จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 216 ฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว[รีไรท์]
บทที่ 216 ฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว[รีไรท์]
กาลเวลาผ่านไปเหมือนสายน้ำไหล เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว โลกทั้งใบเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พื้นดินขยายตัวกว้างใหญ่ขึ้น ภูเขาต่าง ๆ ก็สูงขึ้นเสียดฟ้า สัตว์ป่าหายากหลายชนิด ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว
แผ่นดินกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์ เกิดเรื่องพิสดารขึ้นตลอดเวลา บางคนก็เผลอกินเมล็ดต้นไม้มหัศจรรย์
เข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้มีพลังในการต่อสู้ และกลายเป็นจอมยุทธ์ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
บางคนก็รับประทานผลไม้ประหลาด ทำให้มีปีก งอกออกมาจากลำตัว และขนบนปีกแหลมคม
ราวกับลูกศร สามารถทำลายภูเขาทั้งลูกได้ภายในพริบตา
จอมยุทธ์หน้าใหม่ มีฝีมือแก่กล้าอย่างรวดเร็ว เริ่มดูถูก ไม่เห็นหัวจอมยุทธ์รุ่นเก่าอยู่ในสายตา
เกิดเรื่องมหัศจรรย์พันลึกขึ้นในทุกวัน กล่าวโดยสรุปก็คือ โลกทั้งใบตกอยู่ภายใต้ความโกลาหลเรียบร้อยแล้ว
สัตว์ป่าจำนวนมากออกมาทำร้ายมนุษย์ด้วยความดุร้าย มนุษย์เริ่มคิดค้นอาวุธพิเศษ เพื่อนำมาต่อสู้กับสัตว์เหล่านี้โดยเฉพาะ กองทหารจำนวนมากถูกส่งไปประจำการอยู่ในทุกเมือง พร้อมกับอาวุธที่เป็นปืนเลเซอร์รุ่นล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นท้องถนนที่ไหน ก็จะมีแต่กองทหารอยู่เต็มไปหมด
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ว่า จ้างจอมยุทธ์และมนุษย์กลายพันธุ์ ก่อตั้งเป็นหน่วยงานปกป้องประเทศจีน เพื่อคอยรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชน
จักรพรรดิอ๋าวฮวงยืนดูอยู่บนยอดเขาสูง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล โลกเกิดความเปลี่ยนแปลง ความโกลาหลเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ฉู่ชวิ๋น เจ้าทำสำเร็จหรือยังนะ ?” ชายชรากระซิบกับตัวเอง
สิบห้าปีเป็นเวลาที่นานมากพอจะทำให้คนเราลืมเลือนเรื่องต่าง ๆ ไป แม้แต่ในโลกยุทธภพก็ลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนชื่อฉู่ชวิ๋นมาก่อน และในตอนนี้ ยุทธภพก็ปกครองไปด้วยสำนักชั่วร้าย เหมือนตอนสำนักสวรรค์ฟ้าอีกครั้ง!
