จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 273 ปราสาทจตุรเทพ
บทที่ 273 ปราสาทจตุรเทพ
ลำแสงสีทองสว่างไสว ราวกับเป็นไฟนำทางเข้าสู่ตัวภูเขา
แมงมุมยักษ์ 8 ขามีร่างกายสีทองคำ ตัวของมันใหญ่โตเท่ากับเป็นภูเขาลูกหนึ่ง
แรงกดดันแผ่ขยายออกมาในอากาศอย่างหนักหน่วง บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับร่างกายสั่นเทา
แมงมุมยักษ์ตัวนั้นเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วในไม่ช้า มันก็วิ่งหายไปในส่วนลึกของเทือกเขา
ต้องใช้เวลาอีกสักครู่ใหญ่ กว่าที่ฉู่ชวิ๋นจะกลับมาตั้งสติได้ เขาตกใจจริงๆ
แมงมุมยักษ์ตัวนี้มีความน่ากลัวอย่างที่สุด มันคงนอนจำศีลอยู่ใต้พื้นดิน การเปลี่ยนแปลงของโลกคงทำให้มันกลายพันธุ์ และมันคงปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับความสับสน สิ่งที่ปลุกแมงมุมยักษ์ตัวนี้ให้ตื่นขึ้นก็คงเป็นแผ่นดินไหวจากการต่อสู้ระหว่างฉู่ชวิ๋นกับพวกประตูวิญญาณสลายและทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย
สิ่งที่ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจเลยก็คือ แมงมุมยักษ์ตัวนี้สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ทำไมมันถึงปล่อยเขาไปล่ะ?
หรืออาจจะเป็นเพราะโครงกระดูกมังกร? มังกรถือได้ว่าเป็นเทพเจ้าของสัตว์ทั้งมวล แม้จะเป็นมังกรที่ตายไปแล้ว แต่แมงมุมยักษ์ก็คงรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของมันอยู่
แมงมุมยักษ์วิ่งหนีไปแล้ว ภูเขาทองคำก็หายลับไปหลงเหลืออยู่แต่เพียงภูเขาธรรมดาซึ่งตกอยู่ในสภาพเละเทะเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นาน บรรดาจอมยุทธ์ก็หลุดออกมาจากภวังค์ ริมฝีปากของพวกเขากลายเป็นสีขาวซีด ฟันของทุกคนสั่นกระทบกันดังกึกๆ
“ขอบคุณนายท่านฉู่ชวิ๋นมากครับ บุญคุณครั้งนี้พวกเราจะไม่มีวันลืม”
“พวกประตูวิญญาณสลายชั่วร้าย พวกเราจะตามทำลายล้างมันให้สิ้นซาก”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นครับ ท่านจะไปถล่มประตูวิญญาณสลายเมื่อไหร่ ผมพร้อมไปกับท่านเสมอ”
เสียงก่นด่าประตูวิญญาณสลายดังออกมาจากปากของจอมยุทธ์อื้ออึง
ฉู่ชวิ๋นโบกมือหนึ่งครั้ง แล้วก็ดีดตัวจากมา
เขาไม่คิดว่าคนเหล่านั้นจะกล้าหาญมากพอ ไปเสนอหน้าไปอยู่สู้กับพวกประตูประตูวิญญาณสลายอยู่แล้ว จอมยุทธ์พวกนี้ก็แค่พูดเพื่อเอาใจเขาเท่านั้นเอง แต่อย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่สมควรตาย เขารู้สึกดีนิดหน่อยที่ช่วยคนพวกนี้เอาไว้ได้
ฉู่ชวิ๋นเดินทางกลับไปที่ค่ายทหาร
เหยียนชงและคนอื่นๆ รอต้อนรับเขาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่จักรพรรดิยาก็อยู่ที่นี่ด้วย แต่สภาพของเขาดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเพิ่งจะรักษาบาดแผลของเหยียนชงเสร็จนั่นเอง
