จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 244 การยอมแพ้ของเหยียนชง
บทที่ 244 การยอมแพ้ของเหยียนชง
ฉู่ชวิ๋นปล่อยให้อูหมิงกลับไปซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มเทียนหลงเป่าเพื่อคอยรายงานการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายให้เขาฟังตลอดเวลาและเขาก็ได้รู้มาจากอูหมิงว่ากลุ่มเทียนหลงเป่ามายังเมืองแห่งมังกรก็เพื่อหาของไปพัฒนากลุ่มของตน
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่ชวิ๋นสั่งให้อูหมิงค้นหาที่เก็บสมบัติของกลุ่มเทียนหลงเป่าให้เจอเร็วที่สุดเท่าทีจะเป็นไปได้
เมื่อฉู่ชวิ๋นกลับมายังหน้าทางเข้าโรงแรม การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
ไฉเยวียนถูกบดขยี้โดยจิ่วโยว ร่างของเขามีรอยกระดูกแตกหักอยู่ทั่วตัวตอนนี้เขานอนอยู่บนพื้นหายใจอย่างโรยริน
เหวินจงเองก็ถูกจัดการโดยเหลยเป้า ร่างทั้งร่างของเขากลายเป็นสีดำ นอนกระตุกอยู่บนพื้น
และคนอื่นๆ ของกลุ่มเทียนหลงเป่าก็นอนหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่กับพื้นจากการต่อสู้กับหญิงหม้ายและเหยียนชง
เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นเดินกลับมาคนเดียว ทุกๆ คนก็คิดว่าฉู่ชวิ๋นไล่ตามอูหมิงไม่ทัน
“ทำไงกับพวกนี้ดีครับ คุณท่าน?” เหลยเป้าถามอย่างเคารพ
มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดว่าจุดจบของอูหมิงคงจะคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับจั๋วจื่อชิว
ฉู่ชวิ๋นตอบอย่างโหดเหี้ยม “ทำลายจุดตันเทียนพวกมันทั้งหมดและปล่อยให้ตายๆ ไปซะ”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็เป็นศัตรูกับกลุ่มเทียนหลงเป่าแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยพวกนี้ไป การทำแบบนี้จะช่วยให้กลุ่มเทียนหลงเป่าต้องเอายาระดับเทพออกมารักษาหรือถ้าไม่รักษาก็จะเกิดการแตกแยกกันภายในกลุ่มเทียนหลงเป่าอย่างแน่นอน
เสียงกรีดร้องของคนกลุ่มเทียนหลงเป่าดังระงมและไม่นานนักทุกอย่างก็เงียบลง
หลังจากนั้นเหยียนชงก็เข้าไปในโรงแรมเพื่อถามหาห้องว่าง แต่ก็ไม่เหลือห้องแล้วจริงๆ
หยานอี้เองที่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ได้อันตรายอะไร เขาเดินมาหาฉู่ชวิ๋นแล้วพูดว่า “ฉู่ชวิ๋น ถ้านายยังไม่มีที่พักในคืนนี้ มานอนห้องของพวกเราก็ได้นะ”
ฉู่ชวิ๋นโบกมือ เขาบอกให้เหยียนชงไปถามพนักงานของโรมแรมว่าห้องข้างๆ เจ้าสำนักหยานอี้อีก 8 ห้องเป็นของใคร
เหยียนชงกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่แปลกไป เขาบอกกับฉู่ชวิ๋นไปว่า
“10 ห้องที่อยู่ติดกันเป็นของสำนักดาบพิฆาตครับ”
อยู่ๆ มุมปากของฉู่ชวิ๋นก็ยกขึ้นและพูดว่า “ไปไล่พวกเขาออกมา”
ผู้คนที่จับตาดูพวกเขาอยู่นั้นตะลึงกับวิถีชีวิตของจอมมารฉู่คนนี้มาก
พึ่งจะมีเรื่องกับกลุ่มเทียนหลงเป่าไป ตอนนี้เขายังจะมีเรื่องกับสำนักดาบพิฆาตอีกเหรอ?
