จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 276 ขอยืมหน่อย
บทที่ 276 ขอยืมหน่อย
เมื่อจอมมารโกรธจะต้องมีการนองเลือดตามมา
คำพูดของฉู่ชวิ๋นสร้างความแตกตื่นให้แก่บรรดาจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่โดยรอบทันที
ในขณะนั้นเอง ก็มีเงาร่างของใครอีกคนหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับพลังลมปราณอันกล้าแข็ง
ผู้มาใหม่เป็นชายชราหน้าตาใจดี สวมใส่ชุดจีนโบราณสีขาว มีลักษณะเหมือนนักพรต
เพียงมองแค่แวบเดียว ฉู่ชวิ๋นก็คำนวณฝีมือของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก ชายชราผู้นี้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 4 เหมือนกับมู่เทียน ชายหนุ่มอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ในความแข็งแกร่งของปราสาทจตุรเทพ ที่นี่มีจักรพรรดิระดับ 4 อยู่ถึง 2 คนเชียวหรือ
“ผู้อาวุโสเฟิงจื่อเจี้ยน ขอต้อนรับนายท่านฉู่ชวิ๋น”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายเย็นชา
“ท่านเฟิง ออกมาที่นี่ทำไม?” มู่เทียนขยับมาข้างหน้า และหยุดยืนอยู่ด้านข้างเฟิงจื่อเจี้ยน
“ท่านผู้นำให้ฉันออกมารับนายท่านฉู่ชวิ๋น เข้าไปเยี่ยมชมปราสาท” เฟิงจื่อเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
มู่เทียนใบหน้าแดงก่ำ เขาเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่ว่าท่านผู้นำของปราสาทจตุรเทพไม่รับแขก แต่นายท่านกลับส่งตัวเฟิงจื่อเจี้ยนออกมาเชิญแขกเข้าไปด้วยตนเอง ดังนั้น มู่เทียนจึงหน้าถอดสีแล้ว
“ท่านเฟิง ทำไมท่านผู้นำถึงอยากจะพบเขาล่ะ?” มู่เทียนถามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
เฟิงจื่อเจี้ยนหันกลับมามองและยิ้มตอบว่า “ท่านมู่ ท่านทำงานได้แย่มาก ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของจอมยุทธ์ แต่ท่านต้องควบคุมตัวเองให้ได้สิ”
มู่เทียนไม่ยอมรับความจริง สวนกลับไปว่า “ถ้ามันไม่โกง มีหรือที่ฉันจะแพ้?”
เฟิงจื่อเจี้ยนหรี่ตามองชายชราด้วยสายตาแปลกประหลาด “ท่านมู่ ตามข่าวที่ฉันได้ยินมา นายท่านฉู่ชวิ๋นเพิ่งผ่านศึกใหญ่มาไม่นานนี้ เขาต้องสู้กับประตูวิญญาณสลาย สำนักดาบพิฆาต ปราสาทเทียนหลงและกลุ่มนินจาญี่ปุ่น รวมแล้วมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 1 อยู่ 30 กว่าคน ขั้นจักรพรรดิระดับ 2 อีก 10 คน ขั้นจักรพรรดิระดับ 3 อีก 5 คน และขั้นจักรพรรดิระดับ 4 อีก 1 คน ก่อนที่จะปะทะกับขั้นจักรพรรดิระดับ 5 เป็นคนสุดท้าย คุณทราบไหมว่าผลการต่อสู้ออกมาเป็นอย่างไร?”
มู่เทียนถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ ฉู่ชวิ๋นยังคงยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ผลการต่อสู้เป็นสิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่มู่เทียนก็ยังถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “เขาขับไล่พวกมันออกไปได้หมดเลยหรือ?”
เฟิงจื่อเจี้ยนส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่เพียงแค่ขับไล่ แต่พวกมันถูกนายท่านฉู่สังหารสิ้นไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ท่านกล่าวหาว่านายท่านฉู่ชวิ๋นเล่นตุกติก ถ้าให้ปะมือกันจริง ๆ คิดหรือว่าท่านจะสู้นายท่านฉู่ชวิ๋นได้?”
