จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来) - บทที่ 278 ปีศาจทมิฬ
บทที่ 278 ปีศาจทมิฬ
“พวกแกสามคนมัวยืนบื้ออะไรอยู่?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมองลูกชายทั้งสามคนด้วยความไม่พอใจ ลูกชายของเขามีอายุ 200 ปี ทำไมถึงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์บ้าง?
ทำไมบุตรชายทั้งสามคนของเขาถึงไม่เข้ามาน่ะเหรอ? ทุกคนมีใบหน้าถอดสี ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะรู้สึกเจ็บใจมากขนาดไหน
แต่คำสั่งของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย ไม่มีผู้ใดไม่กล้ารับฟัง
“เร็วเข้า ยังไม่รีบเข้ามาอีก” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตวาด
“ท่านพ่อ”
บุตรชายทั้งสามคนเดินเข้ามาคำนับบิดา
“น้องชาย ฉันอยากจะแนะนำให้เธอได้รู้จัก สามคนนี้เป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องของฉันเอง นี่คือลูกชายคนโต เยวี้ยหงโป๋ ลูกชายคนรอง เยวี้ยจ่างเล๋อ และลูกชายคนที่สาม เยวี้ยเหวินหนาน” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยหยุดเล็กน้อยและพูดต่อว่า “จริงๆ ยังมีลูกชายคนเล็กอีกคน แต่คนนี้ไม่ค่อยอยู่บ้านเท่าไหร่ ปกติจะออกท่องเที่ยวไปเรื่อย”
ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอและพยักหน้า
แต่บุตรชายของชายชราทั้งสามคนได้แต่หัวเราะอย่างขมขื่น
“จะยืนเฉยอยู่ทำไม? ยังไม่มาเคารพอารองอีก” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยแสดงความไม่พอใจ วันนี้ลูกชายทั้งสามคนของเขาช่างทำตัวน่าขายหน้าเหลือเกิน
ฉู่ชวิ๋นพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกำลังขอให้คนที่มีอายุ 200 ปีมาเรียกเขาว่าเป็นท่านอา บุตรชายของเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมีสีหน้าอับอายเป็นที่สุด พวกเขาทำหน้าบอกบุญไม่รับ เนื่องจากฉู่ชวิ๋นมีอายุน้อยมากกว่าหลานชายของพวกเขาเสียอีก
“ไม่เป็นไรครับ เรียกผมว่าฉู่ชวิ๋นเฉย ๆ ก็พอ ผมกับท่านพี่เยวี้ยเพียงแค่มาพูดคุยธุระกันเล็กน้อย ไม่ต้องมากพิธีหรอกครับ”
บุตรชายทั้งสามคนมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความดีใจ
“จะทำแบบนั้นได้ยังไง? ผู้ใหญ่สั่ง เด็กก็ต้องทำตามสิ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยคำรามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
บุตรชายสามคนมีสีหน้าผิดหวังอีกครั้ง พวกเขาอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ต้องเรียกชายหนุ่มรุ่นหลานว่าท่านอา จะมีอะไรน่าอับอายไปมากกว่านี้อีก
“มีปัญหารึ? ทำไมถึงไม่ยอมเรียกนายท่านฉู่ชวิ๋นว่าอารอง กลัวเสียหน้ามากหรือไง” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้ายน่าหวาดกลัว
“ท่านพี่ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฉู่ชวิ๋นพยายามไกล่เกลี่ย
“ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสักหน่อย” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยความดื้อรั้น ขึงตามองไปทางบุตรชายของตนเอง แล้วพูดว่า “ถ้าแกไม่เรียกฉู่ชวิ๋นว่าท่านอา ก็อย่ามาเรียกฉันว่าพ่ออีกต่อไป”
ห๊ะ!