เหยียนชง เหลยเป้า และหญิงหม้าย ต่างก็ออกไปไล่เคาะห้องพวกนั้นทันที แต่ก็ไม่มีใครตอบรับแถมประตูก็ยังไม่ล็อคอีกด้วย เมื่อพวกเขาเข้าไป ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมาแจ้งข่าวกับฉู่ชวิ๋น
“ห้องที่คนพวกนั้นจองไว้ไม่มีใครอยู่เลย เหมือนจะออกไปกันหมดแล้วครับ” เหยียนชงพูดพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ
“แปลกจริงๆ หรือมีแต่พวกเทียนหลงเป่าที่บ้าพอจะสู้กับพวกเรา” หญิงหม้ายพูดเชิงเหน็บแหนบแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
เหลยเป้าเองก็พยักหน้าเห็นด้วย เขายิ้มออกมาพร้อมกับหนวดที่ไหวไปตามลมจากเครื่องปรับอากาศ
“ดี ถ้าพวกมันเลือกที่จะหนีก็ดีแล้ว ไม่งั้นก็ต้องเละเหมือนกับไอ้พวกก่อนหน้านี้” เสียงนุ่มๆ ที่เหมือนกับเด็กดังขึ้น แต่สิ่งที่พูดออกมานั้นช่างดุเดือดเหลือเกิน ใช่แล้วเป็นจิ่วโยวนั้นเอง
ฉู่ชวิ๋นเองก็ยิ้มออกมาก่อนที่จะขยี้ผมสีม่วงของเด็กคนนี้ “เสี่ยวจิ่ว ทำไมต้องทำตัวดุขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
จิ่วโยวมองฉู่ชวิ๋นอย่างเอาเรื่องก่อนที่จะจัดผมตัวเองให้สวยเหมือนเดิม
“ไปกันเถอะ” ฉู่ชวิ๋นบอกกับทุกคนรวมถึงกลุ่มของหยานอี้
สำนักดาบพิฆาตนั้นทิ้งห้องเอาไว้ให้ 10 ห้อง ตอนนี้กลุ่มของฉู่ชวิ๋นมีทั้งหมด 8 คน ต่อให้อยู่คนละห้องก็ยังเหลืออีก 2 ห้อง
ตอนแรกจิ่วโยวรีบจะไปนอนห้องเดียวกับฉู่ชวิ๋น แต่ก็ถูกโยนไปอยู่อีกห้องทันที
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องพัก ฉู่ชวิ๋นก็มองไปยังแหวนมิติได้มาจากโหยวเทียนอี้ แหวนวงนี้เป็นประโยชน์กับเขามากในหลายๆ ครั้ง
แหวนวงนี้จัดได้ว่าเป็นของคุณภาพดีมากๆ ทั้งเรียบง่ายและมีความลึกลับตอนนี้ยังมีช่องว่างในแหวนอีกมากมายที่จะใส่ของเข้าไปได้ เทียบง่ายๆ ก็อีกประมาณ 200 ลูกบากศ์เมตร ตอนนี้เขาก็ใช้พื้นที่ไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ว่าแต่โหยวเทียนอี้ไปได้แหวนวงนี้มาจากไหนกันนะ? บางทีเขาอาจจะไปขโมยมาจากใครก็ได้ โชคไม่ดีเลยที่โหยวเทียนอี้ตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะไขปริศนานี้ได้หรือไม่
สิ่งที่เขาแปลกใจที่สุดคือมีวัสดุที่สำคัญที่สุดสำหรับแหวนมิติในนั้นด้วยมันก็คือศิลารัตติกาลเหมันต์ มันไม่ได้ใหญ่มากแต่ล้ำค่าหาที่เปรียบไม่ได้
เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเตรียมพร้อมที่จะทำแหวนมิติเพิ่ม
ผ่านไปกว่าครึ่งวัน ตั้งแต่บ่ายเขาใช้ไปการสร้างแหวน ตอนนี้มีแหวนที่สร้างสำเร็จไปแล้ว 5 วง คุณภาพของพวกมันไม่สูงมาก สามารถบรรจุของได้ประมาน 20 ลูกบาศก์เมตร