มู่เทียนมีเหงื่อออกท่วมตัว ดวงตาเบิกโต พูดอะไรไม่ออก
“ท่านมู่ ฉายาจอมมารฉู่ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ สามัญสำนึกแค่นี้ ท่านน่าจะรู้ดี” คำพูดของเฟิงจื่อเจี้ยนย้ำเตือนให้มู่เทียนเข้าใจว่า
ฉู่ชวิ๋นไม่ใช่คนที่จะรับมือได้โดยง่าย ถ้าคิดลองดีกระตุกหนวดเสือ ระวังจะเหลือแต่โครงกระดูกไม่รู้ตัว
มู่เทียนหันกลับไปมองฉู่ชวิ๋นด้วยความหวาดหวั่น
“นายท่านฉู่ชวิ๋น เชิญเข้าไปที่ปราสาทจตุรเทพได้เลยครับ” เฟิงจื่อเจี้ยน
ขยับออกมาข้างหน้าและพูดด้วยความเคารพ
ฉู่ชวิ๋นไม่พูดอะไร เพียงแค่หันไปมองจิ่วโยวที่กำลังโคจรพลังในร่างกาย
เฟิงจื่อเจี้ยนได้แต่ยืนนิ่ง เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรไปก็คงไม่เป็นผล เขาได้แต่ยืนรอในความเงียบ
ร่างกายของเด็กหญิงตัวเล็กเปล่งแสงสว่างไสว เส้นผมสีม่วงของเธอเป็นประกายระยิบระยับ พลังลมปราณโคจรไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ฉู่ชวิ๋นเห็นดังนั้นก็งอนิ้วมือ ดีดพลังลมปราณพุ่งเข้าไปในม่านพลัง
พรึบ!
บังเกิดมวลพลังงานจำนวนมากไหลรินเข้าสู่ร่างกายของจิ่วโยว เหมือนสายน้ำจากแม่น้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
กลุ่มคนที่ดูอยู่โดยรอบตกตะลึงพูดไม่ออก วิธีการของฉู่ชวิ๋นช่างแสนมหัศจรรย์เหลือเกิน
ลมหายใจของจิ่วโยวมีความมั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของเธอส่องแสงสว่างเรืองรอง
ตู้ม!
มวลอากาศที่อยู่รอบตัวจิ่วโยวพลันเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง เกิดเสียงอะไรบางอย่างแตกตัวดังเปรี๊ยะปร๊ะ พลัน ดวงตาของเด็กหญิงก็ลืมขึ้นมา และมีลำแสงพุ่งออกมาเป็นประกาย
ฉู่ชวิ๋นสลายม่านพลังออกไปทันที
จิ่วโยวมองหน้าชายหนุ่ม พร้อมยิ้มหวาน เธอบรรลุพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 2 เรียบร้อยแล้ว
เฟิงจื่อเจี้ยน มู่เทียน หลินฉิงเฟิงและคนอื่น ๆ ถึงกับตกตะลึงไปแล้วทุกคนต่างทราบดีว่าการบรรลุพลังขั้นจักรพรรดินั้นยากเย็นขนาดไหนแต่จิ่วโยว
กลับทำได้อย่างง่ายดายยิ่ง
ฉู่ชวิ๋นหันกลับมาที่เฟิงจื่อเจี้ยน แล้วพูดว่า “เชิญนำทางด้วยครับ”
“นายท่านฉู่ชวิ๋น เชิญ”
คณะผู้รับเชิญพากันเดินไปทางทิศตะวันตก
ในรอบ 10 ปีหลังสุด ปราสาทจตุรเทพสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในหุบเขาแถบตะวันตกของแม่น้ำเหลือง พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติสวรรค์นานาชนิด
อาคารรูปทรงโบราณหลายหลัง ถูกสร้างเชื่อมต่อกันเป็นอาคารหลังใหญ่ ดูสวยงามและมีมนต์ขลัง ยิ่งส่งเสริมความสวยงามของธรรมชาติรอบตัวมากขึ้น
ที่หน้าประตู มีก้อนหินขนาดใหญ่สลักตัวอักษรว่าปราสาทจตุรเทพ ตัวอักษรถูกแกะสลักไว้ด้วยการลงดาบเพียงครั้งเดียว
ตัวอักษรบนก้อนหินอัดแน่นด้วยพลังลมปราณ และพร้อมที่จะเล่นงานผู้จ้องมองที่มีฝีมือต่ำต้อย
นี่ก็เหมือนการสลักชื่อบนก้อนหินหน้าคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ที่ฉู่ชวิ๋นแกะสลักเอาไว้ด้วยมือของตนเอง
“นายท่านฉู่ชวิ๋น เชิญครับ” เฟิงจื่อเจี้ยนเดินนำทางผ่านประตูเข้าไป
หลังจากที่ทุกคนเดินข้ามสะพานหินและระเบียงแห่งหนึ่งไปแล้ว ก็มาถึงสนามหญ้าขนาดใหญ่ในอีก 10 นาทีต่อมา