บุตรชายทั้งสามคนได้แต่ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน ดูเหมือนว่าเมื่อเยวี้ยฟ๋านเตี๋ยต้องการสิ่งไหน ทุกคนก็ต้องทำตามจริง ๆ
“ท่านอารอง”
ทั้งสามคนพูดด้วยความไม่เต็มใจ
สายตาของพวกเขาจ้องมองฉู่ชวิ๋นด้วยความเฉยชา ไม่บอกก็รู้ว่าไม่ชอบหน้าอารองคนใหม่ขนาดไหน
“นี้ๆ ฉันเป็นลูกฉู่ชวิ๋นละ งั้นเรียกฉันว่าพี่สาวสิ” จิ่วโยวขยับออกมาข้างหน้าพูดด้วยน้ำเสียงน่ารัก
เดือดร้อนให้ฉู่ชวิ๋นต้องรีบดึงตัวกลับไปยืนหลบอยู่ด้านหลังทันที
เมื่อเห็นว่าบุตรชายทั้งสามคนเรียกฉู่ชวิ๋นว่าท่านอาแล้ว เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
“พวกเราไปกันเถอะ”
แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพาฉู่ชวิ๋นเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ในตัวปราสาทจตุรเทพ หม้อปรุงยาอมตะตั้งอยู่กลางห้องโถงด้วยความสูงมากกว่าสองเมตร ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
หม้อปรุงยาของปราสาทจตุรเทพแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามอยู่ทั้งสี่ด้าน เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จะรู้สึกได้ถึงมวลพลังลึกลับที่พุ่งออกมาทันที
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายสดใส เขาอยากเห็นทุกสิ่งให้ละเอียดมากกว่านี้ จึงปล่อยคลื่นพลังจิตสำรวจรอบบริเวณ
หม้อปรุงยาตั้งอยู่บนขาตั้งสี่ข้าง บนพื้นดินมีมวลพลังงานสีดำลอยขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา และหม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ก็กดทับมวลพลังงานสีดำนั้นเอาไว้
มันคือพลังลมปราณที่อันแน่นจนแข็งกล้า
มีบางอย่างถูกกักขังอยู่ใต้ดินและหม้อปรุงยาจตุรเทพ คือสิ่งที่กดทับพวกมันเอาไว้
ครืน!
ภาพที่ชายหนุ่มเห็นในขณะนี้ก็คือพื้นดินกำลังสั่นสะเทือน เหมือนมีตัวอะไรบางอย่างพยายามจะมุดดินขึ้นมา
พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากหม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบตัว เขาก็เห็นว่าบรรดาลูกศิษย์ของปราสาทจตุรเทพยังคงยืนอยู่หน้าประตูห้องโถง ด้วยสีหน้าที่ปกติธรรมดา ไม่ได้เกิดความประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย
“เป็นแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“น้องชายมองเห็นด้วยหรือ?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยถามกลับมา
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ตอบว่า “ใต้ดินมีอะไรอยู่กันแน่?”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยส่ายหน้า พูดว่า “10 ปีที่แล้ว พวกเราย้ายห้องโถงใหญ่มาอยู่ที่นี่ เรื่องก็คือมีวันหนึ่งหม้อปรุงยาจตุรเทพสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง น้องชายก็คงรู้ดีว่าหม้อปรุงยาใบนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา มันลอยออกมาจากห้องเก็บสมบัติและมาตั้งอยู่ตรงกลางห้องแห่งนี้ หลังจากนั้น มันก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย”