ในเวลาเดียวกันนี้ เว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์ก็กำลังร้อนระอุ เนื่องจากมีคนมาโพสต์คลิปวีดีโอการต่อสู้ในหุบเขาให้ทุกคนได้รับชม
เหยียนชงและพรรคพวกจึงได้เห็นว่าฉู่ชวิ๋นสามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างไร
ฉู่ชวิ๋นสำรวจดูภายในเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์ ไม่พบว่ามีภาพถ่ายของแมงมุมยักษ์เลยสักภาพ แต่ก็เข้าใจได้ว่าในตอนนั้นทุกคนคงกำลังตกตะลึง จนไม่มีใครคิดจะเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพได้แน่ๆ
ความคิดเห็นของชาวเว็บบอร์ดเป็นไปในทางเดียว เกือบทุกคนเอาแต่ก่นด่าประตูวิญญาณสลาย สำนักดาบพิฆาต และปราสาทเถียนหลง
แต่ที่น่าตลกก็คือทุกคนเขียนคอมเมนต์ในแบบนิรนาม ไม่มีใครกล้าใช้ชื่อจริงนามสกุลจริงทิ้งข้อความเอาไว้เลย
จิ่วโยวเดินเข้ามาทำจมูกฟุดฟิดรอบตัวฉู่ชวิ๋น ก่อนที่ใบหน้าของเด็กน้อยจะยับย่น แล้วเธอก็พูดว่า “นายมีกลิ่นตัว อย่างกับพวกสัตว์ป่าแนะ”
ฉู่ชวิ๋นตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง “ใช่ ฉันไปเจอสัตว์ป่ามา ไม่ธรรมดาด้วยนะ เพราะมันคือสัตว์ป่าที่น่ากลัวที่สุดเลยละ”
แล้วฉู่ชวิ๋นก็เล่าเรื่องแมงมุมยักษ์ให้ทุกคนฟัง
พวกของเหยียนชงถึงกับตกตะลึง แมงมุมยักษ์ที่มีขนาดตัวเท่ากับภูเขาลูกหนึ่ง มันมีอยู่แค่ในเทพนิยายไม่ใช่หรือไง
ร่างกายของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกลำแสงทองคำยิงเข้าใส่ พวกเขาจะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
“เกิดข่าวลือว่าทางตะวันตกมีคนเจอมังกรดำ ที่ตัวยาวมากกว่าสิบเมตรสามารถพ่นไฟได้ มันฆ่าคนในเมืองตายไปหลายพันคน ผมไม่รู้ว่าจะเอามาเทียบกับแมงมุมยักษ์ตัวนี้ได้ไหม” เหยียนชงว่า
“มังกรดำตัวนั้น ฉันเห็นรูปถ่ายแล้ว มันก็แค่กิ้งก่ายักษ์มีปีกเท่านั้นแหละ” เหลยเป้าพูด
ฉู่ชวิ๋นเงียบไปอยู่นาน ก่อนที่จะส่งเสียงว่า “ไม่ว่าจะยังไง นี่ก็คือข้อพิสูจน์ว่าหลังเกิดความเปลี่ยนแปลงของโลก ทุกอย่างก็แปลกประหลาดพิสดารไปหมด ในอนาคตจะต้องมีสิ่งที่เหลือเชื่อมากกว่านี้ปรากฏตัวแน่นอน สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเราก็คือ พวกเราต้องพัฒนาฝีมือตัวเองให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ให้ได้”
เหยียนชงพยักหน้า ไม่ว่าเป็นยุคไหนสมัยไหน ความแข็งแกร่งก็คือรากฐานสำหรับทุกอย่าง
ฉู่ชวิ๋นนึกได้ว่าเอาแหวนมิติของเป๋าผิงติดตัวมาด้วย จึงหยิบเอามาสำรวจของที่อยู่ด้านใน แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ
แหวนมิตินี้เป็นเหมือนกรุสมบัติจริงๆ ด้านในแหวนมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นดาบยาวสีแดง และอีกชิ้นเป็นค้อนสีเงิน