สนามหญ้าแห่งนี้มีต้นไม้ตั้งตระหง่าน กิ่งก้านสาขาแผ่ร่มใบให้ความร่มรื่น ใต้ต้นไม้มีโต๊ะหินตัวหนึ่งตั้งอยู่พร้อมด้วยชุดกาน้ำชา และมีชายชราชุดขาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น
ชายชราผู้นั้นหันมาส่งยิ้มให้ฉู่ชวิ๋น ไม่มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย แต่ฉู่ชวิ๋นก็รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวของชายชราจากพลังของก้อนหินที่อยู่หน้าประตู
ฉู่ชวิ๋นคาดเดาตัวตนของชายชราคนนี้ได้ไม่ยาก
“ผู้น้อยเคารพท่านผู้นำ”
เฟิงจื่อเจี้ยนและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปคำนับด้วยความนอบน้อม
“ฉันเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย เธอนั้นคงเป็นจอมมารฉู่ที่ยุทธภพกล่าวขานถึงสินะ?” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง ไม่มีอาการสั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าแผ่วเบา
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรินน้ำชาใส่ถ้วย และไถลถ้วยน้ำชาข้ามโต๊ะมาอย่างแผ่วเบา พูดว่า “คุณชายฉู่ชวิ๋น รบกวนมาดื่มน้ำชาเป็นเพื่อนผู้เฒ่าคนนี้หน่อยได้ไหม?”
“งั้นไม่เกรงใจนะครับ” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปนั่งลง และหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อย ดวงตาของเขาพลันเป็นประกายสดใสขณะกล่าวชื่นชมรสชาติน้ำชา นี่คือคำเยินยอก็จริง แต่น้ำชาก็มีความยอดเยี่ยมจริง ๆ เช่นกัน เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ก็ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง
“จื่อเจี้ยน พาแขกคนอื่น ๆ ไปพักผ่อนก่อนเถอะ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยออกคำสั่ง
จักรพรรดิยาและแม่หม้ายสาวหันมามองหน้าฉู่ชวิ๋น เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพยักหน้า พวกเขาจึงติดตามเฟิงจื่อเจี้ยนไปแต่โดยดี
ถึงแม้ว่าจิ่วโยวจะไม่พอใจ แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้
“นี่คือน้ำชาหยุนอู๋หลิง เป็นชาโบราณที่คงอยู่มายาวนานกว่าเขาคุนหลุนเสียอีก แต่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่นัก” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยอธิบาย
ฉู่ชวิ๋นกล่าวชื่นชมว่าเป็นน้ำชาที่ดีอีกครั้ง
“เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ปกติ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพลันพูดขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเป็นประกายดุร้ายขึ้นมาแล้ว
“อย่าเพิ่งวู่วาม คุณชายฉู่ชวิ๋น” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยโบกมืออย่างใจเย็นและพูดต่อว่า “เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงของโลก โลกนี้ก็แปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น แม้แต่ความผิดปกติ ก็กลายเป็นความมหัศจรรย์ชนิดหนึ่ง”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยสามารถมองทะลุจนเห็นตัวจริงของจิ่วโยวได้งั้นเหรอ? หรือชายชราเพียงแค่กล่าวชื่นชม เพราะเห็นฝีมือการต่อสู้ของเธอกันแน่?