อย่างไรก็ตามแหวนพวกนี้สร้างจากศิลารัตติกาลเหมันต์เพียงอย่างเดียวไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมนับว่ายอดเยี่ยม
ฉู่ชวิ๋นส่งกระแสจิตเรียกให้จิ่วโยว เหยียนชง และคนอื่นๆ เข้ามาในห้องของเขา
เหยียนชงและอีกหลายคนที่กำลังฝึก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของฉู่ชวิ๋นดังขึ้นในหัว
“สัญลักษณ์ใหม่ของมังกรเพลิงเหรอครับ?” เหลยเป้าถามขณะที่สวมแหวนวงนั้นเข้าไป
“หยดเลือดลงไปบนนั้นสิ” ฉู่ชวิ๋นบอก
เหลยเป้าก็ทำตามที่ฉู่ชวิ๋นแนะนำ เมื่อได้รับเลือดแหวนก็เปร่งแสงออกมาพร้อมกับดูดกลืนเลือดเข้าไป จากนั้นเหลยเป้าก็อ้าปากกว้างก่อนที่จะพูดออกมา “นี้มันแหวนมิติอย่างงั้นเหรอ!”
เมื่อพูดจบเขาก็ลองยิบแก้วกาแฟขึ้นมาและลองเคลื่อนย้ายมันเข้าไปในแหวน ซึ่งแก้วกาแฟก็หายไปในทันที
พวกเขาเคยได้ยินเรื่องแหวนมิติมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นกับตาสักครั้ง
ฉู่ชวิ๋นหยิบแหวนอีก 2 วงขึ้นมาแล้วยื่นมันให้กับเหยียนชง กับหญิงหม้าย
สายตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาหยิบแหวนไปแล้วรีบทำพันธะสัญญากับมันทันที
จิ่วโยวไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอกระพริบตาปริบๆ แล้วมองดูแหวนของทั้งสาม
ฉู่ชวิ๋นเห็นท่าทีของเธอแล้วเขาก็ขำเบาๆ ก่อนที่จะหยิบแหวนวงเล็กพิเศษออกมา เพราะนิ้วของจิ่วโยวนั้นเล็กกว่าขนาดทั่วไป ฉู่ชวิ๋นจึงต้องทำขนาดพิเศษอีก 1 วง
เขาเฝ้ามองจิ่วโยวสวมแหวนแล้วทำพันธะสัญญาเลือดกับแหวนอย่างสบายใจ
โดยทั่วไป แหวนมิติจะไม่มีผู้เป็นนายของตัวเอง แต่ฉู่ชวิ๋นได้สร้างวงเวทย์ไว้ที่แหวน ทำให้นอกจากเจ้าของแหวนแล้วก็ไม่มีใครสามารถเปิดมันออกมาได้อีก
ก่อนที่ความสนอกสนใจของทุกคนจะหมดลง ฉู่ชวิ๋นก็สบัดมือเรียกอาวุธมากมายออกมา ทั้ง กระบองเหล็ก หอกเงิน มีดพก และเกราะม่วงทองคำ ซึ่งในตอนแรกสิ่งของพวกนี้ล้วนเสียหาย แต่ตอนนี้ฉู่ชวิ๋นทำการซ่อมแซมพวกมันจนนำกลับมาใช้ใหม่ได้หมดแล้ว
อาวุธวิเศษมากมายวางอยู่บนพื้นห้อง ทำให้ทุกคนหายใจเข้าลึกๆ อีกหนึ่งครั้ง
ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปยังอาวุธต่างชิ้นกัน เหยียนชงถึงกับกลืนน้ำลาย ความลับของฉู่ชวิ๋นนั้นมีมากมายจนพวกเขาใจเย็นไม่กระโตกกระตากไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เลือกของที่เหมาะกับตัวเองได้เลย” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยปาก
“สำหรับพวกเราเหรอ?” เหลยเป้าถาม
ดวงตาของเหยียนชงและหญิงหม้ายตอนนี้ลุกไปด้วยไฟที่เล่าร้อน ขุมทรัพย์ลึกลับกำลังกองอยู่ตรงหน้าพวกเขา….แต่ฉู่ชวิ๋นเอามาให้พวกเขาเลือกอย่างเป็นกันเองแบบนี้ แปลว่าเขายังมีของแบบนี้อีกหลายชิ้นสินะ?