“คุณก็เลยย้ายห้องโถงใหญ่มาอยู่ที่นี่สินะครับ”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยกล่าวว่า “ถูกต้อง ตอนแรกทุกอย่างก็เป็นปกติดี แต่ 1 ปีให้หลัง ก็เกิดแผ่นดินไหวบ้างเป็นครั้งคราว ฉันเข้าใจเอาเองว่ามันเป็นแรงดันของหม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ แต่ในระยะหลัง เกิดเหตุแผ่นดินไหวบ่อยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ละครั้งระดับความรุนแรงก็สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน”
ฉู่ชวิ๋นเข้าใจอย่างชัดเจน ไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมตอนที่เขามาขอยืมหม้อปรุงยา เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยจึงรีบปฏิเสธทันที เพราะไม่มีทางเคลื่อนย้ายหม้อปรุงยาได้เลยนั่นเอง
“น้องชายเป็นคนมีฝีมืออยู่พอตัว ฉันก็เลยพาน้องชายเข้ามาดูที่นี่ หวังว่าน้องชายคงพอจะให้คำตอบฉันได้ว่า มีอะไรอยู่ใต้ดินหรือเปล่า?”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาชอบกล การที่หม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์เลือกที่ตั้งเป็นที่แห่งนี้ ย่อมมีความหมายพิเศษเฉพาะตัว หมายความว่าอะไรก็ตามที่มันกำลังกดทับอยู่ ต้องมีพลังมากมายมหาศาล
“ผมจะลองดูก็แล้วกัน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
พลังลมปราณแผ่ออกมาจากหม้อปรุงยาจตุรเทพ ขาตั้งทั้งสี่ข้างฝังแน่นลงไปบนพื้นดิน พลังลมปราณเหล่านั้นไหลรินลงตามขาตั้งหายลงไปใต้พื้นดิน
ที่ระดับความลึกหลายพันเมตร สีหน้าของฉู่ชวิ๋นพลันแปรเปลี่ยนไป สิ่งที่เขาเห็นในการใช้พลังจิตสำรวจใต้ดินก็คือ ที่นั่นมีโพรงถ้ำมืดมิดขนาดใหญ่
โพรงถ้ำนั้นอยู่ลึกลงไปใต้ดินในแนวดิ่ง มีความลึกจนมองไม่เห็นปลายถ้ำ เส้นรอบวงของขนาดถ้ำ มีความกว้างมากกว่าหนึ่งกิโลเมตร
พลังลมปราณจากหม้อปรุงยาไหลลงไปลึกถึง 3,000 เมตร ก่อนที่จะดำดิ่งลงไปถึงก้นถ้ำ
สีหน้าของฉู่ชวิ๋นมีความเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากสัมผัสได้ว่าในโพรงถ้ำแห่งนี้ มีกลิ่นไอปีศาจลอยออกมาแรงมาก ระดับพลังของมันนั้น เรียกได้ว่าอยู่ในระดับจ้าวปีศาจเลยทีเดียว
เมื่อฉู่ชวิ๋นใช้พลังจิตสำรวจลงไปลึกมากขึ้น พลังของเขาก็พุ่งเข้าไปภายในโพรงถ้ำ
โฮก!
เกิดเสียงคำรามดังสวนกลับมาทันที กลิ่นไอปีศาจพุ่งออกมา มวลพลังงานในรูปมือขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาปะทะกับพลังจิตของฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ รีบดึงพลังของตนเองกลับมา แต่มือขนาดใหญ่นั้นก็พยายามคว้าจับมวลพลังของเขาเอาไว้และพยายามจะดึงกลับเข้าไปในโพรงถ้ำให้ได้
ฉู่ชวิ๋นส่งเสียงคำรามในลำคอ ปล่อยพลังลมปราณกระแทกเข้าใส่มือยักษ์ข้างนั้น
เปรี้ยง!
เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นในโพรงถ้ำใต้ดิน ลมปราณสีดำกระจายหายไปในทันที
ฉู่ชวิ๋นเซถอยหลังล้มลงนั่งกับพื้น มีอาการเหมือนคนถูกสายฟ้าฟาด พื้นดินเกิดรอยแตกร้าว ใบหน้าของเขาซีดเซียว
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยรีบเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรนะน้องชาย?”
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าบอกว่าไม่เป็นไร ลองโคจรพลังจิตลงไปสำรวจที่ใต้ดินอีกครั้ง คราวนี้ลงไปพร้อมด้วยพลังที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
โฮก!
