จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 110 การเริ่มต้นที่ตรงจุด[รีไรท์]
บทที่ 110 การเริ่มต้นที่ตรงจุด[รีไรท์]
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นราวกับการแสดง ปรมาจารย์ทั้งสองถูกจัดการและโยนลงบ่อน้ำ มันช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอเหลือเกิน หากถูกคนภายนอกรู้คงได้พูดกันมันปากเลยทีเดียว
ปรมาจารย์คนไหนบ้างที่จะไม่เย่อหยิ่ง? แต่ตอนนี้กลับถูกโยนลงน้ำเหมือนลูกหมาและอับอายอย่างถึงที่สุด
ฉู่ชวิ๋นดีดนิ้ว แล้วเส้นไหมวิญญาณก็หายไป
ขั้นปรมาจารย์ทั้งสองได้รับอิสระและรีบลุกขึ้นจากพื้น มีหมอกอยู่รอบกายของพวกเขาและไม่นานนักที่เสื้อผ้าเปียกก็แห้งสนิทเหลือเพียงรอยยับ
ทั้งสองรู้สึกละอายใจ คุกเข่าข้างหนึ่งให้ชายชราและพูดพร้อมเพรียงกันว่า “ศิษย์ไม่ได้เรื่อง ทำให้ท่านอาจารย์ต้องขายหน้า”
พวกเขาทั้งสองเป็นศิษย์ของชายชรา และมีหน้าที่ต้องคอยปกป้องหัวหน้าหมายเลข1
ชายชราลูบเคราของตัวเองด้วยมือข้างหนึ่งเหมือนพระอาจารย์ และพูดอย่างเฉยเมย “ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้เป็นเรื่องธรรมดาในกองทัพ เขาไม่ใช่คนที่พวกนายจะสามารถสู้ด้วยได้ อย่าอายที่พ่ายแพ้ ไม่จำเป็นต้องคิดมาก อย่าไปท้อแท้ขนาดนั้น ขยันฝึกเข้าไว้…”
“สอนผิด ๆ!” ฉู่ชวิ๋นบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ทุกคนได้ยินเสียงของเขา
“ไอ้หนุ่ม นายจะบอกว่าที่ฉันสั่งสอนมันผิดงั้นเหรอ?” ชายชราถาม
ฉู่ชวิ๋นทำเป็นไม่สนใจ เขาหันกลับไปมองขั้นปรมาจารย์ทั้งสองที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่และยิ้ม “ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะอยู่ขั้นนี้ได้น่ะ?”
ทั้งสองรู้สึกงงงวยและไม่เข้าใจว่าทำไมฉู่ชวิ๋นถึงถามเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ได้รับการสั่งสอนมาว่าผู้ที่แข็งแกร่งสมควรที่จะได้รับการยกย่อง พวกเขาจึงไม่ขัดใจอะไร หนึ่งในสองคนนั้นตอบกลับมาว่า “พวกเราทั้งสองติดตามอาจารย์มาด้วยกัน ใช้เวลา 30 ปีพวกเราก็มาถึงขั้นปรมาจารย์ครับ”
พวกเขารู้สึกภูมิใจ เพราะใครหลายคนใช้เวลาฝึกทั้งชีวิตก็ยังมาไม่ถึงจุดนี้เลย พวกเขาเป็นเหมือนอัจฉริยะ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ผิดไปเลยแม้แต่น้อย
“นานขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นโค้งริมฝีปาก ก่อนที่จะหันไปมองชายชรา “ยังจะบอกว่าสอนไม่ผิดอีกนะ ใช้เวลาตั้ง 30 ปีกว่าจะเป็นขั้นปรมาจารย์ ถ้าเป็นฉันใช้เวลาแค่ 5 ปีก็พอแล้ว”
สีหน้าของชายชราแข็งทื่อไปเล็กน้อย ใบหน้าแก่ ๆ ของเขามืดมนและกำลังโกรธ
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้สนใจ เขามองไปที่ขั้นปรมาจารย์ทั้งสองและพูดด้วยรอยยิ้ม “มาติดตามฉันแทนไหมล่ะ ฉันสามารถทำให้เลื่อนขั้นได้ทุกปีเลยนะ และไม่เกินสิบปีจะก้าวสู้ขั้นจักรพรรดิได้ ว่าไง?”