“ไม่ต้องกังวลไป คุณชาย” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “ความจริง เธอกับฉัน พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ฉู่ชวิ๋นถลึงตามองหน้าชายชรา ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังพูดถึงอะไรอยู่?
“ถึงแม้คนอื่นจะตั้งฉายาให้เธอว่าจอมมารฉู่ แต่โดยเนื้อแท้แล้วเธอเป็นคนจิตใจดี ว่ากันว่าทุกที่ ๆ เธอไปจะต้องเกิดการนองเลือดขึ้น แต่เท่าที่ฉันรู้ เธอไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์เลย แถมเธอยังรู้สึกเห็นใจและสงสารชาวบ้านตาดำ ๆ จึงเป็นเหตุให้เมืองกู่เจียงสั่งห้ามไม่ให้จอมยุทธ์นำสัตว์เลี้ยง เข้าไปในเมือง”
ฉู่ชวิ๋นรับฟังในความเงียบและตอบกลับไปน้ำเสียงราบเรียบว่า “นั่นเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่คิดร้ายกับผม” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยนิ่งเงียบไป จนฉู่ชวิ๋นพูดต่อว่า “มันขึ้นอยู่กับว่า คน ๆ นั้นเป็นคนดีด้วยน่ะนะ”
“ฉันก็จะพูดแบบเดียวกันนี่แหละ การเห็นใจผู้อื่น คือรากฐานสำหรับทุกสิ่ง” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถูถ้วยน้ำชาในมือเล่น ขณะที่พูดต่อว่า “ความจริง ฉันก็นับว่าเป็นคนดีจนได้รับความไว้วางใจจากคนอื่นเหมือนกัน แต่ก็มีข้อกังขาอยู่บ้าง”
ฉู่ชวิ๋นมองชายชราด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่รู้หรอกว่ามีใครไว้วางใจในตัวฉันจริง ๆ บ้าง” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูด แล้วก็ยิ้ม “ตำแหน่งผู้นำปราสาทจตุรเทพส่งต่อกันมาหลายพันปี จะมีใครกล้าไม่แสดงความไว้วางใจคนที่ได้ตำแหน่งผู้นำบ้างล่ะ? แต่ฉันไม่มีทางพิสูจน์ได้เลยว่า ใครบ้างที่ภักดีต่อฉันจริง ๆ ”
ฉู่ชวิ๋นเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจขึ้นเล็กน้อย ความโดดเดี่ยวเช่นนี้ก็คงเป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกับจักรพรรดิอ๋าวหวง ผู้เฝ้าปกป้องแผ่นดินจีนเป็นแน่แท้
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะถามคำถามนี้กับเธอหรือไม่”
“ถามมาเถอะครับ”
“คุณชายฉู่ชวิ๋นกับเพื่อน ๆ มาที่นี่ด้วยเหตุอันใดหรือ?” ดวงตาของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเป็นประกายเลื่อมใสในขณะที่พูดว่า “ฉันมองเห็นกระดูกที่อยู่ภายในร่างของคุณชาย ทำยังไงมันถึงได้มีสภาพสมบูรณ์อยู่แบบนั้นได้ คุณชายช่วยบอกผู้เฒ่าหน่อยได้ไหม?”