ฉู่ชวิ๋นได้ยินเสียงคำรามชัดเจนเต็มสองหู มันเป็นเสียงคำรามของคนที่ตกอยู่ภายใต้ขุมนรกเก้าโลกันต์
แล้วมือยักษ์ข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น คว้าจับมวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นเอาไว้
เปรี้ยง!
เกิดการระเบิดขนาดใหญ่ขึ้นในโพรงถ้ำใต้ดิน
ฟู่!
แม้ว่าร่างของฉู่ชวิ๋นจะยืนอยู่ภายในห้องโถง แต่ก็มีเลือดไหลทะลักออกมาจากมุมปากของเขาแล้ว
มือปีศาจข้างนั้นยื่นออกมาข้างหน้าอีกครั้ง พยายามจะไล่จับมวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นให้ได้
ฉู่ชวิ๋นรีบถอนพลังจิตของตนเองกลับคืนมา ความรวดเร็วของมือปีศาจข้างนั้นน่ากลัวมาก พลังจิตของฉู่ชวิ๋นยังไม่ทันจะถอนตัวกลับมาได้สำเร็จ มือปีศาจนั้นก็เข้ามาถึงตัวแล้ว แต่ในวินาทีนั้น เขาได้ยินเสียงดังเคล้ง แล้วมือปีศาจก็หยุดอยู่กับที่ เนื่องจากมันถูกโซ่เส้นหนึ่งล่ามเอาไว้และในขณะนี้ ก็สุดความยาวของสายโซ่พอดี มือปีศาจหยุดอยู่ห่างจากมวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นแค่เพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น
โฮก!
เสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นทำให้ตัวปราสาทสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง
“แดนสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็ว เผ่าปีศาจทมิฬของข้าจะต้องได้ออกไปแน่ พวกเจ้าเตรียมตัวตายกันได้เลย”
ตอนที่มวลพลังจิตของฉู่ชวิ๋นกลับเข้ามาสู่ร่างกายอีกครั้ง เขาก็ได้ยินคำพูดประโยคนั้น ซึ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“น้องชาย เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เมื่อเห็นว่าฉู่ชวิ๋นกระอักเลือดออกมา เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะบอกว่าเขาไม่เป็นไร คำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินยังคงก้องกังวานอยู่ในหัว
ชายหนุ่มขยิบตาให้เยวี้ยฟ๋านเตี๋ย
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร จึงออกคำสั่งว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปก่อน”
เมื่อบรรดาลูกศิษย์แยกย้ายไปเรียบร้อย เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยก็รีบถามทันทีว่า
“น้องชาย ตกลงว่ามันเป็นเรื่องราวใดกันแน่?”
“ท่านพี่เยวี้ย คุณรู้จักพวกปีศาจทมิฬไหม?” สีหน้าของฉู่ชวิ๋นเคร่งขรึม พลังจิตของเขาถูกโจมตี ถ้าไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง เขาก็คงบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยเบิกตาโต “อย่าบอกนะว่าพวกเผ่าปีศาจทมิฬถูกขังอยู่ใต้ดิน?”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
“งั้นตำนานก็เป็นความจริงสินะ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพึมพำกับตัวเอง
“ตำนานอะไรเหรอครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ฉันจะบอกความจริงให้ก็ได้ มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาในปราสาทจตุรเทพ มันเป็นบทบันทึกความรุ่งเรืองและที่มาที่ไปของปราสาทจตุรเทพ และมีส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงเผ่าปีศาจทมิฬเอาไว้ด้วย”