จิ่วโยวหยิบปืนที่ทำจากเงินขึ้นมาดูก่อน
คนอีกสามคนก็ทนไม่ไหวแล้วเข้าไปเลือกสิ่งที่ตนต้องการ เหยียนชงเลือกดาบยักษ์ เหลยเป้าหยิบกระบองเหล็กขึ้นมา และหญิงหม้ายเลือกเกราะม่วงทองคำ
เหยียนชงวางอาวุธนั้นลงแล้วหยดเลือดของตัวเองลงไป ด้วยความอยากรู้อยากลอง โชคไม่ดีเลยที่ไม่เกิดอะไรขึ้น
“มันไม่ต้องใช้เลือดหรือพันธะสัญญาหรอกนะ” ฉู่ชวิ๋นเห็นการกระทำนั้นก็หัวเราะขึ้นมา แต่เขาลืมไปเลยว่าอ๋าวฮาวก็เคยแกล้งเขาแบบนี้เหมือนกัน มันต้องเป็นอาวุธที่เฉพาะทางหรือไม่ก็ของวิเศษโบราณเท่านั้นที่ต้องผ่านวิธีการยุ่งยากแบบนี้
ทุกคนต่างก็ดีใจที่พลังการต่อสู้ของตนเองเพิ่มสักที
“ท่านเจ้าวังร่ำรวยเกินไปแล้ว” เหลยเป้ามีความสุขมาก
“ขอบคุณค่ะ ท่านเจ้าวัง…”
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังจิ่วโยวแล้วอดที่จะขำไม่ได้ จิ่วโยวพยายามที่จะสะพายปืนกระบอกนั้นไว้ที่หลัง แต่เธอตัวเตี้ยเกินไป พานท้ายของปืนจึงลากกับพื้น เธอพยายามอยู่หลายครั้งก่อนที่จะโยนปืนกระบอกนั้นเข้าไปยังแหวนมิติด้วยความโมโห
หลังจากได้มีช่วงเวลาให้พัก เหลยเป้าก็ใจเย็นลงมากแล้ว
“จากกลุ่มธรรมดาๆ กลายเป็นกลุ่มที่มั่งคั่ง เหมือนฐานะของฉันจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเลยนะเนี่ย รู้สึกดีจริงๆ ที่เลือกหนทางแบบนี้”
เหยียนชงก็หรี่ตาด้วยความเหม่อลอย “เหลยเป้า หยิกฉันหน่อยสิ บอกหน่อยว่าฉันไม่ได้ฝันไป?”
เหลยเป้าพยักหน้าแล้วยกกระบองเหล็กขึ้น
เหยียนชงมองด้วยสายตาสงสัย “นายจะทำอะไรหนะ?”
“ก็จะพิสูจน์ให้นายเห็นไง โดยการลองใช้พลังของฉันรวมกับพลังของกระบองยักษ์นี้!”
“อะไรวะ ไปไกลๆ ฉันเลยนะ!” เหยียนชงพูดด้วยความโมโห ถ้าเขาโดนไอ้ท่อนเหล็กนี้ฟาดคงได้หลับยาวจริงๆ แน่
“เอาล่ะ อย่าเอะอะเลย เจ้าสำนักหยานมาถึงแล้ว”
เหยียนชงเก็บอาวุธลงทันที
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เหยียนชงไปเปิดประตู
“ท่านเจ้าสำนักหยาน”
หยานอี้เข้ามาพร้อมกับนำของขวัญมาให้ ต้องไม่ลืมว่าเหยียนชงนั้นเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นลูกน้องของฉู่ชวิ๋น
หยานอี้ต้องเรียกเหยียนชงว่าผู้อาวุโส!