ในหุบเขา ฉู่ชวิ๋นนั่งหลับตาปิดสนิทแน่น รอบตัวมีรัศมีสีแดงเป็นประกายบางเบา ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ดูน่าเลื่อมใส
ร่างกายของเขาเป็นประกายเหมือนกับแสงตะวัน พลังลมปราณแผ่ออกมา โครงกระดูกและพันธนาการแห่งท้องฟ้าเปล่งรัศมีเป็นสีทองคำลมปราณไหลเวียนรอบกระดูกทองคำภายในร่างกาย จึงกล่าวได้ว่าร่างกายของชายหนุ่มมีสีสันตระการตาจริง ๆ เส้นลมปราณของฉู่ชวิ๋นแยกออกมาจากพันธนาการแห่งท้องฟ้า แบ่งเป็นสองเส้น คือเส้นลมปราณธรรมดา กับเส้นลมปราณจำแลง หรือลมปรามเมฆม่วงหงเหมิง
นี่คือสิ่งที่ทำให้ฉู่ชวิ๋นสามารถโคจรพลังได้สองรูปแบบ แต่มีความแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
ในทันใดนั้นเอง ฉู่ชวิ๋นก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาข้างซ้ายของเขาเป็นสีขาวมีมวลอากาศสีม่วงไหลวนอยู่รอบดวงตาแล้วลำแสงสีทองคำ ก็พุ่งออกมาจากรูจมูกเขา เป็นเหตุให้มวลอากาศระเบิดตัวครืนครั่น
ข้างกายของเขากองเต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาวที่สว่างไสวเหมือนกับหยกขาว และกระดูกพวกนี้ ก็เคยอยู่ในร่างกายของฉู่ชวิ๋นมาก่อน
โครงกระดูกมังกรทองคำในอากาศหายไปแล้ว มันหายไปเพราะมาอยู่ในร่างกายของชายหนุ่มหมดแล้วนั่นเอง
ต้องใช้เวลาถึงสิบสองปี กว่าที่ฉู่ชวิ๋นจะเปลี่ยนกระดูก จนเสร็จสิ้นและใช้เวลาอีกสามปีในการฝึกวิชาลมปราณจำแลง ความสำเร็จในครั้งนี้ของฉู่ชวิ๋น ถือว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
ฉู่ชวิ๋นนับว่า มีความโชคดีอย่างล้นเหลือ เนื่องจากคัมภีร์วิชาลมปราณจําแลงต้นฉบับนั้น มีขนาดใหญ่มาก ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด ยิ่งศึกษาก็จะยิ่งสับสน แต่หินคริสตัลก้อนนี้ ได้ย่อยวิชาเหล่านั้นให้สามารถ
ทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพลังลมปราณ กระบวนท่าต่าง ๆ ไปจนถึงความลับที่ปิดบังเอาไว้จากยุคโบราณอีกด้วย
“ได้เวลากลับออกไปแล้วสินะ” ฉู่ชวิ๋นพูดเบา ๆ ไม่รู้เลยว่าในตอนนี้พ่อแม่ของตนเองเป็นอย่างไรบ้าง จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกของเฉินฮั่นหลงบ้างนะ ?
วูบ!
ม่านพลังถูกสลายไป ภูเขาแยกออกจากกัน ฉู่ชวิ๋นปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ขวับ!
จักรพรรดิอ๋าวฮวงปรากฏตัวขึ้นทันที ชายชรามีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็พยายามเก็บอาการขณะพูดว่า
“สำเร็จไหม ?”
“ไม่ตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว!” ฉู่ชวิ๋นตอบพร้อมกับยิ้ม
ฟึบ!
เงาร่างอีกเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้น เหมือนกับสายรุ้งที่พาดผ่านผืนฟ้า ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโตและหันไปถามด้วยความตกตะลึงว่า
“อย่าบอกนะว่า นี่คือจิ่วโยว ?” คนที่เขาหันไปถามเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก สวมใส่ชุดกระโปรงสีสันสดใส มีผมสีแดง มีผิวขาวราวกับหิมะ ดวงตาของเธอเป็นประกายสดใส ริมฝีปากสีชมพูน่ารักน่าชัง เด็กหญิงผู้นี้ไม่สวมใส่รองเท้า เผยให้เห็นเท้าที่ขาวผ่องและสวยงามเหมือนกับหยกแกะสลัก เด็กหญิงหันมาสบตาฉู่ชวิ๋นแล้วก็พยักหน้า ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจออกมา “เป็นผู้หญิงก็ไม่บอก”
ชายหนุ่มประหลาดใจไม่น้อย ในตอนนี้จิ่วโยวน่าจะมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าปรมาจารย์ระดับเก้า ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้เลย
ดังนั้น เขาจึงหันไปมองจักรพรรดิอ๋าวฮวง “ยาเปลี่ยนร่างใช่ไหม ?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงพยักหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายผลไม้หายากหลายชนิดปรากฏขึ้นจำนวนมาก จิ่วโยวเก็บรวบรวมผลไม้เหล่านั้น มาขอให้จักรพรรดิอ๋าวฮวงปรุงเป็นยาเปลี่ยนร่างให้เธอ
“น่ารักอะไรขนาดนี้!” ฉู่ชวิ๋นลูบหัวเด็กหญิงเล่นอย่างอดใจไม่ไหว จิ่วโยวทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้น เธอก็ยกมือขึ้น ปล่อยพลังลมปราณใส่ฉู่ชวิ๋น เกิดเสียงมวลอากาศระเบิดตัว จิ่วโยวปล่อยพลังระดับปรมาจารย์ระดับเก้า ออกมาอย่างไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย
วูบ!