“ผมขอดูหน่อยได้ไหม?” ฉู่ชวิ๋นรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เขาก็อยากจะรู้ตำนานของเผ่าปีศาจทมิฬจริง ๆ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วในมือของเขาก็ปรากฏบันทึกโบราณเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้ว
บันทึกโบราณเล่มนี้ทำมาจากหนังสัตว์ สภาพของมันยังสมบูรณ์ดูเหมือนใหม่ ทุก ๆ ตัวอักษรยังคงชัดเจน
ฉู่ชวิ๋นนั่งลงและตั้งใจอ่านอย่างละเอียด
เขานั่งอ่านจนพระจันทร์ลอยขึ้นบนท้องฟ้า ฉู่ชวิ๋นปิดสมุดบันทึกลง และส่งคืนให้กับเยวี้ยฟ๋านเตี๋ย ดวงตาของเขาเป็นประกายเคร่งเครียด
เผ่าปีศาจทมิฬ เป็นการรวมตัวกันของบรรดาภูตผีปีศาจ เคยเรืองอำนาจอยู่บนโลกใบนี้เมื่อหลายพันปีก่อน
ความร้ายกาจของพวกมันอยู่ที่การใช้พลังจิตโจมตีผู้คน
แต่ไม่มีการพูดถึงแดนสวรรค์อยู่ในบทบันทึกโบราณนี้เลย
บันทึกโบราณเล่มนี้กล่าวถึงยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำของปราสาทจตุรเทพ ข้อมูลของเผ่าปีศาจทมิฬเพียงแค่ถูกกล่าวถึงในบางบทเท่านั้น
จากสิ่งที่ชายหนุ่มได้ค้นพบ ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจทมิฬจะถูกแดนสวรรค์ผนึกเอาไว้อยู่ใต้ดิน ณ พื้นที่แห่งนี้
แดนสวรรค์อย่างนั้นเหรอ?
กล้าจะใช้ชื่อแดนสวรรค์ นั่นก็หมายความว่าแข็งแกร่งมากจริง ๆ
แต่อย่างไรซะ แดนสวรรค์นี่อยู่ฝ่ายเดียวกับโลกงั้นเหรอ?
“น้องชาย ถ้าพวกปีศาจทมิฬหลุดออกมาได้ ฉันเกรงว่าคงต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นแน่ ๆ ” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยพูดด้วยความเป็นกังวล
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ถ้าพวกปีศาจทมิฬสามารถหลุดออกมาได้ ปัญหาใหญ่หลวงก็จะตามมาและคงมีแต่จักรพรรดิอ๋าวฮวงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรับมือได้ เขาให้ตอนนี้โดนมันปัดมือเดียวก็ตายแล้ว
“แต่ผมว่าพวกมันคงหลุดออกมาไม่ง่ายหรอกครับ” ฉู่ชวิ๋นพยายามอธิบาย เนื่องจากปีศาจทมิฬจะสามารถเล่นงานผู้คนได้ผ่านทางพลังจิตเท่านั้น แล้วเขาก็ยังได้ยินเสียงโซ่ล่ามที่ยังคงแข็งแรง วิญญาณร้ายเหล่านั้นคงหลุดออกมาได้ไม่ง่ายแน่นอน
“แต่น้องชายช่วยจัดการพวกมันหน่อยได้ไหม” เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยังคงเป็นกังวลอยู่ดี
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองที่หม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว สิ่งที่ตั้งอยู่ตรงหน้าเป็นหม้อปรุงยาก็จริง แต่คุณประโยชน์ที่แท้จริงของมันในตอนนี้ก็คงเป็นการกดทับพวกปีศาจทมิฬให้อยู่ใต้ดิน ยิ่งไปกว่านั้น หม้อปรุงยาศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ยังแกะสลักสัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิดเอาไว้ด้วย หมายความว่าหม้อปรุงยาใบนี้ ต้องมีพลังมหาศาลแฝงอยู่ในตัวแน่นอน