นอกจากนี้ ยังมีสมุนไพรวิญญาณ ดอกไม้และผลไม้ประหลาดอีกหลายชนิด
สมุนไพรเหล่านั้นมีค่าเป็นอย่างยิ่ง ถ้านำมาปรุงยา ก็จะสามารถสลายจุดตันในร่างกาย เพิ่มพูนพลังให้มากขึ้นได้อีกระดับ
เมื่อได้ยินฉู่ชวิ๋นอธิบายว่าสมุนไพรเหล่านั้นจะช่วยให้บรรลุพลังได้อีกระดับ ทุกคนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ก่อนอื่นเราต้องหากระถางปรุงยาอมตะให้ได้ก่อน ไม่งั้นต่อให้เรามีสมุนไพรมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางปรุงยาออกมาได้อยู่ดี” ฉู่ชวิ๋นว่า
“นายท่านครับ กระถางปรุงยาอะไรนั่น หน้าตาเป็นยังไงเหรอครับ?” เหลยเป้ายกมือเกาหัวแกรกๆ
ฉู่ชวิ๋นไม่รู้จะอธิบายยังไง หน้าตาของกระถางปรุงยาอมตะมีความแปลกประหลาดและไม่เหมือนใคร
“กระถางปรุงยาอมตะ…” จักรพรรดิยาพึมพำ
“อย่าบอกนะว่านายเคยเห็น?” ฉู่ชวิ๋นถามอย่างสนใจ
จักรพรรดิยาส่ายหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ไถหน้าจอเล็กน้อย แล้วก็ส่งมาให้ฉู่ชวิ๋น พร้อมกับพูดว่า
“นี่ใช่ไหมครับ กระถางปรุงยาอมตะ?”
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิยาจะชำนาญเรื่องการรักษาอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ได้มีความสามารถในการปรุงยาแต่อย่างใด
ฉู่ชวิ๋นรับโทรศัพท์มือถือมาดูหน้าจอ ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใส
ใช่แล้ว นี่คือรูปภาพของกระถางปรุงยาอมตะ บนตัวกระถางแกะสลักเป็นลวดลายมังกรฟ้า พยัคฆ์ขาว หงส์แดงและเต่าคะนอง สัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิดนั้นถูกแกะสลักได้เหมือนกับมีชีวิตอยู่จริงๆ
“กระถางนี้อยู่ที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“อยู่ในปราสาทจตุรเทพน่ะ” จักรพรรดิยาตอบ
“ปราสาทจตุรเทพ” เหยียนชงอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าด้วยความมึนงง
“นายท่านครับ ตลอด 10 ปีหลังสุด ผู้ที่มีอำนาจที่สุดในย่านตะวันตกเฉียงเหนือของแม่น้ำเหลือง ก็คือปราสาทจตุรเทพนี่แหละ ตอนแรกที่นั่นเต็มไปด้วยโจรป่าและสัตว์ป่าดุร้ายเต็มไปหมด แม้แต่ทางภาครัฐก็ทำอะไรไม่ได้ แต่คนของปราสาทจตุรเทพแค่เพียงคนเดียวกลับสามารถกวาดล้างกลุ่มโจรป่าได้หมดเกลี้ยงในคืนเดียว แถมยังขับไล่สัตว์ป่าที่ดุร้ายเหล่านั้นให้เข้าไปอยู่ในป่าลึก ทำให้ชาวเมืองได้อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยอีกครั้ง ชาวเมืองก็เคยค่อนข้างเคารพปราสาทจตุรเทพมากครับ”
แม่หม้ายสาวพูดว่า “ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกันค่ะ ว่ามีคนที่ปราสาทจตุรเทพส่งออกมา ว่ากันว่าเขามีอาวุธเป็นดาบยาวเล่มหนึ่ง เวลาสังหารศัตรูจะชอบตัดหัวเป็นที่สุด ในยุทธภพจึงตั้งฉายาให้เขาว่า สุภาพบุรุษโลหิต”
สุภาพบุรุษโลหิต?