ยิ่งฝึกวิชาในระดับสูงมากแค่ไหนก็จะมีอายุยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้วิชาขั้นจักรพรรดิ ถึงจะมีอายุ 300 กว่าปี แต่ก็มีหน้าตาเหมือนคนอายุ 40 ถึง 50 ปีเท่านั้น น่าเสียดายที่สภาพกระดูกไม่ได้อ่อนเยาว์เหมือนหน้าตา
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ ตอบว่า “ถ้าบอกว่าผมแค่โชคดี คุณจะเชื่อหรือเปล่า?”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่ถามอะไรอีก เขาหันกลับมาเข้าเรื่องสำคัญอีกครั้งตอนที่พูดว่า “ว่าแต่คุณชายยังไม่ได้บอกผู้เฒ่าเลย ว่ามาที่ปราสาทจตุรเทพด้วยเหตุอันใด?”
“ผมอยากจะมายืมของบางอย่างสักหน่อยน่ะครับ” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“ยืมอะไร?”
“หม้อปรุงยาอมตะ” ฉู่ชวิ๋นตอบตามความจริง
หม้อปรุงยาอมตะ? เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถึงกับตะลึงงัน ก่อนพูดว่า “หรือคุณชายหมายถึงหม้อปรุงยาจตุรเทพ?”
ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครรู้จักหม้อปรุงยาอมตะจริง ๆ รวมถึงเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้ด้วย
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ตอบว่า “ใช่ครับ”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นทันที จากท่าทีที่อ่อนโยนก็กลายเป็นแข็งกระด้างขึ้น “คุณชายฉู่ชวิ๋นจะมาขอยืมหม้อปรุงยาจตุรเทพไปทำไม?”
เมื่อถามประโยคนี้ออกมา ชายชราก็โคจรพลังลมปราณโดยไม่รู้ตัวจึงทำให้ฉู่ชวิ๋นต้องโคจรพลังลมปราณขึ้นมาเช่นกัน เพราะฉู่ชวิ๋นไม่รู้ว่าเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีระดับฝีมือแข็งแกร่งขนาดไหน เขาต้องเตรียมรับมือไว้ก่อน
“ผมจะเอาไปปรุงยา” ฉู่ชวิ๋นตอบอย่างไม่ปิดบัง
“ไม่ได้ !” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตอบกลับทันที
ฉู่ชวิ๋นตกตะลึงไม่น้อย เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรีบปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ
“หม้อปรุงยาจตุรเทพเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของปราสาทจตุรเทพ จะให้ใครยืมได้ยังไงกัน?”
เมื่อฉู่ชวิ๋นลองคิดดูให้ดีแล้ว เขาก็เข้าใจ เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกราบไหว้หม้อปรุงยาใบนั้นอยู่ทุกวัน แถมยังวางกำลังเวรยามคอยอารักขาอยู่ตลอด ย่อมหมายความว่าหม้อปรุงยาจตุรเทพต้องมีความสำคัญต่อปราสาทจตุรเทพอย่างที่สุด และมันคงอยู่ในสถานะนี้มาเนิ่นนานแล้ว
“ผมแค่มาขอยืม ไม่ได้จะขอเอาไปเลยสักหน่อย” ฉู่ชวิ๋นพยายามอธิบาย
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นผู้เฒ่าคนนี้พอช่วยได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ ผู้เฒ่าช่วยไม่ได้จริง ๆ ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตอบกลับมาตามตรงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ พูดว่า “หม้อปรุงยาจตุรเทพเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เอามาใช้งานบ้างให้คุ้มค่ากับความศักดิ์สิทธิ์ ก็ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับนะครับ”
“ถึงอย่างนั้น หม้อปรุงยาจตุรเทพก็เป็นสิ่งที่จะเอามาให้ใครใช้งานมั่วซั่วไม่ได้เด็ดขาด”
“หัวแข็งนักนะ ตาแก่ !” ฉู่ชวิ๋นเริ่มมีอารมณ์เดือดดาลขึ้นมาแล้ว
“พูดว่าไงนะ?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเบิกตาโต ถ้าได้ยินไม่ผิด ฉู่ชวิ๋นกำลังต่อว่าเขาอยู่
“ผมพูดว่าคุณมันเป็นตาแก่หัวแข็ง” ฉู่ชวิ๋นพูด
“คุณชายฉู่ชวิ๋น ฉันเคารพในฝีมือของเธอ แต่อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้าทำอะไรนะ ถ้าเธอกล้าทำตัวหยาบคายอีกครั้ง ฉันก็คงต้องสั่งสอนให้รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ซะบ้างแล้ว”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายแวววาว ยิ้มตอบรับเหมือนไม่สนใจว่า
“ก็ลองดูสิ”
“คุณชายฉู่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ เธอจะมาทำตัวอวดดีได้นะ วันนี้ฉันจะสอนบทเรียนให้เธอเอง”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยที่เมื่อสักครู่นี้ยังเป็นตาแก่ใจดี เพียงพริบตาเดียว เขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนอำมหิต ชายชราดีดถ้วยชาในมือพุ่งตรงเข้ามาหา
ฉู่ชวิ๋น ถ้วยชาพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วและรุนแรง
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นโบกสะบัด ปัดถ้วยชากระเด็นไป
วูบ!