หยานอี้เห็นคนอื่นๆ นั่งอยู่ จึงพูดขึ้นมาว่า “กำลังคุยงานกันอยู่เหรอ? งั้นฉันค่อยมาอีกทีนะ”
“ไม่เป็นไร คุยกันเสร็จพอดีเลย” ฉู่ชวิ๋นยืนต้อนรับ “ว่าแต่เจ้าสำนักหยานมีเรื่องอะไรจะถามเหรอ?”
“ก็มีอยู่นะ…” หยานอี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจ้าสำนักหยานอี้ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ถามมาได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจ”
ฉู่ชวิ๋นพูด หยานอี้กับเขามีหนี้ติดค้างกัน แล้วตอนนี้ก็เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว
“ฉันอยากให้สำนักภูผาทมิฬอยู่ภายใต้การนำของคฤหาสน์ตระกูลฉู่หนะ” หยานอี้พูดขึ้น
ไม่ใช่แค่เหยียนชงและคนอื่นๆ เท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่ฉู่ชวิ๋นเองก็ตกใจเช่นกัน
“ทำไมหละ เจอปัญหาอะไรหรือเปล่า? ถ้าต้องการความช่วยเหลือก็บอกมาได้เลยนะ ถ้าช่วยได้ฉันจะช่วยทันทีเลย” ฉู่ชวิ๋นแปลกใจกับคำขอนี้ สำนักภูผาทมิฬเป็นเหมือนกับขุมพลังอันเก่าแก่ มีอายุมาหลายร้อยปี ยังมีความลับซ่อนอยู่อีกมาก สำนักที่อยู่มานานขนาดนี้ไม่มีทางธรรมดาแน่นอน
หยานอี้พูดต่อว่า “ฉันจะพูดตรงๆ เลยนะ สำนักภูผาทมิฬเจอกับปัญหาหนักอยู่” เขานิ่งไปพร้อมกับค่อยๆ เรียบเรียงคำพูด
เดินที่แล้วสำนักภูผาทมิฬตั้งอยู่ที่ภูเขาหวูจิน หลังจากที่โลกเกิดความวิปโยคขึ้น ภูเขาหวูจินเองก็ได้รีบผลกระทบด้วย มีลมปราณมากมายไหลเวียนอยู่บนภูเขาลูกนั้น ดังนั้นมันจึงถูกจับตามองโดยกองกำลังมากมาย
โดยมีกลุ่มที่ชื่อว่า ประตูวิญญาณสลาย เป็นแกนนำ พวกมันโหดเหี้ยมที่สุด พวกมันสั่งให้สำนักภูผาทมิฬถอนตัวจากภูเขาหวูจิน ภายใน 1 เดือน มิฉะนั้นพวกมันจะทำลายล้างสำนักภูผาทมิฬ
“ประตูวิญญาณสลาย?”
เสียงของเหยียนชงเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
“นายรู้จักเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
เหยียนชงพูดขึ้นมา “ประตูวิญญาณสลาย เป็นกลุ่มพลังลึกลับที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สมาชิกต่างก็สวมเสื้อผ้าสีดำ ปิดหน้าปิดตา แต่พลังพวกมันไม่ได้กระจอกเลย พวกมันมีอาวุธที่ชื่อว่า ตะปูวิญญาณสลาย
ฉันได้ยินมาว่ามีกองทัพจำนวนมากถูกกวาดล้างด้วยฝีมือของพวกมัน พวกมันโหดเหี้ยมมาก”
“เพราะวิธีการของประตูวิญญาณสลายโหดเหี้ยมเกินไป พวกลูกศิษย์ของมันมักจะทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าหรือแค่เดินทางผ่านก็ทำลายอย่างไร้เหตุผล ความกระหายในพลังทำให้พวกมันหน้ามืดตามัว พวกมันไล่ล่าตามหาพลังใหม่ๆ เสมอ เมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว พวกมันมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิกว่า 10 คน และต่ำกว่านั้นอีกเพียบ มีคนไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่หนีรอดจากการถูกพวกมันกวาดล้าง” เหลยเป้าอธิบายเพิ่มเติมให้
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิ 10 คน? เหมือนว่ากลุ่มประตูวิญญาณสลายจะเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ที่น่ากลัวมากจริงๆ
