จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 218 กลุ่มคน[รีไรท์]
บทที่ 218 กลุ่มคน[รีไรท์]
ในเว็บบอร์ดเกิดความเงียบงัน ก่อนที่พายุใหญ่โหมกระหน่ำ
บุคคลอย่างเช่นเหมาเฉินและตวนเสี่ยวหยาและตัวแทนจากสำนักคนอื่น ๆ ต่างก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
ในปัจจุบัน พวกเขาล้วนแต่เย่อหยิ่งและมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก เมื่อมีคอมเมนต์เปรียบเทียบระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่กับฉู่ชวิ๋น ใครหลายคนก็พิมพ์ข้อความแสดงความไม่พอใจออกมาทันทีว่า
“สหาย นายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วหรือไง ? กล้าดียังไงเอาคนไร้ชื่อเสียงไปเทียบกับจอมยุทธ์เหล่านั้น ?”
“ไอ้นี่ก็อวยกันเหลือเกินนะ ฉันไม่เคยได้ยินชื่อฉู่ชวิ๋นมาก่อนเลย”
“เหมาเฉินและท่านฉินต่างก็เป็นสุดยอดจอมยุทธ์รุ่นใหม่ สามารถบรรลุพลังปรมาจารย์ระดับเก้าได้ ตั้งแต่อายุน้อย ฝีมือในภายภาคหน้ายากที่จะหาใครมาทัดเทียมได้ สหายท่านนี้ ฉันต้องขออภัยจริง ๆ ที่ต้องบอกว่าจงซ่อนตัวให้ดี อย่าได้ให้จอมยุทธ์เหล่านั้นพบเจอตัวคุณเลยนะ” ทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ฉู่ชวิ๋นไม่มีทางมาเปรียบเทียบกับจอมยุทธ์หนุ่มรุ่นใหม่ในยุทธภพได้เลย ถึงอย่างนั้น ชายผู้พิมพ์ข้อความเยินยอ ฉู่ชวิ๋น กลับไม่ได้โกรธเกรี้ยวเลยแม้แต่น้อย เขาพิมพ์ตอบกลับมาว่า “พวกนายจะไปรู้อะไร ? ตอนที่ฉู่ชวิ๋นโด่งดังในยุทธภพ พวกนายไม่รู้ด้วยซ้ำว่า
เขายิ่งใหญ่ขนาดไหน ลองกลับไปถามพ่อแม่ของตัวเองดูสิ เดี๋ยวพวกท่านจะอธิบายเองว่า ฉู่ชวิ๋นเป็นใคร”
หลังจากนั้น เจ้าของคอมเมนต์ผู้สนับสนุนฉู่ชวิ๋น ก็ออกจากระบบของเว็บบอร์ดไปทิ้งให้บรรดาเกรียนคีย์บอร์ดคนอื่น ๆ นั่งหัวร้อนไปตาม ๆ กัน
“ลองตรวจดูไอดีของมันหน่อยสิ ฉันจะตามไปฆ่ามัน”
“ฉู่ชวิ๋นเป็นตัวอะไร ฉันว่าเจ้าคนที่อวยมันคนนี้ น่าจะเป็นญาติของฉู่ชวิ๋นเองนั่นแหละ”
“ฉันว่าเจ้าของกระทู้ที่มาตั้งคำถาม กับคอมเมนต์เมื่อกี้ที่มาตอบ น่าจะเป็นคนเดียวกันนะ มันคงอยากมาปั่นหัวพวกเรา และพยายามสร้างกระแสให้ชื่อของฉู่ชวิ๋นโด่งดังขึ้นมา” เมื่อประเด็นนี้แพร่หลายไปในอินเทอร์เน็ต หลายคนก็พิมพ์โต้ตอบด้วยความเดือดดาล และดูถูกเหยียดหยามฉู่ชวิ๋นเป็นอย่างยิ่ง
ขายร่างใหญ่รู้สึกเสียใจมาก เขาแค่มาตั้งกระทู้ถามเท่านั้นว่าฉู่ชวิ๋นเป็นใคร ? แต่กลับถูกเข้าใจผิดไปเสียได้
โชคดีที่เขารีบออกจากระบบมาโดยเร็ว จึงไม่ต้องตกเป็นเป้าโจมตีของใครในโลกออนไลน์อีก
ในสนามหน้าบ้านหลังหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง กำลังนั่งรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์บนหน้าจอแท็บเล็ต พร้อมกันนั้นก็พูดไปด้วยว่า
“หนีไปเร็วเหลือเกินนะ อย่าให้ฉันได้รู้เชียวว่านายเป็นใคร ไม่งั้นฉันจะตัดหัวนายทิ้งแน่ ๆ แล้วก็เจ้าฉู่ชวิ๋น อย่าให้ฉันได้เจอหน้าแกเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะขอกระทืบหน้าแกสักทีเหอะ!” ชายวัยกลางคนที่สวมใส่เสื้อคลุมตัวใหญ่ เพิ่งจะเดินผ่านประตูบ้านเข้ามา เมื่อได้ยินคำว่า