ขั้นจักรพรรดิ
สองคำนี้เป็นคำที่มีความดึงดูดผู้มีวิชาทุก ๆ คน เคยมีคนกล่าวไว้ว่า ‘อยู่ใต้จักรพรรดิก็เป็นเพียงแค่มด!’
หากไปถึงขั้นจักรพรรดิได้ในโลกนี้ยังจะมีที่ไหนที่ไปไม่ได้อีก? อีกอย่างการไปถึงขั้นจักรพรรดิยังมีอายุขัยถึง 500 ปี ใครจะไปทนต่อสิ่งล่อตาล่อใจแบบนี้ได้กัน? ขั้นปรมาจารย์ทั้งสองกลืนน้ำลายดัง เอื้อก!
ฮึ่ม!
เสียงพ่นลมอย่างไม่พอใจทำให้ชายทั้งสองได้สติ
ทันใดนั้นเหงื่อที่หลังของพวกเขาไหลพลั่กมันเย็นจนรู้สึกได้ และนึกถึงสิ่งที่อาจารย์เคยพูด การฝึกตนนั้นต้องได้มากกว่าพลังกาย ระดับของจิตใจต้องได้รับการยกระดับด้วย
“อาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อนนะครับ” ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง หลังจากเห็นการตอบรับของชายชราพวกเขาทั้งสองก็อำลาฉู่ชวิ๋นอย่างนอบน้อม
ฉู่ชวิ๋นยักไหล่ แน่นอนว่าอาจารย์ของทั้งสองนั้นถูกสอนมาดีและยากที่จะเกลี้ยกล่อม ขั้นปรมาจารย์ทั้งสองฉู่ชวิ๋นเองก็อยากได้มาเป็นพวก เขามองชายทั้งสองเดินจากไปด้วยความเสียดายลึก ๆ ในใจ
“สหายน้อย เชิญ!”
ชายชราหัวเราะออกมาอย่างสงวนท่าที ฉู่ชวิ๋นก็นั่งโดยไม่คำนึงถึงความสุภาพใด ๆ หัวหน้าหมายเลข1 รินชาให้ ด้วยระดับการฝึกฝนของฉู่ชวิ๋น เขาสามารถรับมันมาได้อย่างไม่ละอาย
มันคือธรรมเนียมเวลาต้อนรับแขกควรเทแค่ 7 ส่วน ถ้าเทเต็มแก้วจะถือว่าไม่ให้เกียรติแขกและก็เวลารินชาก็ห้ามลวกมือแขกเด็ดขาด
หัวหน้าหมายเลข1 นั้นเชี่ยวชาญในพิธีชงชามาก เขาชัดเจนเรื่องนี้อยู่แล้วฉู่ชวิ๋นยกน้ำชามาจิบให้เปียกริมฝีปากแค่นั้น จากนั้นก็วางแก้วชาลงด้วยสายตาเรียบนิ่ง
หัวหน้าหมายเลข1 เข้าใจดีว่าการที่อยู่ต่อหน้าผู้มีพลังที่ไม่อาจคาดเดาได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดจริง ๆ เขาจึงไม่สนใจอะไรมากนัก
“สหายน้อย มาที่นี่มีเรื่องอะไรล่ะ?” ชายชราสงสัย
ฉู่ชวิ๋นเหล่มองชายชราด้วยสายตาประชดประชันเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไร ความหมายที่มามันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงแค่มองชายชราที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เงียบ ๆ
ชายชราและหัวหน้าหมายเลข1 ก็มองหน้ากันอย่างไม่เห็นความลำบากใจใด ๆ ของฉู่ชวิ๋นก่อนที่จะหัวเราะออกมา “หากมีเรื่องจะถามก็ขอให้เปิดปากถามได้เลย พวกเราจะตอบสิ่งที่รู้อย่างไม่ปิดบัง”
“ทำไมถึงให้ยศพลตรีกับฉันล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นถามตรง ๆ
หัวหน้าหมายเลข1 กระแอมก่อนหนึ่งครั้ง และเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “อย่าโกรธไปเลย มันผิดที่พวกเราเองที่ไม่ได้ถามความสมัครใจก่อน แต่ตอนนั้นพวกเราติดต่อสหายไม่ได้เลย พวกเราเองก็จนปัญญา”
“จนปัญญา?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
