จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 1 ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
บทที่ 1 ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ณ ภูเขาสูงชัน!
มีอาคารตั้งอยู่ห่างออกไปห้าสิบลี้ทางทิศใต้ของเมืองมีที่แห่งนั้นคือคุกโหดกลางหุบเขา หน้าผาสูงชันขนาบทั้งสามด้าน ส่วนอีกด้านเป็นเนินเขาไม่ชันนัก เล่ากันว่าหากตายอยู่ภายในนั้นแม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่มีกลิ่นลอยออกมา!
ไม่มีใครสามารถออกมาได้นอกเสียจากว่า จะได้รับโทษครบตามกำหนดแล้ว
กลางดึก ณ ห้องขังหมายเลข สี่ศูนย์สองเจ็ด
นักโทษคนอื่น ๆ ต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว เสียงกรน เสียงผายลม เสียงไร้สาระผสมปนเปกันไป ที่ซอกตรงมุมห้องบริเวณติดกับกระโถนใส่ปัสสาวะ มีชายหนุ่มรูปร่างผอมเห็นกระดูก กำลังนอนตัวคดตัวงอคล้ายก้อนกลม
ทันใดนั้นชายหนุ่มที่มุมห้องก็สะดุ้งเหมือนตื่นจากฝันร้าย ดวงตาเบิกโพลง มีเปลวเพลิงสีทองลุกโชติอยู่ในแววตาเนิ่นนานกว่าจะดับลง ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น “สมกับที่เสียวิทยายุทธ์ไปนับพันปี ข้าฉู่ชวิ๋น กลับมาแล้ว” เสียงนั่นเบาเกินกว่าที่จะได้ยิน แต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวไปจนถึงกระดูก
ย้อนกลับไปเมื่อสามพันปีที่แล้ว หรือพูดให้ถูกคือชาติก่อนหน้านี้ ฉู่ชวิ๋น กล้ำกลืนฝืนรับความอยุติธรรมถูกล่ามโซ่และถูกขังอยู่ในคุกตลอดระยะเวลาสามปี ฉู่ชวิ๋นพูดได้เลยว่าเขาได้รับความทุกข์ทรมานไร้ซึ่งมนุษยธรรมตลอดสามปี!
นักโทษที่อยู่ห้องเดียวกันในทุก ๆ วัน คอยเอาแต่เปลี่ยนวิธีการทรมานเขา ช่วงกลางวันเขาถูกทุบตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ช่วงกลางคืนเขาทำได้เพียงงอตัวอยู่ในซอกมุมข้าง ๆ กระโถนใส่ปัสสาวะ แม้แต่เปลือกตาก็ไม่กล้าปิด ไม่ว่าจะเป็นเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ไหนล้วนทำให้เขาสั่นเทา หวาดระแวง ราวกับคนที่จิตตกและตกใจง่าย
ฤดูร้อนนักโทษที่อยู่ห้องเดียวกัน ทิ้งเขาให้นอนเปลือยอยู่กลางห้องคุกให้ยุงกินเลือด ฤดูหนาวก็ทำให้เขาตัวเปียกโชกจนมีอยู่หลายครั้งที่เขาเกือบหนาวตาย อยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
แม้จะมีหลายครั้งที่เขารอดพ้นจากความตาย แต่วันสุดท้ายที่เขาจะออกจากคุก เขาก็ตายด้วยน้ำมือของนักโทษคนอื่นที่อยู่ห้องขังเดียวกัน
หลังจากที่เขาตาย เขาได้ทะลุไปยังอีกต่างโลก ที่นั้นเป็นอีกดินแดนแยกจากกันอย่างถาวร มันคือโลกแห่งเซียน ที่นั้นมีแต่การฝึกตนเพื่อเป็นเซียนเท่านั้น!