ช่างเป็นการเอาคำว่าโลหิตและสุภาพบุรุษมารวมกันได้อย่างน่าสนใจจริงๆ
“ผู้ชายคนนี้ฟังดูเหมือนนายเลยนะ” จิ่วโยวพูดขึ้น
“เหมือนตรงไหน” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ลืมความโหดของตัวเองไปหมดแล้วหรือไง?” จิ่วโยวส่ายหัวราวกับเจอคนแกล้งโง่
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ฉายาจอมมารนั้นได้มาจากตอนนี้เขาฆ่าล้างพวกสำนักปีศาจเมื่อสิบกว่าปีก่อน
“นายท่านคะ ปราสาทจตุรเทพมีความน่ากลัวไม่น้อย พวกเขาคงไม่ยอมส่งมอบกระถางให้เราแต่โดยดีแน่นอน” แม่หม้ายสาวว่า
“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เมื่อปีก่อน ผมช่วยชีวิตลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพเอาไว้โดยบังเอิญ ก็เลยได้รับเชิญให้เข้าไปกินเลี้ยงที่ตัวปราสาท
ดูเหมือนว่ากระถางปรุงยาอมตะใบนี้จะเป็นของสำคัญสำหรับพวกเขา มันตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ มีการจุดธูปกราบไหว้ทั้งวันทั้งคืน และมีการวางกำลังเวรยามคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลาอีกด้วยครับ” จักรพรรดิยาอธิบาย
ในตอนนั้น จักรพรรดิยาได้กลิ่นยาลอยออกมาจากกระถาง เขาก็เลยแอบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายครุ่นคิด
กระถางปรุงยาอมตะเป็นของหายาก ไม่แปลกที่จะมีการวางกำลังเวรยามอารักขาตลอดเวลา เนื่องจากถ้าใช้กระถางปรุงยาที่ไม่มีคุณภาพ ตัวกระถางก็จะระเบิดระหว่างการปรุงยาได้
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ฉู่ชวิ๋นก็พูดออกมาว่า “พวกนายกลับไปที่เมืองหลวงกันก่อนนะ”
“นายท่าน จะไปที่ปราสาทจตุรเทพคนเดียวเหรอครับ?” เหยียนชงถาม
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องกระถางปรุงยามาตะเลย แต่หลังจากได้เผชิญหน้ากับแมงมุมยักษ์แล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยยิ่งนัก ชายหนุ่มจึงคิดว่าตนเองควรจะรีบเพิ่มพูนพลังให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยเร็วที่สุด
จิ่วโยวจับแขนเสื้อของฉู่ชวิ๋น ไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ เธออยากจะไปกับเขาด้วย
เหยียนชงและพรรคพวกก็หันมามองหน้าฉู่ชวิ๋น หมายความว่าอยากไปด้วยเช่นกัน
“นายท่านครับ ให้ผมไปด้วยเถอะนะ ผมเคยช่วยคนของปราสาทจตุรเทพเอาไว้ น่าจะพอช่วยพูดอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย” จักรพรรดิยากล่าว
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า จักรพรรดิยาอาจจะมีประโยชน์จริงๆ ก็ได้
“นายท่านคะ ให้ฉันตามไปด้วยคนนะคะ บางอย่างให้ผู้หญิงออกหน้าก็สะดวกมากกว่าผู้ชาย” แม่หม้ายสาวอาสา
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าอีกครั้ง แม่หม้ายสาวพูดมีเหตุผล เรื่องบางเรื่องผู้หญิงสามารถรับผิดชอบได้ดีกว่าผู้ชายอยู่แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการเจรจา
เหลยเป้ามีสีหน้าเป็นกังวล “นายท่านครับ ให้ผมไปคุ้มครองนายท่านด้วยดีไหม”
ทุกคนได้แต่ตกตะลึงและระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากใหญ่
ฉู่ชวิ๋นก็อดยิ้มออกมาไม่ได้แล้ว
“นายเนี่ยนะจะคุ้มครองนายท่าน? นายท่านต้องมาคุ้มครองนายสิไม่ว่า” แม่หม้ายสาวหยอกเย้า
ฉู่ชวิ๋นพูดว่า “เอาเป็นว่า เหยียนชงกับเหลยเป้าเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง กลับไปดูแลปราสาทหยานหลงให้ดีก็แล้วกัน”
“รับทราบครับนายท่าน!”