หัวหน้าหมายเลข1 ไม่ได้เขินอายอะไร มองหน้าฉู่ชวิ๋นตรง ๆ แล้วพูดต่อไป “ตอนนั้นนายเองก็ข้ามประเทศตัวคนเดียว ถ้าไม่มีเหตุผลอันสมควรก็จะเกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศได้ พวกเราจึงต้องให้ตำแหน่งนายสูง ๆ จะได้ไม่มีผลกระทบตามมา…”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความสนุกและอยากรู้อยากเห็น
หัวหน้าหมายเลข1 จ้องมองอย่างไม่สบายใจ ยิ่งเขาพูดเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดและเขาก็ขาดความมั่นใจและสุดท้ายก็พูดอะไรต่อไม่ได้
“ช่างเถอะ ฉันบอกแล้วว่าเด็กนี่ยังไม่โต ถ้าโตแล้วก็คงเข้าใจเอง” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว
มุมปากของฉู่ชวิ๋นยกขึ้นประชด สองคนนี้เห็นเขาเป็นเด็กกระโปโลหรือไง? ตั้งแต่ที่เขาก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ทั้งสองก็ร่วมมือกันแสดงละคร เมื่อครู่ชายชราทำเป็นจะสั่งสอนเขา แต่หัวหน้าหมายเลข1 พยายามห้ามอย่างสิ้นหวัง มันดูปลอมจนไม่อยากจะเชื่อ
ชายชรามีขั้นพลังสูงกว่าเขา หัวหน้าหมายเลข1 เป็นเพียงคนธรรมดาและเขาไม่อาจหยุดชายชราที่มีลูกน้อง 10,000 คนได้ นอกจากนี้ขั้นพลังของชายชราระดับก็ไม่อาจหยั่งรู้ได้ แถมยังม้วนแขนเสื้อเหมือนจิ๊กโก๋ตะโกนจะสั่งสอนเขา…ยังมีอะไรน่าขำกว่านี้อีกไหม?
ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ว่าพวกเขาจะเล่นละครทำไม? แต่มันต้องเป็นแผนอะไรสักอย่างแน่ ๆ
เพราะฉะนั้นฉู่ชวิ๋นจึงชิงลงมือก่อน และดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อขัดขวางแผนการของพวกเขา
“สหายฉู่ชวิ๋น ไม่ว่านายจะเชื่อหรือไม่แต่พวกเราไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนายแต่อย่างใดเลยนะ” หัวหน้าหมายเลข1 พูดพร้อมยิ้มแห้ง ๆ
ฉู่ชวิ๋นยังคงไม่สนใจอะไรและเงียบ
ชายชราถอนหายใจและพูดขึ้นอย่างเศร้าโศก “พ่อหนุ่ม จริง ๆ แล้วมีสองเหตุผลนะที่เรามอบยศนั้นให้ ประการแรกใช้ทักษะของนายข่มขู่ประเทศอื่น ๆ และบอกให้พวกเขารู้ว่าทหารจีนของเรามีอำนาจมากเพียงใด ประการที่สองฉันต้องการผูกนายไว้กับสิ่งนี้ ขอให้จำไว้เสมอว่านายมาจากจีน”
“สหายฉู่ชวิ๋น ไม่ใช่ว่าเราเป็นกังวล แต่คนอย่างนายมีพลังเกินกว่าจะยับยั้ง…”
“งั้นตอนนี้พวกคุณกำลังกังวลเรื่องอะไรกันแน่? มีปรมาจารย์กำลังหักหลังประเทศชาติหรือไง?” ฉู่ชวิ๋นขอขัดจังหวะพร้อมกับพูดขึ้นมา
หัวหน้ามองหน้าชายชราแล้วพยักหน้าพร้อมกัน
“มีจริงเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว
คำพูดของฉู่ชวิ๋นเหมือนกับการทำลายผนึกอะไรบางอย่างของประวัติศาสตร์ ดวงตาของชายชรากลายเป็นสีดำสนิทราวกับสระน้ำลึกก้นบึ้งและใบหน้าที่เจ็บปวด
เป็นเวลานานจนชายชราสูดหายใจเข้าเต็มปอด และพูดสิ่งที่เก็บไว้ออกมาด้วยความเศร้า “ผ่านมากว่า 70 ปีแล้วที่ศัตรูต่างชาติเข้ามาจู่โจมพวกเรา แผ่นดินลุกเป็นไฟ เผา ฆ่า ปล้น เราทำอะไรไม่ได้เลย พวกมันทำลายจนผู้คนไม่สามารถอาศัยอยู่ดังเดิมได้”
“ในตอนที่ศัตรูจู่โจมพวกเรา มีผู้มีวิชารวมตัวกันเป็นกลุ่มกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเดินทางเพื่อปล้นสะดมและฆ่าทหารยศนายพลของเรา ทำให้มีผลกระทบต่อการรบครั้งนั้นอย่างมาก พวกมันแข็งแกร่งมาก คนธรรมดาไม่มีทางสู้ได้เลย”