ฝ่ามือของเด็กหญิงปล่อยลำแสงประหลาดออกมา ลำแสงประหลาดเหล่านั้นเต็มไปด้วย
พลังแห่งการทำลายล้าง นี่คือการโจมตีพิเศษที่จะมีอยู่แค่ในตระกูลปีศาจเท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นลอยตัวหนีออกมา ก่อนจะหยุดยืนห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร
ลำแสงประหลาดเหล่านั้น กระแทกภูเขาเข้าอย่างจัง เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ตามมา ลำแสงที่จิ่วโยวปล่อยออกมาแต่ละครั้ง มีอานุภาพไม่ต่างจากระเบิดทำลายล้างของกองทัพ ภายในเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว ภูเขาที่สูงนับร้อยเมตรก็ถล่มทลายหายไปทันที
จิ่วโยวปล่อยพลังลมหมุนปีศาจตามมาติด ๆ ร่างกายขนาดเล็กของเธอโผบินขึ้นพลางตัวด้วยแสงอาทิตย์ พุ่งตรงเข้ามาหาฉู่ชวิ๋น และยกมือขึ้นยิงลำแสงออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ ฉู่ชวิ๋นไม่ได้หลบหนีอีกแล้ว แต่เขาปล่อยพลังสวนกลับไปโดยตรง ลำแสงจากจิ่วโยว จึงกระจัดกระจายหายไปทันที
จักรพรรดิอ๋าวฮวงหรี่ตาลงเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ จิ่วโยวเองก็ดูจะผิดหวังไม่ใช่น้อย เธอยังโจมตีไม่เลิกรา สองแขนของเด็กหญิงหมุนวน ร่ายรำกระบวนท่า
“เจ้าเด็กน้อย เธอจะทำอะไรกันแน่ ?” เสียงของฉู่ชวิ๋นพลันดังขึ้นในหูของจิ่วโยว ซึ่งทำให้จิ่วโยวสะดุ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้น มือข้างหนึ่งของเขาก็ตะปบลงบนหัวไหล่ของเธอ เกิดเป็นแรงบีบจำนวนมหาศาล เด็กหญิงตกตะลึงที่พบว่า ตนเองไม่สามารถสะบัดหนีจากมือของอีกฝ่ายได้เลย
วูบ!