พลัน เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยดีดตัวออกจากโต๊ะใต้ต้นไม้ ยืนห่างออกไปหลายร้อยเมตร
“คุณชายฉู่ชวิ๋น โปรดมาสู้กันที่ตรงนี้ เดี๋ยวผู้เฒ่าจะสละเวลาสั่งสอนบทเรียนให้เธอได้รู้ซึ้งเอง”
ฉู่ชวิ๋นพลันดีดตัวตามติดไปในวินาทีต่อมา พร้อมกับส่งเสียงคำรามว่า
“ถ้าคุณอยากจะสู้ ผมก็จะสู้ อย่าหาว่ารังแกคนแก่ก็แล้วกัน”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยและฉู่ชวิ๋นขึ้นไปอยู่บนเวทีประลองของปราสาทจตุรเทพ
มีลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพจำนวนมากกำลังฝึกซ้อมกันอยู่บนเวที
ทุกคนต่างตกใจที่ผู้นำปราสาทมาปรากฏตัวอยู่บนเวที จึงรีบหลีกทางให้ทันที
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยืนอยู่กลางเวทีขนาดใหญ่ เขาหมุนตัวสะบัดฝ่ามือ มวลอากาศปั่นป่วน พลังลมปราณพุ่งเป็นสายตรงเข้าไปหาฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศ ร่างกายของเขามีลมปราณคุ้มกาย ชายหนุ่มต่อยกำปั้นสวนกลับมา พลังลมปราณจากกำปั้นของเขาปะทะเข้ากับพลังลมปราณของชายชราที่พุ่งเข้าใส่
เปรี้ยง!
พื้นดินสั่นสะเทือนรุนแรง แรงระเบิดแผ่กระจายในวงกว้าง บนท้องฟ้าเกิดเป็นก้อนเมฆรูปเห็ดขนาดใหญ่
“ฉู่ชวิ๋น ปราสาทจตุรเทพใช่ที่ให้เธอมาอาละวาดตามใจชอบได้หรือไง?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น พลังลมปราณกล้าแข็ง
“ถึงแม้ว่าโลกนี้จะกว้างใหญ่สักแค่ไหน แต่ถ้าฉันฉู่ชวิ๋นอยากจะไปอาละวาดที่ไหน ก็ไม่มีใครมาห้ามได้ อีกอย่างปราสาทจตุรเทพไม่ใช่เขตหวงห้ามของสวรรค์สักหน่อย ถ้าผมจะทำลายล้างที่นี่ ทำไมจะทำไม่ได้”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและภาคภูมิใจ
“สามหาว ขอดูหน่อยเถอะว่าจอมมารฉู่จะมีฝีมือร้ายกาจสมคำเล่าลือหรือไม่?”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยโคจรพลังลมปราณเต็มสูบ แรงกดดันแผ่กระจายไปในอากาศ