“เมื่อประสบกับปัญหาแบบนี้ จอมยุทธ์ที่เป็นศิษย์ของฉันมีความโกรธเป็นแรงผลักดัน หาทหารอาสาจากที่ต่าง ๆ ก่อนที่จะหาทางสวนกลับ”
“คุณก็เป็นหนึ่งในนั้นสินะ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ชายชราพยักหน้า “ตอนนั้นฉันกับตู๋จือเฟยเป็นผู้นำ และมีขั้นปรมาจารย์กว่า 100 คนและขั้นนักสู้พลังชีพจรอีกกว่า 500 คน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ชายชราดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งที่น่ากลัว แม้แต่ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นเทา
“ฉันเล่าต่อเอง” หัวหน้าหมายเลจข1 พูด
ชายชราโบกปัดและพูดเสียงต่ำ “ไม่เป็นไร”
ฉู่ชวิ๋นพยายามเก็บความอยากรู้อยากเห็นเอาไว้
“หลังจากการก่อตัวของพันธมิตรผู้มีวิชาแล้ว ผู้บุกรุกก็แพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า นายรู้ไหมทักษะยุทธ์ที่พวกเขาเรียกมันเป็นเพียงจุดสิ้นสุดของสิ่งที่เลียนแบบมาจากจีนของฉันเท่านั้น พวกมันกล้ามาเทียบกับทักษะจีนโบราณของฉันได้ยังไง? บอกได้เลยพวกอ่อนแอมากและกำลังจะตาย” ชายชราหยุดพักก่อนที่จะพูดต่อ “และแล้ววันหนึ่งพวกเราก็เจอที่ซ่อนของพวกผู้บุกรุก ทุกคนต่างก็ดีใจมากแล้วเขาไปปิดล้อมและจัดการพวกมัน แต่…”
เสียงของชายชราเริ่มส่งเสียงครวญครางและดวงตาของเขาเริ่มแดงระเรื่อ “ตอนที่พวกเราไปถึงก็ไม่เจอใครเลย ฉันสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติแต่ก่อนที่พวกเรารู้ตัวก็สายเกินกว่าที่ถอยได้แล้ว…”
ชายชราไม่สามารถพูดต่อได้ เขาสะอื้นอยู่หลายครั้งและหลั่งน้ำตาออกมาในที่สุด แต่แล้วหัวหน้าหมายเลข1 ก็พูดต่อ
ชายชราถูกหลอก พูดให้ชัดคือเขาถูกคนของตัวเองทรยศและสถานที่นั้นเต็มไปด้วยวัตถุระเบิด
ตู้มม!
ภูเขาสั่นสะเทือน พื้นดินลุกโชนไปด้วยเปลวไฟขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าและพื้นถล่ม ไม่มีใครรอดออกมาเลย ยกเว้นตัวของชายชราเองที่หลบหนีได้โดยบังเอิญ
เหตุการณ์นั้นเป็นฝันร้ายตลอดกาลของชายชรา ซึ่งทรมานเขามาหลายครั้งหลายหนแล้ว เขาสาบานว่าจะหาตัวคนทรยศให้จงได้
ฉู่ชวิ๋นมีท่าทีที่แปลกไปจากเดิม เขาไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเขาไม่เข้าใจความรู้สึกนั้น เพราะเขาเป็นคนต่างโลกต่างเวลา
เขาไม่เคยเข้าสำนักอะไรเลย เขาเดินทางคนเดียวมาตลอด เขาไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เพราะในอีกโลกหนึ่งเขาไม่เคยเข้าร่วมนิกายใดและเป็นอิสระมาโดยตลอด ทุกสิ่งทำด้วยตัวเองและเขาอยู่คนเดียว
เขายังอิจฉาเหล่าศิษย์ของนิกายที่มีชื่อเสียง ซึ่งมีทรัพยากรมากมายให้เพลิดเพลิน แต่เนื่องจากบุคลิกและประสบการณ์ของเขาบนโลกนี้ด้วย มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะไว้วางใจผู้อื่น