“ฉู่ชวิ๋น” เขาก็หยุดชะงักฝีเท้าลงทันที
“แก มานี่ซิ”
หลังจากได้ยินคำนั้น ชายหนุ่มก็รีบวางแท็บเล็ตลง และลุกขึ้นเดินไปทำความเคารพแต่โดยดี “พ่อครับ เรียกผมทำไมเหรอ ?”
“เมื่อกี้แกว่า อะไรเกี่ยวกับฉู่ชวิ๋นนะ ?” ชายวัยกลางคนถาม
ชายหนุ่มตกตะลึงเล็กน้อย และเล่าถึงกระทู้ที่เป็นกระแสในอินเทอร์เน็ต พร้อมกับบ่นว่า “เสียดายนะที่ผมไม่รู้ว่าไอ้เจ้าฉู่ชวิ๋นคนนี้มันอยู่ที่ไหน ไม่งั้น ผมจะบอกให้คุณเหมาไปสั่งสอนมันสักหน่อย”
“หุบปากเดี๋ยวนี้!” หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกชายบอก ชายวัยกลางคนก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที เมื่อเห็นว่าลูกชายยังมีสีหน้าไม่สลด ก็อดไม่ได้ที่จะคำรามดุด่าอีกชุดใหญ่
“พ่อครับ นี่มันอะไรกันเนี่ย ?” ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
“รีบไปลบคอมเมนต์ที่แกเขียนด่านายท่านฉู่ชวิ๋นเดี๋ยวนี้เลยนะ! เร็วเข้าสิ!!” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา
“พ่อครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน ผมเขียนเอาไว้แบบไม่ระบุตัวตน ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมเป็นใคร ผมจะลบหรือไม่ลบ ก็ค่าเท่ากันนั่นแหละ” ชายหนุ่มตอบ
ชายวัยกลางคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดว่า “งั้นก็แล้วไป ไม่งั้นแกได้มีปัญหาใหญ่แน่” สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงสัยขึ้นมาแล้ว
ชายวัยกลางคนถอนหายใจยาวแรงอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงอดีต ขณะที่พูดต่อว่า “แกยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่านายท่านฉู่ชวิ๋นน่ากลัวขนาดไหน เขาสามารถกวาดล้างสำนักชั่วร้ายใหญ่ ๆ ได้ด้วยตัวคนเดียว มีคนต้องตกตายในมือเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเขาทั้งนั้น นายท่านฉู่ชวิ๋นได้รับฉายาว่า เป็นจอมมาร เป็นจอมอำมหิต บางคนก็ว่าเขาเป็นเทพเจ้า แต่ไม่ว่าเป็นชื่อไหน สุดท้ายเขาก็ฆ่าคนด้วยความโหดร้ายทารุณอยู่ดี…” เมื่อชายวัยกลางคนพูดจบ สีหน้าของชายหนุ่มก็ขาวซีดไปเรียบร้อยแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะตอนได้ยินประโยคที่ว่า ‘จอมมารฉู่ชวิ๋นฆ่าคนได้ในพริบตา และไม่เปิดโอกาสให้ศัตรูได้ร้องขอชีวิตด้วยซ้ำ’
หนังหัวของชายหนุ่มชายิบ เสียงของเขาแหบแห้ง ชายหนุ่มรีบเปิดแท็บเล็ตและลบคอมเมนต์ของตัวเองทั้งหมดทิ้งไปทันที ถึงจะเขียนเอาไว้ในแบบไม่ระบุตัวตน แต่ลบทิ้งไปก็รู้สึกปลอดภัยมากกว่า
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ในบ้านอีกหลายหลัง เกรียนคีย์บอร์ดอีกจำนวนมาก กำลังนั่งไล่ลบข้อความของตนเอง โดยที่ด้านหลังมีพ่อแม่ยืนกำชับอย่างเหงื่อตก พร้อมกับดุด่าลูกชายของตนเองว่า โง่เง่าและต่อว่าลูกของพวกเขาว่ากำลังพยายามจะฆ่าพ่อแม่ตัวเองให้ตาย โดยไม่รู้ตัว!