“ถึงแม้สำนักภูผาทมิฬจะหนีลงมาได้ แต่มันก็ยากที่จะปกป้องตัวเอง สำนักภูผาทมิฬสืบทอดมานานกว่า 100 ปี ยังมีความลับและสมบัติส่วนตัวที่เก็บไว้ กองกำลังอื่นๆ ก็กำลังจับตามองพวกเราเอาไว้ ถ้าหากว่า สำนักภูผาทมิฬได้อยู่ภายใต้คฤหาสน์ตระกูลฉู่ อย่างน้อยก็สามารถรักษาชีวิตของพวกเราเอาไว้ได้” สีหน้าของหยานอี้ดูหนักใจมาก
ฉู่ชวิ๋นเข้าใจถึงปัญหาของหยานอี้แล้ว ปัญหานี้ต้องใช้กำลังในการแก้ไขอะไรหลายๆ อย่างบีบคั้นให้หยานอี้ต้องขอความช่วยเหลือจากเขา อย่างเช่นถ้าวันนี้พวกหยานอี้ปะทะกับกลุ่มเทียนหลงเป่า พวกเขาอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง เพราะพวกเขายังแข็งแกร่งไม่พอ
“แล้วคนอื่นๆ ที่อยู่กับสำนักภูผาทมิฬล่ะ พวกเขาเห็นด้วยเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การตัดสินใจของฉันและผู้อาวุโสคนอื่นๆ เมื่อสำนักภูผาทมิฬไปยังคฤหาสน์ตระกูลฉู่ พวกเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างถูกต้องตามวิธีการ” หยานอี้พูดอย่างจริงจัง
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วอย่างจริงจังไม่แพ้กัน “สำนักภูผาทมิฬเองก็มีพระคุณที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันเหมือนกัน วันนี้ฉันยอมรับการสำนักภูผาทมิฬเอาไว้และจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องสำนักภูผาทมิฬ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีคนเลือกที่จะหันหลังให้กับตระกูฉู่ เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆหรอกนะ”
ฉู่ชวิ๋นอยากที่จะตอบแทนหยานอี้ด้วยตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่านั้นทำให้หยานอี้โกรธ
“ฉู่ชวิ๋น ฉันเองก็ไม่ใช่วายร้ายอะไร สำนักภูผาทมิฬเมื่อเป็นของตระกูลฉู่ มันก็ไม่มีทางทิ้งตระกูลฉู่ ถ้านี้ทำให้นายไม่พอใจก็ยกโทษให้ฉันด้วย คิดซะว่าฉันไม่เคยมาที่นี้แล้วกัน”
ฉู่ชวิ๋นยิ้มแห้งๆ มีบางอย่างที่หยานอี้ยังไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้มันพูดยาก นิสัยเฉพาะตัวของหยานอี้เป็นอะไรที่เขามองข้ามไม่ได้เลยจริงๆ
“ท่านหยานอี้ อย่างพึ่งโมโหไป ฉันสัญญาว่าสำนักภูผาทมิฬจะเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉู่และพวกเราเป็นพวกเดียวกัน ฉันจะดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมที่สุด”
คำพูดของฉู่ชวิ๋นทำให้อารมณ์โกรธของหยานอี้หายไปเป็นปริดทิ้ง เขายิ้มและคุกเข่าข้างนึงให้ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นรีบไปยกเขาขึ้นมาจากพื้น เขาพอใจกับนิสัยของหยานอี้อย่างมาก โดยเฉพาะนิสัยมุ่งมั่นและจริงใจของเขา
หลังจากที่พูดคุยกับใครหลายๆ คนแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็บอกกับหยานอี้ว่า สำนักภูผาทมิฬไม่ต้องอพยพออกจากภูเขาหวูจิน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั้น เขาจะเดินทางไปบนภูเขาด้วยตัวเองและจะไปเจอกับพวกประตูวิญญาณสลายเพื่อจัดการปัญหาทุกอย่างให้