เหยียนชงและเหลยเป้าหันมองหน้ากัน และตอบรับคำสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
…
วันต่อมา ฉู่ชวิ๋นก็เดินทางออกจากค่ายทหาร
เหยียนชงและเหลยเป้าเดินทางกลับไปที่เมืองหลวง
ฉู่ชวิ๋นนำจิ่วโยวและอีกหลายคนเดินทางไปที่ปราสาทจตุรเทพด้วยเช่นกัน
เมื่อเครื่องบินลงจอด ฉู่ชวิ๋นก็เดินออกมาจากสนามบินหลันโจว
“การรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ดีกว่าเมืองอื่นเยอะเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยความชื่นชม
เมืองหลันโจวสร้างอยู่บนตัวภูเขา เดิมทีพื้นที่ทั้งหมดนี้เคยเป็นภูเขามาก่อน แต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เปลือกโลกขยับตัว ภูเขาก็แทงตัวสูงเสียดฟ้า ต้นไม้โบราณขึ้นหนาทึบ ไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะพบเจอแต่ภูเขาและป่าทึบสุดลูกหูลูกตา
ในเมืองหลันโจว ทุกคนอาศัยอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีนกยักษ์คอยทำร้ายจากทางอากาศ ไม่มีสัตว์ป่ากระหายเลือดคอยทำอันตรายบนพื้นดิน
“พวกเราเข้าสู่เขตของปราสาทจตุรเทพแล้วครับ พวกเขามีกฎ 3 ข้อสำหรับจอมยุทธ์ที่เข้ามาในเมืองนี้ด้วย” จักรพรรดิยาพูด
“กฎ 3 ข้อมีอะไรบ้าง?” แม่หม้ายสาวถาม
“ข้อแรก ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในเขตเมือง ใครที่ฝ่าฝืนกฎจะต้องตาย ข้อสอง ห้ามทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ใครฝ่าฝืนกฎจะต้องตาย ข้อสาม ห้ามนำนกยักษ์หรือสัตว์ร้ายเข้ามาในเขตเมือง ไม่ว่าจะฝึกจนเชื่องขนาดไหนก็ตาม ความปลอดภัยของชาวเมืองคือสิ่งสำคัญสูงสุด ใครฝ่าฝืนกฎจะต้องตาย”
“เป็นคำสั่งที่บ้าอำนาจจังเลยนะ” แม่หม้ายสาวพูด
“สงสัยคงเรียนรู้มาจากฉู่ชวิ๋น ว่ามันได้ผล” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักๆ
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ความปลอดภัยของชาวเมืองคือสิ่งสำคัญสูงสุดจริงๆ แต่มันก็สร้างความลำบากให้แก่บรรดาจอมยุทธ์เช่นกัน อย่างเช่นตัวเขาเองเมื่อไม่กี่เดือนก่อนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเดินตลาดในเมืองกูเจียงด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าปราสาทจตุรเทพจะเรียนรู้จากเขามาหลายอย่าง แต่ก็คงมีอีกหลายอย่างที่มองข้ามไปเช่นกัน
“ได้ยินแบบนี้ ฉันยิ่งอยากเข้าไปที่ปราสาทจตุรเทพซะแล้วสิ” ฉู่ชวิ๋นพูด กับทุกคน
จักรพรรดิยาส่ายหน้า แล้วพูดว่า “นายท่านโปรดคิดดูให้ดีนะครับ ปราสาทจตุรเทพไม่ใช่สำนักทั่วไป เราจะเข้าไปที่นั่น อย่าลืมคิดถึงชาวเมืองของที่นี่ด้วย”
ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าอีกฝ่ายหนึ่งด้วยความประหลาดใจ “นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?”