ฉู่ชวิ๋นยืนรอรถแท็กซี่อยู่ข้างถนนมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีรถแท็กซี่ผ่านมาเลย สถานการณ์ในเมืองตอนนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล และโรงงานจำนวนมากก็ต้องปิดตัวลง
นี่คือบริเวณใจกลางเมือง มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ดูเหมือนทุกคนจะเดินทางด้วยวิธีเดินเท้ากันเท่านั้น ดังนั้นชายหนุ่มก็ต้องออกเดินด้วยความไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
ในเวลาเดียวกันนี้ ใครบางคนก็มีจุดหมายปลายทางเดียวกับเขา แต่เธอมาถึงภูเขาเฉียนหลงก่อนแล้ว คนคนนั้นเป็นหญิงสาวที่มีลักษณะงดงามมาก เธอสวมใส่เสื้อคลุมสีแดง มีเส้นผมสีแดง ทรวดทรงองค์เอว โค้งเว้าเร่าร้อนใจชายฉกรรจ์ ขณะนี้ ใบหน้าที่สวยงามของเธอขาวซีด ปากของเธอเต็มไปด้วยรอยคราบเลือด
หญิงสาวกำลังป้องกล่องหยกสีขาวขนาดเล็กอย่างแน่นหนาด้วยชีวิต ในมือข้างหนึ่งของเธอมีมีดสั้นสีแดงกำไว้แนบแน่น แต่ห่างออกไปไม่ไกลทางด้านหลัง มีเงาร่างของคนหลายคนตามเธอมาติด ๆ
หญิงสาวลอยตัวมาจนถึงบริเวณตีนเขาเฉียนหลง เธอเงยหน้ามองภูเขาที่สูงเสียดฟ้า แต่กลับหาทางเข้าไม่เจอ ถนนที่เป็นทางเข้าภูเขาเฉียนหลงถูกซ่อนเร้นเอาไว้ด้วยม่านพลังของฉู่ชวิ๋น ความเปลี่ยนแปลงของพื้นดินทำให้ตัวภูเขาแทงยอดสูงเสียดฟ้า ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่นอกเหนือม่านพลัง ในตอนนี้ครึ่งบนของภูเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มก้อนเมฆ พวกเขาจะเห็นได้ก็แต่เพียงครึ่งล่างของภูเขาเท่านั้น มองไปแล้วช่างเหมือนกับภูเขาในเทพนิยายจริง ๆ
หญิงสาวกัดฟันกรอด ข้อนิ้วของมือข้างที่ถือกล่องหยกกลายเป็นสีขาว เพราะเธอบีบกล่องหยกแน่นมากเกินไป
ขวับ!
