลค่ายกลจูน่งปรากฏตัวขึ้นบนเวทีลอยฟ้า
จูน่งแต่งตัวเหมือนปัญญาชน ทว่าใบหน้ากลับผอมยาวอัปลักษณ์
ให้ความรุ้สึกลิงหลอกเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
คนผู้นี้ถนัดด้านการคิดคํานวณ ในสายค่ายกลถือได้ว่าอันดับหนึ่ง
ของดาวทุรกันดารนี้เลย เหล่าผู้แข็งแกร่งบนดาวทุรกันดารล้วนรู้ ถ้า
หากถูกจูน่งวางค่ายกลเอาไว้ก่อนหน้า ต่อให้เป็นขั้นทะลวงสวรรค์ก็ยัง
ยากที่ครบสามสิบสองต่อหน้าเขา นี่เป็นพลานุภาพของตระกูลค่ายกล“จ้าวลัทธิต้วน พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว” จู่น่งยิ้มเล็กน้อย ในมือ
มีพัดขนนกสีขาวเล่มหนึ่ง เอ่ยต่อว่า “ก่อนหน้านี้ จ้าวลัทธิต้วนแต่งกาย
เป็นศิษย์ของสํานักกระบี่ทะเลประจิม และยังเคยมาเข้าร่วมการ
ก่อสร้างเวทีลอยแห่งนี้ ข้าในตอนนั้นกลับมองข้ามไปเสียดาย ไม่เคิด
เลยว่าผู้ใช้แรงงานตัวเล็กจ้อยนั่น จะเป็นยอดฝีมือทะลวงสวรรค์เช่นนี้”
หลี่มู่จ้องมองเขาอย่างหมดความอดทน ในดวงตาจิตสังหาร
ไหลเวียน
จู่น่งสะดุ้งตกใจรีบเข้าสู่หัวข้อหลัก เอ่ยขึ้นว่า “จ้าวลัทธิต้วน ข้าคือ
สํานักค่ายกลอันดับหนึ่งแห่งเก้าสํานัก วันนี้ได้ขึ้นมาเหยียบเวที เช่นนั้น
พวกเรามาประลองปัญญากันดีกว่า ประลองด้านค่ายกลเป็นอย่างไร?
ในมือของข้ามีค่ายกลมหัศจรรย์ที่มาจากนอกพิภพอยู่ หากจ้าวลัทธิต้
วนสามารถทําลายค่ายกลนี้ลงได้ ข้าก็ขอยอมรับความพ่ายแพ้ และ
ยินดีที่จะมอบค่ายกลนี้ให้กับจ้าวลัทธิต้วนอีกด้วย!”
ในใจของเขาค่อนข้างมั่นใจ
นี่เป็นบทพูดที่คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้า
สิ่งที่เรียกกว่าค่ายกลมหัศจรรย์นอกพิภพ ก็คือค่ายกลที่หญิงสาว
ชุดโปร่งดํามอบมาให้กับเขาเมื่อวานนี้ ซ่อนเอาเครื่องสังหารเอาไว้และในความเป็นจริง เวทีลอยแห่งนี้ก็เป็นเขาที่มาควบคุมดูแลการ
ก่อสร้าง เจ็ดสายจากภูเขาสู่ก็ไม่มีผู้ที่ปราดเปรื่องด้านค่ายกล ดังนั้นใน
เวทีลอยฟ้า จูน่งจึงได้ทิ้งวิธีการบางอย่างเอาไว้ นอกจากค่ายกลที่เอาไว้
ปลุกเสกความแข็งแกร่งของค่ายกล ป้องกันคลื่นพลังการสู้รบของขั้น
ทะลวงสวรรค์กระจายออกไปแล้ว ยังมีค่ายกลลับที่เอาไว้โจมตีและ
ป้องกันพร้อมกันอยู่ค่ายหนึ่ง และเพียงแค่ค่ายกลที่ซ่อนไว้ทํางาน เขามี
ความมั่นใจอย่างมากกว่าจะถอยออกไปได้อย่างปลอดภัย
“ประลองค่ายกล?” หลี่มู่มองไปที่เขา สายตาเต็มไปด้วยสีหน้าเย้ย
หยัน
จู่น่งเอ่ยต่อ “ใช่ๆๆ เอาแต่เข่นฆ่าสังหารสวรรค์คงไม่ปลื้มนัก ข้า
เป็นพวกที่ทําการสวนทางสวรรค์อยู่แล้ว เดิมทีก็ต้องแย่งชิงจากฟ้า
แล้วเหตุใดต้องมาเข่นฆ่าสังหารกันเอง ข้าไม่ชอบการฆ่าฟัน สู้พวกเรา
มา…”
พูดยังไม่ทันขาดคํา
หลี่มู่ยกมือ ฟาดลงมาหนึ่งดาบ
แสงดาบสว่างวาบ ราวกับทางช้างเผือกอันกว้างใหญ่ร่วงหล่นลง
มาเมื่อกระพริบ ก็ได้เข้าฟาดฟันร่างของจูน่งที่เอาแต่พร�าพูดไม่หยุด
ทะลุร่างออกไป
“เจ้า…ทําไมจึง…” ร่างของจูน่งค้างแข็ง ตระหนักได้ถึงท่าไม่ดี
อย่างฉับพลัน ร้องเสียงแหลมว่า “ต้วนสุ่ยหลิว เจ้ากล้าลอบโจมตี ชั่วช้า
ไร้ยางอาย เจ้า…อ๊า…” เขาร้องเสียงแหลมออกมาอย่างหวาดกลัว
กล่าวโทษหลี่มู่อย่างเดือดดาล จากนั้นร่างของเขาก็ราวกับเป็นรอยขีด
เขียนบนกระดานดําที่ถูกเช็ดออกไปอย่างไรอย่างนั้น ค่อยๆ จางหาย
กลายเป็นความว่างเปล่า ไอน�าลอยคละคลุ้ง
“เจ้าโง่” หลี่มู่ขี้เกียจจะใส่ใจเขา
ขึ้นมาบนเวทีประลองก็คือศึกตัดสินเป็นตายแล้ว ใครจะมา
ประลองปัญญากับคนที่เอาแต่พร�าไม่หยุดอย่างเจ้ากัน?