“ก็นายท่านจะไปถล่มปราสาทจตุรเทพไม่ใช่หรือครับ?” จักรพรรดิยาลดเสียงลงแผ่วเบา
ฉู่ชวิ๋นตอบว่า “ฉันพูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
จักรพรรดิยายิ้มออกมาแล้ว “อ้าวนี้ผู้น้อยเข้าใจผิดไปเองเหรอครับ”
ฉู่ชวิ๋นถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ก็ใครใช้ให้นายท่านมีภาพลักษณ์เลวร้ายล่ะครับ? ที่ผ่านมาไม่ว่านายท่านไปเหยียบสำนักใด ก็ได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดตามมาทุกที จนไม่มีสำนักไหนอยากจะให้นายท่านไปหาอีกแล้ว” จักรพรรดิยาพึมพำเสียงแผ่วเบา
แต่หูของฉู่ชวิ๋นได้ยินทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องทำใจจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาพลักษณ์ของเขา ถึงได้กลายเป็นคนโหดร้ายขนาดนั้นไปได้นะ?
ถ้าจักรพรรดิยารู้ถึงความสงสัยของฉู่ชวิ๋น ก็คงให้คำตอบออกมาว่า
“ก็เพราะฉายาจอมมารฉู่ไงครับ ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องตื่นกลัวจนบ้าคลั่ง แม้แต่คนที่กล้าหาญที่สุด เมื่อได้ยินชื่อนี้เข้าไป ก็แทบหัวใจวายตายแล้ว”
ในขณะนั้น ชายหนุ่มเห็นว่าเบื้องหน้ามีคนยืนรวมตัวกันอยู่เต็มไปหมด จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดยืนดู
ฉู่ชวิ๋นมองเห็นยอดธงของเสาต้นหนึ่งปลิวไสวไปตามแรงลม บนตัวธงมีตัวอักษรเขียนเอาไว้โดดเด่นสะดุดตาว่า
ลานประลอง
ฉู่ชวิ๋นคิดเล่น ๆ ว่าคงมีการจัดการแข่งขันระหว่างจอมยุทธ์ที่เดินทางมาจากเมืองต่างๆ ขึ้นก็เป็นได้ แต่ในสังคมสมัยนี้ ยังมีการจัดการประลองเพื่ออะไรกันอีก?
“พวกเขาทำอะไรกันอยู่น่ะ?” แม่หม้ายสาวถามด้วยความสงสัย
จักรพรรดิยาตอบว่า “ที่นี่คือลานประลองของปราสาทจตุรเทพ ถ้าสามารถชนะการประลองได้ ก็จะได้สมุนไพรวิญญาณเป็นของรางวัล”
“แล้วถ้าแพ้ล่ะ?” แม่หม้ายสาวถามต่อ
“ถ้าแพ้ก็ไม่เป็นไร แค่ต้องไปทำหน้าที่เป็นเวรยามเฝ้าภูเขานอกเมืองเป็นเวลาหนึ่งเดือน อย่าให้มีสัตว์ร้ายข้ามเขตแดนเข้ามาได้เท่านั้นเอง”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ น่าสนใจริงๆ เขาไม่เคยคิดวิธีแบบนี้เลยดูเหมือนว่าปราสาทจตุรเทพจะไม่ธรรมดาจริง ๆ ซะแล้ว