เมื่อมีลำแสงสีแดงสว่างวาบ เธอก็หันหลังกลับไปมอง และพบว่ามีกลุ่มคนตามมาทันแล้ว
“แม่นางหงหลิง คุณจะหนีไปไหน ส่งกล่องหยกมาให้เราซะดี ๆ” ชายหนุ่มชุดขาว ผู้ถือพัดหยกในมือคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน
“คุณหงหลิง ส่งกล่องหยกมาให้ฉันดีกว่านะ แล้วพวกเราสำนักดาบพิฆาตจะรับประกันความปลอดภัยให้คุณเอง” ชายหนุ่มที่พูดประโยคนี้ออกมามีรอยแผลเป็นจากดาบอยู่ทั่วตัว เขาสะพายดาบยาวเล่มใหญ่ ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายของความชั่วร้ายอำมหิต
“คนสวยจ๋า มอบกล่องหยกมาให้ปราสาทเถียนหลงดีกว่านะ ผู้ปกครองปราสาทของเราอยากจะแต่งงานกับคุณ ถ้าคุณเดินทางมาเข้าร่วมพิธีแต่งงาน คุณก็จะได้กลายเป็นนายหญิงน้อยแห่งปราสาทเถียนหลงทันที ใครที่กล้าเข้ามารังแกคุณ จะถือว่าเป็นศัตรูของปราสาทเถียนหลง” ชายชราหน้าดำคนหนึ่งพูด แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นงานมงคล แต่รัศมีที่แผ่มาจากตัวเขากลับเต็มไปด้วยความดุดัน ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตัวสั่นเทา
“โถ ปราสาทเถียนหลงไม่เจียมตัวเลยจริง ๆ คุณหงหลิงเธอสวยขนาดนี้ ต้องมาอยู่กับสำนักศาลาไร้รักของพวกเราเท่านั้น…” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น ในมือของเธอถือพิณตัวหนึ่ง เวลาที่เธอพูดจาออกมาหญิงสาวคนนี้มีกิริยาที่ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าทั้งสี่คนนี้ จะมาจากต่างที่ต่างสำนักกัน แต่พวกเขาก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือกล่องหยกที่อยู่ในมือของหงหลิง
แต่หงหลิงไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองกำลังหลบหนีมาถึงถิ่นของฉู่ชวิ๋นเข้าให้แล้ว
“พวกคุณอยากได้กล่องหยกนี้มากใช่ไหม แล้วฉันควรมอบมันให้ใครดีล่ะ ?” หงหลิงยิ้มหวาน เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ ทำให้ชายหนุ่มหลายคนต้องกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อลองมองดูให้ดี ก็จะเห็นว่าดวงตาของเธอเป็นประกายเย็นเยียบ เพื่อปกป้องกล่องหยกกล่องนี้ สมาชิกในสำนักของเธอทั้งยี่สิบสามคน รวมถึงอาจารย์ของเธอด้วย ต่างก็ต้องพร้อมใจกันสละชีวิตเพื่อให้เธอหลบหนี แต่สุดท้าย เธอก็ยังโดนศัตรูตามมาพบจนได้ และดูสถานการณ์แล้ว หงหลิงคงไม่มีทางหนีรอดได้แน่ ๆ
ชายชราจากปราสาทเถียนหลงหัวเราะในลำคอ ดวงตาเป็นประกายเย็นชา พูดว่า “คุณหนู เล่ห์เหลี่ยมของคุณต้องไปฝึกอีกเยอะ คิดจะปั่นหัวให้พวกเราตีกันเอง นึกหรือว่าพวกเราจะรู้ไม่ทันคุณ ?”
หงหลิงยิ้ม แล้วตอบว่า “ผิดแล้ว ฉันแค่ไม่รู้จริง ๆ ว่าควรจะมอบกล่องหยกให้ใครดี ? ทุกคนก็คงรู้ดีว่าฉันไม่มีทางปกป้องกล่องหยกนี้ได้อีกต่อไป มันจะต้องตกไปอยู่ในมือของพวกคุณคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว จริงไหมล่ะ ?”