ความลับที่เขาค้นพบนี้เป็นแค่เพียงเรื่องพื้นผิวเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่มาที่ไปของหม้อปรุงยาจตุรเทพ จะต้องมีความลึกลับพิสดารมากกว่านี้อีกหลายเท่า
ฉู่ชวิ๋นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงแล้ว หม้อปรุงยาใบนี้ถูกปล่อยทิ้งไม่ได้ใช้งานมานาน พลังที่พวยพุ่งออกมาจากตัวหม้อในขณะนี้ จึงเป็นพลังอันน้อยนิด ไม่ใช่มวลพลังเต็มอัตราที่มันเคยมีด้วยซ้ำ
ฉู่ชวิ๋นพูดออกมาว่า “ท่านพี่เยวี้ย ผมอยากใช้หม้อจตุรเทพปรุงยาสักหน่อย”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยมองหน้าเขาและทำท่าจะปฏิเสธ แต่แล้วก็รู้สึกว่าอยากรับฟังเหตุผลของฉู่ชวิ๋น
“ท่านพี่เยวี้ย หม้อปรุงยาใบนี้ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว มันก็เหมือนกับดาบที่ถูกเก็บอยู่ในฝักไม่ได้ชักออกมาใช้งาน แล้วแบบนั้น เราจะเรียกมันว่าเป็นดาบได้ยังไง? หม้อจตุรเทพนี้มันก็คือหม้อปรุงยาอมตะ ถ้าไม่เอามาปรุงยา มันก็เป็นเพียงแค่หม้อศักดิ์สิทธิ์ใบหนึ่ง แต่นั่นใช่สิ่งที่มันต้องการจริง ๆ หรือ?”
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็เกิดเสียงฟู่ฟ่าดังออกมาจากด้านในหม้อปรุงยา คล้ายว่าตัวมันเองเห็นด้วยกับฉู่ชวิ๋น
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยตกตะลึงไปแล้ว เนื่องจากไม่เคยเห็นหม้อจตุรเทพตอบสนองแบบนี้มาก่อน
ฉู่ชวิ๋นกล่าวต่อไปด้วยความดีใจว่า “ดาบที่ดีตีขึ้นมาเพื่อดื่มเลือดคน ยินดีต้อนรับความรักและความเกลียดชัง หม้อปรุงยาจตุรเทพเป็นหม้อปรุงยาอมตะ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปรุงยา ไม่ใช่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเอาไว้ตั้งโชว์เฉย ๆ จริงไหม?”
ฟู่ฟ่า!
หม้อปรุงยาจตุรเทพสั่นสะเทือนและส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองที่หม้อปรุงยาและพูดว่า “ฉันจะให้แกได้ปรุงยาและทำให้แกได้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง !”
ฟู่ฟ่า!
หม้อปรุงยาจตุรเทพส่งเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม ลวดลายสลักรูปสัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิด ส่องแสงสว่างเป็นประกายเรืองรอง
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยไม่อยากเชื่อสายตา เขาคอยดูแลหม้อจตุรเทพมากว่า 300 ปี ไม่เคยเห็นหม้อปรุงยาใบนี้จะมีชีวิตชีวาขนาดนี้มาก่อน
“ท่านพี่เยวี้ย ของทุกอย่างก็มีชีวิตจิตใจ อย่าว่าแต่หม้อปรุงยาจตุรเทพที่ถือว่าเป็นสมบัติสวรรค์ชิ้นหนึ่งเลย” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
เยวี้ยฟ๋านเตี๋ยได้แต่พยักหน้ารับคำและพึมพำว่า “ฉันนี่มันโง่จริง ๆ มีของวิเศษอยู่ในมือ แต่กลับเอามาตั้งทิ้งให้ฝุ่นจับอยู่ตั้งหลายปี”
“ท่านพี่เยวี้ย วันพรุ่งนี้ ผมจะมาปรุงยาที่หม้อใบนี้ และคืนความสามารถที่แท้จริงให้กับมัน”
ฟู่ฟ่า!
หม้อปรุงยาจตุรเทพเปล่งแสงสว่างไสว สัตว์ในตำนานทั้งสี่ชนิดส่งแสงเป็นประกาย
แม้แต่เหล่าปีศาจทมิฬที่อยู่ใต้ดิน ก็ถูกมวลพลังจากตัวหม้อ กดทับจนแนบติดกับก้นถ้ำไปแล้ว