ฉู่ชวิ๋นคุมตัวจิ่วโยว กระโดดกลับมายืนอยู่ตรงหน้าจักรพรรดิอ๋าวฮวง
“ดูเหมือนว่าเวลา สิบห้าปีที่ผ่านไปคงไม่ได้เสียเปล่าจริง ๆ สินะ” ดวงตาของจักรพรรดิอ๋าวฮวง เต็มไปด้วยประกายความสุข
ฉู่ชวิ๋นปล่อยตัวจิ่วโยวและลูบหัวของเด็กหญิงเล่นอีกครั้ง
จิ่วโยวมีสีหน้าเศร้าสร้อย เธอหลงเข้าใจมาตลอดว่า ตอนนี้จะสามารถกลั่นแกล้งฉู่ชวิ๋นได้อย่างง่ายดาย แต่สุดท้ายเธอเองที่เป็นฝ่ายต้องพ่ายแพ้
หลังจากนั้น จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็บอกเล่าเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงของโลกให้ฉู่ชวิ๋นฟัง
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ฉู่ชวิ๋นก็ตกตะลึงจนไม่อยากเชื่อ ชายหนุ่มรีบออกจากหุบเขาของจักรพรรดิอ๋าวฮวงทันที
ต่อมาอีกไม่นาน ฉู่ชวิ๋นก็กลับมาพร้อมกับเสือดาวยักษ์ตัวหนึ่งที่มีขนาดลำตัวยาวกว่าสามเมตร เสือดาวตัวนี้ตายอย่างน่าอนาถ กระดูกแตกละเอียดทั่วร่าง กะโหลกศีรษะบี้แบน แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว แต่ไอสังหารก็ยังลอยออกมาจากตัวเสือดาวอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าในตอนที่มันยังมีชีวิตอยู่ มันจะมีความดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง แต่โชคร้ายที่มันต้องมาพบจุดจบในเงื้อมมือของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยังคงสับสนอยู่ไม่น้อย เขารู้สึกเหมือนกำลังฝันไปทุกอย่างเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่โลกกับผ่านไปแล้ว สิบห้าปี ความเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ทำให้เขาตกตะลึงจริง ๆ
จักรพรรดิอ๋าวฮวงเคยบอก ให้เขารีบฝึกวิชาให้เสร็จภายในเวลา สิบห้าถึงยี่สิบปี ชายหนุ่มแน่ใจว่า จะต้องมีเรื่องสำคัญบางอย่างเกิดขึ้น แต่เขาไม่คิดเลยว่า มันจะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ ?” ฉู่ชวิ๋นถาม จักรพรรดิอ๋าวฮวงจะรู้อะไรบ้างไหมนะ ?
จักรพรรดิอ๋าวฮวงถอนหายใจ แววตาเป็นประกายหวนนึกถึงอดีต ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า
“โลกของพวกเราเปลี่ยนแปลงกลับไปอยู่ในสภาพที่เหมือนยุคดึกดำบรรพ์ ในอีกไม่ช้า ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนอดีตครั้งโบราณอีกครั้ง”
“หมายความว่ายังไง ?” ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจ
“ข้าขอบอกเลยว่า หลายพันล้านปีก่อน โลกของพวกเรามีความยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าดินแดนเซียนนับสิบเท่า นั่นคือยุคทองของโลกพวกเรา ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดและผลไม้มหัศจรรย์ ตอนนั้นมีผู้ฝึกตนหรือจอมยุทธ์มากฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน ลำพังแค่ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิเซียนก็ยังมีเป็นร้อยคนเลยล่ะ
ตอนนั้นโลกของเราอุดมสมบูรณ์มาก บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสว โดยเฉพาะดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าทิศเหนือ…” จักรพรรดิอ๋าวฮวงจมหายกลับไปอยู่ในห้วงอดีต
“คุณรู้ได้ยังไงว่าจักรพรรดิเซียนมีเป็นร้อยคนแบบนั้น เรื่องที่พูดออกมามันไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อได้ง่าย ๆ เลยนะ”
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ โลกที่มีจักรพรรดิเซียนจำนวนนับร้อยงั้นเหรอ มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เพราะว่าแม้แต่ดินแดนเซียน ก็มีจักรพรรดิเซียนอยู่แค่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แถมขนาดเขาเองกว่าจะเป็นจักรพรรดิเซียน ยังต้องฝึกถึงสามพันปี!
เมื่อนึกถึงความอุดมสมบูรณ์ของโลกในอดีต ฉู่ชวิ๋นก็พูดอะไรไม่ออกอีกพักใหญ่กว่าที่จะสะบัดความตกตะลึงออกไปได้
“แล้วยังไงต่อครับ ?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือว่าโลกใบนี้จะต้องถึงคราวอวสาน เพราะทุกอย่างกลับไปมีสภาพเหมือนยุคดึกดำบรรพ์กันแน่ ?