ดวงตาของกลุ่มคนเป็นประกายระยิบระยับ หงหลิงพูดได้ถูกต้อง เธอไม่มีทางปกป้องกล่องหยกได้อีกแล้ว มีแต่ต้องส่งมอบกล่องหยกออกมาเพื่อแลกกับชีวิตของตัวเองเท่านั้น แต่ทุกคนก็ทราบดีเช่นกันว่า กล่องหยกนี้มีแค่เพียงใบเดียวเท่านั้น ไม่ว่าตกไปอยู่ในมือของใคร ก็จะกลายเป็นที่หมายปองของคนอื่น ๆ ในยุทธภพทันที
เกิดความเงียบขึ้นอีกอึดใจใหญ่ ไม่ว่าเป็นใครต่างก็อยากได้กล่องหยกกล่องนั้น แต่ก็ไม่มีใครอยากตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกคนอื่นเล่นงานเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาจึงมีแต่ต้องลงมือพร้อมกันแล้ว
ชายหนุ่มชุดขาวที่ถือพัดหยก พลันเดินออกมาข้างหน้าสองก้าวและพูดว่า “ทุกคนอย่าโดนหลอก ไม่ว่าใครได้กล่องหยกไป ก็จะต้องถูกแย่งชิงไปแน่ ๆ ผมกล้าพูดได้เลยว่าพวกเราในที่นี้ ไม่มีใครสามารถเก็บรักษากล่องหยกได้ด้วยตัวเพียงคนเดียว”
“หมายความว่ายังไง เกออู๋เหว่ย ?” ฉินเฉิงจื่อจากสำนักดาบพิฆาตถาม
เกออู๋เหว่ยมาจากปราสาทเจ็ดดารา ทั้งสองคนถือว่า เป็นจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งยุคและเป็นความหวังของตระกูล
“พี่ฉิน ผมหมายความว่า เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเก็บกล่องหยกไว้คนเดียว ทำไมเราไม่เอาของที่อยู่ในกล่องมาแบ่งให้เท่า ๆ กันล่ะ ? คุณก็ควรจะรู้ว่า ในกล่องมีดอกไม้อยู่เจ็ดชนิด พวกเราใช้แค่คนละชนิด แค่นี้ก็เพิ่มพลังได้มหาศาลแล้ว” เกออู๋เหว่ยพูด
“พี่เกอกล่าวได้ถูกต้อง ฉันเห็นด้วย” เซวียนเซียนจากสำนักศาลาไร้รักพูดพร้อมกับยิ้มหวาน
“เอาแบบนั้นก็ได้” ชายชราจากปราสาทเถียนหลงก็เห็นด้วยเช่นกัน
ฉินเฉิงจื่อหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่จะยิ้มอย่างแปลกประหลาด และพูดว่า “แต่ฉันมีข้อแม้หนึ่งอย่าง”
“มีอะไร พี่ฉินว่ามาได้เลย” เกออู๋เหว่ยว่า
“นอกจากดอกไม้ในกล่องแล้ว ฉันอยากได้ตัวเธอ” ฉินเฉิงจื่อชี้มือไปที่หงหลิง ดวงตาของเขาเป็นประกายชั่วร้ายอย่างยิ่ง
เกออู๋เหว่ยพูดอะไรไม่ออก ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชา เนื่องจากเขาเองก็อยากได้ตัวหงหลิงเช่นกัน แต่มีใครบางคนรีบพูดก่อนเขาเสียอีกว่า
“นายน้อยฉิน ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นของเจ้านายฉันสิ ฉันต้องพาเธอกลับไป อย่ามาขวางทางฉันเด็ดขาด” แน่นอนว่าผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมา ก็คือ ชายชราจากปราสาทเถียนหลงคนนั้นนั่นเอง
“ไอ้แก่นี่ มึงอยากตายหรือไงวะ” ฉินเฉิงจื่อคำรามด้วยน้ำเสียงดุร้าย
“ดีมาก ถ้าไม่กลัวตายก็เข้ามาสิ” ชายชราจากปราสาทเถียนหลงเดือดดาลขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เกออู๋เหว่ยและเซวียนเซียนทราบดีว่าต่างฝ่ายมาจากต่างสำนัก จึงมีความไม่ลงรอยกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้จักกู่ฉิวปิง ซึ่งเป็นผู้ปกครอบครองแห่งปราสาทเถียนหลง และตัวจริงของเขาเป็นคนแคระที่มีความสูงแค่เพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น แต่กลับมีจิตใจลามกวิปริตหยาบช้า หญิงสาวที่ตกอยู่ภายใต้กำมือของคนแคระผู้นี้ ถ้าไม่ตาย ก็ต้องเสียสติทุกคน