ภายในจิตใจของฉู่ชวิ๋นยังรู้สึกไม่อาจยอมรับได้ เขาฝึกฝนอย่างแสนสาหัสด้วยความรู้สึกเคียดแค้น เขาเอาแค่คิดว่าจะต้องกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เพราะมีเพียงจักรพรรดิเซียนเท่านั้น จึงจะสามารถพลิกสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดีและสามารถทะลุผ่านมิติเวลาได้ ความโชคดีคือฉู่ชวิ๋นที่อยู่ในเส้นทางการฝึกเซียน มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมราวกับสวรรค์ประทานพร
ในตอนนั้น ซานมิ่งเซียนผู้เป็นเหมือนบุตรแห่งสวรรค์ยังใช้เวลาเป็นหมื่นปีเต็ม ๆ กว่าจะได้ดำรงตำแหน่งจักรพรรดิเซียน ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมากในสมัยนั้น
แต่ฉู่ชวิ๋นใช้เวลาแค่สามพันปีก็ขึ้นมาถึงระดับจักรพรรดิเซียนได้ มันเป็นเรื่องน่าตกใจไปทั่วทั้งยุทธภพเซียน! หลังจากที่ฉู่ชวิ๋นได้เป็นจักรพรรดิเซียน เขาก็ไม่ลังเลที่จะใช้พลังทั้งหมดที่มี บิดเบือนมิติเวลากลับไปยังวันที่เขาติดอยู่ในคุก สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดก็คือ จักรพรรดิเซียนฉู่ชวิ๋นบัดนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น!
หากผ่านวันนี้ไปก็จะเป็นวันที่เขาได้ออกจากคุก แต่ฉู่ชวิ๋นก็รู้ดีว่า คืนนี้เขาจะตายในห้องขังนี้
เขาขยับร่างกายที่ทรุดโทรมเบา ๆ ความรู้สึกแสบร้อนที่รุนแรงทำให้หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ร่างกายรู้สึกเจ็บปวดทั้งแผลเก่าแผลใหม่นับไม่ถ้วน สายตาของฉู่ชวิ๋นเปล่งประกายความเยือกเย็น ในตอนนี้เขาไม่ใช่จักรพรรดิเซียนอีกแล้วหากแต่เป็นเพียงคนธรรมดาและด้วยสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้อยู่รอดได้ไม่พ้นคืนนี้เป็นแน่แท้
ตอนนี้เขาต้องการเวลา ต้องการสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เขาจำเป็นต้องฝึกฝนตนเองใหม่อีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง ฉู่ชวิ๋นถอดชุดนักโทษและบิดให้กลายเป็นเหมือนเชือก เขาเหมือนกับสัตว์ที่ต้องการล่าเหยื่อและกำลังรอคอย….
รุ่งเช้า แสงแดดส่องแสงผ่านหน้าต่างกรงเหล็กเข้ามา ฉู่ชวิ๋นขยับตัว เขาพยายามกัดฟันลุกขึ้นยืนและเดินไปหาผู้ชายร่างกำยำที่นอนอยู่บนเตียงชื่อของคนนี้ นามว่า หลี่ฮู้ หรือฉายาที่เรียกกันว่า “เสือ”
หลังจากฉู่ชวิ๋นเข้ามาในห้องขังนี้ได้แค่สี่วัน หลี่ฮู้ก็เข้ามาในคุกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และฉู่ชวิ๋นก็ใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้ายมาโดยตลอด ฉู่ชวิ๋นใช้ชุดนักโทษที่บิดกลายเป็นเชือกรัดคอของหลี่ฮู้อย่างโหดเหี้ยม หลี่ฮู้ที่กำลังหลับก็สะดุ้งตื่นจนลืมตาพร้อมใบหน้าบิดเบี้ยว ทันใดนั้นมันก็ตกใจกลัวจนลนลานต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แขนทั้งสองข้างของฉู่ชวิ๋นมีเส้นเอ็นปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มันกัดฟันดังกรอด มันพยายามออกแรงอย่างสุดชีวิต