“มีข่าวคราวอะไรของคนทรยศนั่นไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ชายชราสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะพูดช้า ๆ ว่า “มันชื่อว่าวั่นชิ่งหมิง เคยเจอหน้ามันครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่มันจะหายตัวไปอีกครั้งอย่างไร้ร่องรอย”
“ถ้าบังเอิญเจอ ผมจะฆ่ามันให้” ฉู่ชวิ๋นซดชาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างง่ายดาย
ชายชราส่ายหน้า “หากมันอยู่ในกำมือของนาย ช่วยไว้ชีวิตมันด้วยเถอะ”
ฉู่ชวิ๋นสงสัยแต่เพียงครู่เดียวก็กระจ่าง “ได้ ผมจะไว้ชีวิตหมา ๆ ของมันให้”
ชายชราเอ่ยคำขอบคุณ ชายชราต้องการที่จะแก้แค้นให้กับคนที่ตายไปด้วยมือของเขาเอง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ที่เสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์
ฉู่ชวิ๋นใช้นิ้วเคาะโต๊ะหินอ่อนเบา ๆ และหันหน้าไปมองชายชราตาใสพูดขึ้ว่า “ผมอยากจะเจอเขา”
ฉู่ชวิ๋นอยากเจอผู้ฝึกเทพเซียนที่อยู่เบื้องหลังชายชราจริง ๆ แต่ชายชราตอบอย่างไม่คิดทันที “ตอนนี้ไม่ได้ ตอนนี้ระดับของนายยังน้อยเกินไป”
ฉู่ชวิ๋นหยุดเคาะโต๊ะหิน มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย นิ้วของเขาสะบัดและถ้วยชาหยกขาวบนมือของเขาก็ส่งเสียงหวีด และไปอยู่ด้านหน้าของชายชรา
ชายชรายื่นมือออกไป ลมปราณภายในแผ่ออกมาจากฝ่ามือของเขาก่อตัวเป็นพายุทอร์นาโดขนาดเล็กและถ้วยน้ำชาก็ติดอยู่ในนั้นหมุนอยู่ในอากาศ
ฉู่ชวิ๋นกำหมัดเอาไว้แน่นก่อนที่จะปล่อยหมัดออกไป
ชายชราบอกว่าเขาไม่เก่งพอมา 2-3 ครั้งแล้ว พูดอะไรไปก็ไม่คงสามารถทำให้อีกฝ่ายมั่นใจได้ เพราะงั้นแสดงให้ดูย่อมดีกว่าอยู่แล้วแม้จะหยาบคายหน่อยก็ตาม
ชายชรายื่นมือออกไปและถ้วยชาก็ค่อย ๆ หล่นลงบนโต๊ะ จากนั้นฝ่ามือของเขาก็แกว่งไปมาเบา ๆ และภาพพิมพ์ฝ่ามือที่มาจากลมปราณก็ยิงออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
ตู้ม!
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน การระเบิดเกิดขึ้นเป็นวงเล็กและเป็นระยะ ๆ และยังทวีความรุนแรงมากขึ้น ความแข็งแกร่งของระเบิดจากกลางอากาศแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
ฉู่ชวิ๋นโบกมือเบา ๆ กำแพงม่านพลังก็ปรากฏขึ้นป้องกันตัวหัวหน้าหมายเลข1 ที่กำลังตกใจอยู่ จากนั้นแผ่นหินก็ระเบิดขึ้นใต้เท้าของเขาและทั้งสองก็ออกจากศาลาโดยยืนตัวเบาราวกับนกนางแอ่นยืนอยู่บนยอดดอกบัวบาน
ชายชราส่งเสียงไม่พอใจ และทำฝ่ามือเรียบเฉียงราวใบมีด ก่อนที่จะสาดคลื่นดาบออกไป
ฉู่ชวิ๋นนั้นไวเหมือนแสง และเปลี่ยนไปยืนบนดอกบัวที่กำลังเบ่งบานอีกดอก
ตู้ม!
ดอกบัวที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกสับด้วยมีดและปลาคาร์ปสีแดงที่โชคร้ายก็ถูกหั่นเป็นซาซิมิ
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นหรี่ลง มีแสงสะท้อนออกมา
ชายชรามีพลังเช่นนี้แล้วแม้จะไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เลยก็ตาม มันน่ากลัวจริง ๆ แต่ว่า…มันยังไม่พอที่จะต่อกรกับคนอย่างฉู่ชวิ๋น!