แต่ถึงทุกคนจะทราบเรื่องนี้ดี ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา และการที่ฉินเฉิงจื่อตั้งข้อแม้ของตัวเองเอาไว้อย่างนั้น มันก็เหมือนไม่ไว้หน้าปราสาทเถียนหลงเลยแม้แต่น้อย
“ไอ้แก่ คิดดีแล้วใช่ไหมจะมาสู้กับฉัน แต่ถ้าอยากตายนัก เดี๋ยวฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้” ฉินเฉิงจื่อชักดาบออกมาจากฝัก ชายหนุ่มสะบัดข้อมือเล็กน้อย แล้วดาบก็เป็นประกายวูบวาบ
ใบหน้าของชายชราพลันซีดขาวไปในพริบตา แถมยังมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า ความจริงเขาไม่กล้าต่อสู้กับฉินเฉิงจื่อ อยู่แล้ว เนื่องจากฉินเฉิงจื่อเป็นทายาทของเจ้าสำนักดาบพิฆาต ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของตระกูล ถ้าเกิดถูกฆ่าตายไป สำนักดาบพิฆาตคงจะต้องลุกฮือขึ้นมาแน่ ๆ แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น ก็คือ ถึงแม้ว่าฉินเฉิงจื่อจะมีอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่ก็มีฝีมือที่แข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าผู้อาวุโสอย่างเขา ถ้าเกิดลองสู้กันจริง ๆ ชายชราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ใครจะเป็นผู้ชนะ
ชายชราจึงทำได้เพียงข่มใจ ดวงตาเป็นประกายแวววาวด้วยความเยือกเย็น ก่อนที่จะพูดน้ำเสียงสุขุมว่า
“นายน้อยฉินจริงจังเกินไปแล้ว ผู้เฒ่าจะกล้าต่อสู้กับนายน้อยได้อย่างไร ?”
“เป็นหมาก็อยู่ส่วนหมาสิวะ แกต้องหัดจำเอาไว้ซะบ้าง ว่าใครกัดได้ ใครกัดไม่ได้” ดวงตาของฉินเฉิงจื่อเป็นประกายด้วยความสะใจ
สีหน้าของชายชรากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เรื่องนี้ยังไม่จบ แค่มองตาก็รู้ว่า เขากำลังหาโอกาสเหมาะ ๆ สั่งสอนชายหนุ่ม โดยไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับตัวเอง
เกออู๋เหว่ยก็รู้เหมือนกันว่า ชายชราคงไม่กล้ามีเรื่องกับฉินเฉิงจื่อ จึงพูดตัดบทว่า
“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องกันแล้ว ใครจะเป็นคนเข้าไปเอากล่องหยกมาดีล่ะ ?”
“ในเมื่อวิธีการนี้คุณเกอเป็นคนนำเสนอ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคุณเกออยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราก็เชื่อใจได้ว่าคุณเกอจะไม่โกงทุกคนแน่นอน” ชายชรารีบพูด
ถ้าเป็นในยามปกติ คนอื่นคงไม่เห็นด้วยกับชายชราสักเท่าไหร่แต่ในตอนนี้ ทุกคนกลับยกมือเห็นด้วย เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะมาหักหน้าเกออู๋เหว่ย และนอกจากนั้น จุดหมายของพวกเขาก็คือของที่อยู่ในกล่องหยก ไม่ว่าใครเป็นคนไปเอากล่องหยกมา ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ต่างกันทั้งนั้น
“ขอย้ำอีกครั้งนะว่า นอกจากดอกไม้ในกล่องแล้ว ฉันยังต้องการตัวเธอด้วย” ฉินเฉิงจื่อมองเรือนร่างของหงหลิง ด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ในเมื่อพี่ฉินถูกใจ พวกเราก็ไม่มีปัญหา” เกออู๋เหว่ยพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง แต่เมื่อเขาหันกลับมา ในดวงตาก็เต็มไปด้วยประกายอาฆาตแค้น ถ้ามีคนมาเห็นแววตาของเขา ก็คงไม่มีใครอยากมีปัญหากับเกออู๋เหว่ยเลยทั้งสิ้น
ชายหนุ่มเดินตรงเข้ามาหาหงหลิงด้วยฝีเท้าอันหนักแน่น พัดหยกในมือโบกสะบัดเล็กน้อยด้วยท่วงท่าสง่างาม