สีหน้าของหลี่ฮู้เริ่มเป็นสีม่วง ตาถลนออกมา เพราะจู่ ๆ ก็ถูกรัดคอบวกกับตกใจเกินขนาด สมองจึงสั่งการไม่ทัน ทำได้แค่ดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเท่านั้น เหตุการณ์รุนแรงมากจนก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนผู้อื่น ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ต่างตกใจจนอึ้งไปหมด ฉู่ชวิ๋นที่ไม่สู้คนจู่ ๆ ก็ระเบิดออกมา ทำให้พวกเขาไม่สามารถตอบสนองได้ชั่วขณะหนึ่ง
“หยุดนะ!” ในที่สุดก็มีคนดึงสติได้และเข้าไปห้ามฉู่ชวิ๋น
ทันใดนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ปล่อยมือและจับขอบเตียงพลางกระชากอย่างสุดชีวิต เตียงในห้องคุกสร้างด้วยเหล็กทั้งด้านบนและด้านล่าง การกระชากขอบเตียงของฉู่ชวิ๋นถึงกับทำให้ทั้งเตียงพังลงมา
“โครมม!” เตียงเหล็กล้มลงบนพื้นเสียงดัง แม้แต่พื้นดินก็สั่นสะเทือน
ในช่วงจังหวะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ฉู่ชวิ๋นใช้จังหวะนี้กระโจนไปที่ชั้นวางของใช้ทำความสะอาดร่างกายหน้าประตูห้องขัง ชั้นวางของใช้ทำความสะอาดร่างกายเป็นวัสดุไม้ นักโทษทั้งแปดคนที่อยู่ในห้องขังมีอุปกรณ์ล้างหน้าของทุกคนวางไว้ด้านบน ฉู่ชวิ๋นขว้างของทุกอย่างคล้ายกับคนบ้า แปรงสีฟัน กะละมังล้างหน้า เศษพลาสติกบินว่อนไปทั่ว
สุดท้ายหลังจากที่ฉู่ชวิ๋นผลักชั้นวางของใช้ทำความสะอาดร่างกายให้ล้มลงบนพื้นถึงได้หยุดการกระทำลงและในขณะเดียวกันนั้น ประตูเหล็กด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่วุ่นวายดังขึ้น
“เคร้งเคร้ง!” เสียงประตูเหล็กถูกทุบ
“ทำอะไรน่ะ? จะก่อกบฏเหรอ?” หน้าต่างเล็กบนบานประตูเหล็กถูกเปิดออก และปรากฏหน้าผู้คุมหลี่ที่ใบหน้าโหดเหี้ยมขึ้น หลี่ฮู้ที่กำลังตระหนกตกใจ และทุก ๆ คนรีบนั่งยอง ๆ บนพื้นเอามือทั้งสองข้างจับหัวไว้
หลี่ฮู้คืออันธพาลแห่งคุก แต่ก็ใช้อำนาจรังแกผู้อื่นได้แค่ในห้องขังนี้เท่านั้น คนที่โหดร้ายจริง ๆ คือ ผู้คุม พวกนี้ไม่สนว่าตอนพวกเราอยู่ด้านนอกจะเก่งกาจแค่ไหน เข้ามาในนี้แล้วทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับผู้คุม อยากขยี้อยากทรมานยังไงก็ได้ตามอารมณ์ของผู้คุม โดยเฉพาะผู้คุมหลี่ที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ใครที่ตกอยู่ในกำมือเขาไม่ตายก็เกือบตาย
ประตูเหล็กเปิดออก ผู้คุมหลี่หน้าเขียวเหมือนยักษ์เดินเข้ามา มองของที่กระจัดกระจายบนพื้นด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