จักรพรรดิอ๋าวฮวงหลุดออกมาจากภวังค์ ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิดถึงอดีตและหันกลับมาจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยสายตาจริงจัง พูดว่า “ฉู่ชวิ๋น ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องออกไปจากที่นี่แล้ว หายนะครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าต้องขอย้ำเตือนกับเจ้าอีกครั้งว่า เจ้าเป็นมนุษย์โลก โลกใบนี้คือบ้านของเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ใช่ที่ดินแดนเซียน!!”
ฉู่ชวิ๋นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของจักรพรรดิอ๋าวฮวงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและวิตกกังวล ฉู่ชวิ๋นพยักหน้ารับคำอย่างจริงจัง
จักรพรรดิอ๋าวฮวงหัวเราะในลำคอ บรรยากาศผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ชายชราระบายลมออกมาทางปาก ก่อนที่จะพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะฝึกวิชาที่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อน แต่ตอนนี้เจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไป พยายามพัฒนาตัวเองเข้าไว้ ชะตากรรมของโลกใบนี้ อยู่ในมือของเจ้าแล้วนี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในหายนะเท่านั้น อันตรายที่แท้จริงจะตามมาหลังจากนี้ต่างหาก และเจ้ามีแต่จะต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะรับมือกับอันตรายเหล่านั้นได้”
โดยไม่รอให้ฉู่ชวิ๋นตอบรับคำใด จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็พูดต่อไปว่า “โลกภายนอกมีโอกาสดี ๆ อยู่เสมอ อย่าได้ปล่อยหลุดมือไปเด็ดขาด เจ้าต้องอย่าลืมว่า นี่คือยุคแห่งความอันตราย หลายสำนักที่เคยซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ต่างก็ปรากฏตัวออกมามีจำนวนไม่น้อยที่สืบทอดอำนาจมาจากสำนักรุ่นดั้งเดิม รวมถึงยังมีคนของสำนักสวรรค์ฟ้าออกมาตั้งสำนักใหม่เองอีกด้วย เจ้าจะประเมินพลังฝีมือของฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไปไม่ได้เด็ดขาด จงระวังตัวเอาไว้ให้ดี!”
จักรพรรดิอ๋าวฮวงเป็นเหมือนเครื่องบันทึกเสียงที่เปิดรวดเดียวจบ โดยเลือกที่จะพูดความจริงบางส่วนและปิดบังบางส่วนเอาไว้
สุดท้าย ชายชราก็กำชับให้ฉู่ชวิ๋นส่งตัวพ่อแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ทุกคนมาที่นี่ จักรพรรดิอ๋าวฮวงอาสาทำหน้าที่ดูแลทุกคนให้เอง เพื่อไม่ให้ฉู่ชวิ๋นต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ได้ยินแบบนี้เขาก็รู้สึกเบาใจไปเยอะ
อันที่จริงแล้ว ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำถาม แต่ในเมื่อจักรพรรดิอ๋าวฮวงไม่อยากพูดถึง เขาก็ไม่ควรถามอะไรให้มากความ ชายหนุ่มตั้งใจจะสืบหาความจริงด้วยตัวเองในอนาคตแต่ตอนนี้ โลกใบนี้ได้กลายเป็นสถานที่ที่สวยงามแต่กลับเต็มไปด้วยอันตรายเสียแล้ว
ฝาโลงศพน้ำแข็งถูกยกขึ้น หญิงงามยังคงนอนอยู่ในโลงศพ เธอยังคงเหมือนคนที่นอนหลับใหลทั่วไป