สมองมีแต่น�านั่นหละถึงจะรับปากเจ้า
ยิ่งไปกว่านั้นตัวหลี่มู่เองก็เป็นผุ้รอบรู้ด้านค่ายกล ก่อนหน้านี้สํานัก
ค่ายกลสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมด้านค่ายกลบนแผ่นดินใหญ่เสินโจว ก็ยังถูกห
ลี่มู่เก็บกวาดไปจนสะอาด แล้วเจ้าสํานักตระกูลค่ายกลบนดาวเล็กๆ
อย่างดาวทุรกันดาร ยังคิดจะมาเล่นแง่ต่อหน้าหลี่มู่หรือ?
หลี่มู่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ว่าตอนที่จูน่งคนนี้ก่อสร้างเวทีลอยจะทําอะไรไว้แล้วเจ้าวิธีพวกนั้นในสายตาของหลี่มู่ก็ช่างน่าขัน ต่อให้มา
ประลองค่ายกลกันแล้วจะทําไม? เขาทําลายได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
สุดท้ายก็คงได้สังหารขยะหน้ายาวอัปลักษณ์อย่างจูน่งคนนี้อยู่ดี
เพียงแต่ว่า หลี่มู่วันนี้คิดที่จะสังหารคนอย่างสบายใจเท่านั้น
ท้ายสุด สีหน้าหวาดกลัวเดือดดาลของจูน่งก็ค่อยๆ จางหายไป
ท่ามกลางอากาศ
และร่างของเขา ท้ายสุดได้สลายกลายเป็นปราณหมอก ถูกกําจัด
ออกไประหว่างฟ้าดิน
พลังบําเพ็ญนับร้อยปีของจูน่ง ปราณแท้ พลัง ได้สลายกลายเป็น
พลังที่บริสุทธิ์ที่สุด หวนกลับคืนสู่ฟ้าดินผืนนี้
มาจากที่ไหน ก็กลับไปยังที่นั่น
“คนต่อไป!”
หลี่มู่มองไปยังเก้าสํานัก
น�าเสียงไม่ดัง แต่กลับสั่นสะเทือนราวอัสนี ทําเอาคนทั้งหมดของ
เก้าสํานักใจสั่นโครมคราม หน้าถอดสีหญิงสาวชุดโปร่งสีดําที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มคน ในใจก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง
ขยะทั้งสองอย่างหลี่มู่จื่อกับจูน่ง ตายไวเสียเหลือเกิน สิ้นเปลือง
‘ลูกกลอนวาสนาหยกแดง’ ของนางไปอย่างเปล่าประโยชน์ ยิ่งไปกว่า
นั้น ‘อัสนีความมืดเก้าชั้นฟ้า’ ก็ยังไม่ทันจะได้แสดงออกมา ไม่ได้ทํา
อันตรายใดๆ บนตัวหลี่มู่เลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงาน
อะไรของหลี่มู่เลย….เจ้าโง่เอ๊ย เจ้าพวกขยะ!
พอใจนางเย็นลง ก็ส่งกระแสจิตออกไป ให้เจ้าเมืองเป็นหนึ่งต้วน
เฟิงออกศึก
ต้วนเฟิงเวลานี้ ในใจหวาดผวาอย่างมาก
เขาเคยพ่ายแพ้ด้วยน�ามือหลี่มู่มาแล้วครั้งหนึ่ง เคยได้รับความรู้สึก
สิ้นหวังเมื่อเผชิญหน้ากับวิชาดาบเทพแห่งเทพของหลี่มู่
ทว่าเมื่อหญิงสาวชุดโปร่งสีดําเอ่ยปาก เขาต่อให้รู้ว่าต้องตายแน่ๆ
ก็ยังต้องออกศึกอยู่ดี
……………………………………….