“นี้มันเกิดอะไรขึ้น ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทในเขตการควบคุมของฉัน ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ผู้คุมหลี่ ไอ้เวรนี่อยากจะรัดคอผมให้ตาย” หลี่ฮู้เงยหน้าตะโกนเสียงดังและชี้ไปที่ฉู่ชวิ๋น
“ผู้คุมหลี่ เจ้าหนุ่มคนนี้บ้าไปแล้ว เขาไม่เพียงแค่จะรัดคอฆ่าพี่เสือ แถมยังผลักเตียงและชั้นวางของล้มอีก”
“……”
นักโทษทุกคนกอดกันเป็นกลุ่มโดยปริยาย
ผู้คุมหลี่มองฉู่ชวิ๋นที่นั่งยอง ๆ บนพื้นก็ขมวดคิ้ว ฉู่ชวิ๋นในตอนนี้เสื้อผ้าบนร่างกายไม่สามารถปกปิดอะไรได้ ทั้งยังขี้ก้าง ร่างกายช้ำบ้างม่วงบ้าง มีแต่รอยแผลเต็มไปหมด
แต่ว่าในสายตาของผู้คุมหลี่ คนพวกนี้ล้วนเป็นคนบาปหนา เป็นขยะของสังคม ขยะที่ไม่สมควรได้รับความเห็นใจ
“พวกนี้นายเป็นคนทำใช่ไหม?” ผู้คุมหลี่หรี่ตามองและถามฉู่ชวิ๋น
“ใช่” ฉู่ชวิ๋นปริปากพูดเรียบ ๆ
ผู้คุมหลี่ชะงักไป เขาคิดว่าฉู่ชวิ๋นจะพูดแก้ตัวให้ตัวเอง
“ให้เวลาพวกนายสิบนาทีจัดการเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย” ผู้คุมหลี่พูดกับหลี่ฮู้และคนอื่น ๆ พูดจบก็หันหลังจากไปพร้อมชี้ไปที่ฉู่ชวิ๋นและพูดออกมา
“ส่วนแกมากับฉัน” ใบหน้าของหลี่ฮู้และคนอื่น ๆ ปรากฏรอยยิ้มที่ดุร้าย พวกเขารู้ว่าคำพูดนั้นของผู้คุมหลี่ ที่พูดว่ามากับฉันหมายถึงอะไร ฉู่ชวิ๋นต้องถูกเข้าห้องมืดอย่างแน่นอน
สถานที่เรียกว่าห้องมืดเป็นเพราะว่ามันก่อด้วยหินที่แหลมคม พื้นก็ปูด้วยหินแหลมคม นี่คือวิธีที่เอาไว้จัดการกับนักโทษที่ไม่เชื่อฟังและทำผิด รอบ ๆ ห้องมืดล้วนเป็นหินที่แหลมคม มนุษย์ทำได้เพียงแค่ยืนเขย่งปลายเท้า หากไม่ระวังก็จะถูกบาดฝ่าเท้าและหากว่าอยากจะพิงกำแพงก็จะถูกหินที่แหลมคมแทงร่างกาย
พอปิดประตูแล้วด้านในก็จะมืดสนิท คนที่อยู่ด้านในไม่สามารถนั่งหรือนอนได้ ได้แต่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปิดแน่น มืดครึ้มซึ่งมีผลต่อร่างกายและจิตใจ มันคือการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ ถ้าหากว่าถูกขังเอาไว้เป็นเวลานาน มากพอก็สามารถทำให้ประสาทเสียได้เลย
ตราบจนทุกวันนี้ ยังไม่มีใครสามารถอยู่ในห้องมืดนานเกินสามวันได้เลย ดังนั้นนี้ทำให้นักโทษในห้องขังมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อกล่าวถึงมัน ฉู่ชวิ๋นไม่ต่อต้านเลยสักนิดและเดินตาม
ผู้คุมหลี่ไป เพียงแต่ว่าก่อนที่จะเดินไป เขาส่งรอยยิ้มแปลกประหลาดให้กับหลี่ฮู้
“พี่เสือ ตอนนี้จะทำยังไงดี? เจ้าหนุ่มนั้นถูกจับไปแล้ว พวกเราจะลงมือยังไง?” เสียงของนักโทษคนหนึ่งที่ร่างกายกำยำพูดขึ้นอย่างเหี้ยมโหด