“เสี่ยวหวู่ ผมฝึกวิชาสำเร็จแล้ว คุณไม่เป็นไรนะ ?” ฉู่ชวิ๋นมองคนรักด้วยความเศร้า
“รอผมก่อนนะ ผมจะต้องทำให้คุณฟื้นขึ้นมาให้ได้…”
สามวันหลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็นั่งระบายความคิดถึง อยู่ข้างโลงน้ำแข็งตลอดเวลา
จนสุดท้าย ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนบอกลา เขาตั้งใจจะเดินทางไปที่ภูเขาเฉียนหลงเพื่อรับตัวพ่อแม่ ตอนนี้ มีแต่ต้องส่งทุกคนมาอยู่กับจักรพรรดิอ๋าวฮวงเท่านั้น ถึงจะปลอดภัยมากที่สุด
ฉู่ชวิ๋นขึ้นเครื่องบินเดินทางไปยังเมืองกู่เจียง ซึ่งปกติต้องใช้เวลาห้าชั่วโมง แต่ปัจจุบันต้องใช้เวลาเดินทางถึงสิบชั่วโมงแล้ว
พื้นดินขยายตัว ระยะทางจึงเพิ่มมากขึ้น บนพื้นดินที่ขยายตัวออกมา ไม่มีรอยแตกแยกเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่า แผ่นดินเหล่านี้เป็นยางยืดที่สามารถขยายตัวได้ เพราะมีความยืดหยุ่นสูง
ปัจจุบัน การเดินทางทางอากาศไม่ปลอดภัยอีกแล้ว เกิดการโจมตีโดยเหล่านกยักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินลดน้อยลง หรือถ้าสายการบินไหนยังคงทำการบินอยู่ ก็จะมีการติดตั้งอาวุธหนักอยู่บนเครื่องบิน รวมถึงจ้างจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ มาคอยคุ้มกันผู้โดยสารบนเครื่องบินอีกด้วย
แต่เที่ยวบินนี้เท่าที่ผ่านมายังคงเดินทางอย่างราบรื่น โชคดีที่ไม่ถูกโจมตีจากนกยักษ์อันแสนน่ากลัวพวกนั้น
ฉู่ชวิ๋นคิดกับตัวเองว่า ถ้าเกิดนกยักษ์พวกนั้นโจมตีเครื่องบินขึ้นมา เขาจะทำยังไงดี ? มันจะมีพลังน่ากลัวมากแค่ไหนกัน ?
แต่แล้วทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มืดมิดไปในวินาทีต่อมา เครื่องบินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในห้องโดยสารเกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว ผู้โดยสารทุกคนต่างก็พร้อมใจกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
ฉู่ชวิ๋นมองออกไปนอกหน้าต่าง ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ และอุทานออกมา พูดถึงปีศาจ ปีศาจก็มาหาจริง ๆ ในขณะนี้เครื่องบินลำนี้ กำลังถูกนกยักษ์บินเข้ามาโจมตีแล้ว
นกยักษ์ตัวนั้น คือ นกอินทรีเงิน ปีกของมันมีขนาดใหญ่มากกว่าเครื่องบินทั้งลำเสียอีก ที่ท้องฟ้ามืดมิดไปถนัดตา ก็เพราะว่าแสงอาทิตย์ถูกปีกของมันบดบังไปจนหมดนั่นเอง
ฉู่ชวิ๋นจ้องมองนกอินทรีเงินด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันมีขนสีขาวสว่างไสว เหมือนกับทำมาจากเงินไม่มีผิด จะงอยปากก็เป็นเหมือนตะขอขนาดใหญ่ ดูไปแล้วน่าจะเจาะทะลุแผ่นเหล็กได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมันก็คือ กรงเล็บ ที่เป็นเหมือนเคียวมรณะ เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตาย
อินทรียักษ์ตัวนั้น บินตรงเข้ามาหาเครื่องบิน ลำตัวขนาดใหญ่ของมันสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างปราดเปรียว เวลาที่มันกระพือปีกแต่ละที ก็จะเกิดเป็นพายุลมหมุนในอากาศ ถ้าเกิดเครื่องบินหลุดเข้าไปในพายุลมหมุนเหล่านั้น รับรองได้เลยว่า คงร่วงดิ่งลงพื้นสถานเดียว!!