“แกรีบหรือไง?” หลี่ฮู้ตวาดออกมาอย่างรำคาญและพูดขึ้นมา
“ดูสภาพร่างกายของเจ้าหนุ่มนั้นสิ มากที่สุดประมาณสิบกว่าชั่วโมงก็จะถูกปล่อยออกมาแล้ว อีกตั้งวันกว่าที่เขาจะออกจากคุก เพียงพอให้พวกเราลงมือน่า”
“ผ่านคืนนี้ไปแค่ให้เจ้าหนุ่มนี้ตายพวกเราก็จะสามารถออกไปได้แล้ว พอกันทีกับที่นี่” นักโทษอีกคนถุยน้ำลายออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฉู่ชวิ๋นเดินตามผู้คุมหลี่มาจนถึงหน้าห้องมืด ผู้คุมหลี่เปิดประตูห้องมืดอย่างไร้ความรู้สึก
“เข้าไป” ฉู่ชวิ๋นยิ้มและไม่ปริปากพูดอะไร ก่อนที่จะเดินเข้าไปกลับถูกผู้คุมหลี่ดึงตัวไว้ก่อน
“ถอดรองเท้า” สายตาฉู่ชวิ๋นเดือดดาลแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงถอดรองเท้า พอเขาเพิ่งจะยืนขึ้นก็ถูกผู้คุมหลี่ผลักเขาเข้าไป
ด้านในด้วยรอยยิ้มเย็นชา แค่เหยียบลงไปบนพื้น ฉู่ชวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องอย่างทุกข์ทรมานออกมา หินที่แหลมคมทิ่มแทง
กลางฝ่าเท้าของเขา!
ประตูปิดลง ฉู่ชวิ๋นจมดิ่งในความมืดมิดที่ยื่นมือออกไป ไม่เห็นแม้นิ้วทั้งห้า ในความมืดมิด ฉู่ชวิ๋นที่ทนรับความเจ็บปวดอยู่ใบหน้าของเขากลับปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา ฉู่ชวิ๋นโค้งตัวลง เริ่มค้นหาสิ่งของในความมืดจนปล่อยให้ปลายหินทิ่มแทงฝ่าเท้าเข้าไป เขามองไม่เห็นด้วยตาแต่ก็รวบรวมสะสมหินบนพื้นด้วยความรู้สึกที่ว่องไวและเฉียบแหลม
หินที่รวบรวมได้ถูกเขาแบ่งออกเป็น ห้ากอง มองดูเหมือนยุ่งเหยิงแต่แอบแฝงไปด้วยความมีระเบียบ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หินสุดท้ายในมือของฉู่ชวิ๋นก็ถูกวางลง
“ตู้มม!”
คลื่นอากาศในห้องมืดอลหม่านขึ้น พร้อมกับหินก้อนสุดท้ายที่วางลงมาห้องขังก็สั่นไหวราวกับถูกคลื่นเล็ก ๆ ซัดครั้งแล้วครั้งเล่า ฉู่ชวิ๋นลูบเหงื่อบนหน้าผากและยิ้มมุมปาก
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายปีศาจทั้งห้า สำเร็จ” ค่ายกลขนเคลื่อนปีศาจทั้งห้าเป็นขบวนวิญญาณ ผลอย่างเดียวของมันก็คือเคลื่อนย้ายพลังวิญญาณ ดูดพลังวิญญาณทั่วทุกทิศเข้ามา
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ค่ายกลเคลื่อนย้ายปีศาจ ทั้งห้าแบบเรียบง่ายและไม่ละเอียดเท่าไหร่นัก ฉู่ชวิ๋นเข้าไปในค่ายกลแล้วนั่งสมาธิทำมือเป็นสัญลักษณ์ บนใบหน้าปรากฏสีหน้าที่แปลกประหลาดราวกับคนที่กำลังถูกรางวัลใหญ่
คุกบนภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาต้วนฮุน บริเวณรอบนอกหนึ่งร้อยลี้ เป็นเขตร้างปลอดผู้คนจึงไม่มีมลพิษ พลังวิญญาณเข้มข้นกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก ช่างเป็นเรื่องน่าดีใจที่คาดไม่ถึงจริง ๆ!